Friday, March 29, 2013

[Running Diary] 28.03.13 วิ่งในโลกส่วนฉัน




หลังจากที่ร่างกายอ่อนแอ หมดสภาพไปจากงานมิตซูที่ผ่านมา ตอนที่ป่วยนี่มันไม่มีความรู้สึกอยากวิ่งเลยนะ มันแขยงมาก จนพาลให้สั่งตัวเองพักไปสองวันเต็มๆ และเริ่มกลับไปวิ่งอีกครั้งเมื่อวันพุธที่ผ่านมา เพราะรู้สึกว่าดีขึ้นแล้ว แม้จะยังมีอาการตุ่ยๆแปลกๆอยู่บ้าง แต่ก็คิดว่าตัวเองน่าจะไหว และก็ได้รู้ว่า ยังไม่หายนี่หว่าก็ตอนพาตัวเองลงไปวิ่งแล้วนั่นแหละ

อาจเป็นเพราะวันพุธนั้นเป็นวันที่ต้องทำงานข้างนอก ตะลอนตระเวณทำหน้าที่นางงามเดินสายทั้งวัน แดดเดือนมีนาแสนระอุ กับการจราจรในกรุงเทพฯที่แสนหฤโหด การจบวันด้วยการวิ่งในสวนหลังแดดเพิ่งหมดไม่ใช่เรื่องฉลาดเลยจริงๆ วิ่งไปได้สองรอบสวนลุม ถึงกับต้องบอกตัวเองว่า หยุดเถ๊อะ ถ้าไม่อยากกลับไปหมดสภาพอีก



สภาพอากาศช่วงนี้ไม่เหมาะกับการวิ่งเลยจริงๆ ระหว่างวันขณะนั่งทำงานในหัวจะคิดกังวลเสมอ ว่าวันนี้จะวิ่งดีไหม ใจอยากวิ่งเหลือเกิน แต่บอกตรงๆทนรับสภาพอากาศไม่ไหวจริงๆ แต่..เมื่อมีเป้าหมาย ก็ต้องวิ่ง  เมื่อวานไปถึงสวนลุมด้วยอาการใจลอย อยากๆแต่ไม่อยาก  ไม่เป็นไร วิ่งไป ตอนวิ่งวอร์ม รู้สึกแปลกกับตัวเอง ทำไมเราวิ่งได้ดี รู้สึกสบายใจมาก ไม่รู้สึกกดดันเลย เรียกสติจากความใจลอยกลับมาเพื่อพิจารณาการวิ่งของตัวเองว่า เหตุใดจึงวิ่งได้อย่างเป็นสุข แล้วก็พบว่า เพราะฉันวิ่งอยู่กับตัวเอง ไม่สนใจคนรอบข้าง ไม่เอาตัวเองไปวิ่งกับใคร วิ่งด้วยจังหวะของฉันจริงๆ ตัดความรู้สึกที่ว่าใครจะคิดว่าเราวิ่งช้า วิ่งเตาะแตะ วิ่งไม่เป็นออกไปให้หมด เออ..พอตั้งโลกสูญญากาศของตัวเอง มันวิ่งอย่างสบายใจจริงๆ

ระหว่างเหยียดยืด บอกตัวเองว่าเดี๋ยวพอไปวิ่งต้อง Nice, Soft, and Easy นะวันนี้ เพราะยังติดใจความรู้สึกเมื่อกี๊อยู่ ออกวิ่ง และไปแบบค่อยเป้นค่อยไป ไม่กดดันตัวเองว่าต้องทำเวลา ไม่กดดันตัวเองเวลามีใครวิ่งแซง ค่อยไปๆ มีสมาธิกับลมหายใจ หน้ามองตรง ไม่วอกแวก หัวโล่งมากไม่คิดอะไรเลย ทั้งที่พยายามจะใช้ช่วงเวลาวิ่งคิดนนู่นนี่เพื่อหาคำตอบหลายๆอย่างให้กับตัวเอง แต่วันนี้หัวมันโล่ง สบายเกินกว่าจะคิดอะไร มีแต่ตัวฉัน กับจังหวะของสองเท้าจริงๆ แล้วมันก็เป็นอีกหนึ่งวันที่วิ่งได้ดีมาก ไม่เหนื่อยจนเกลียดการวิ่ง วิ่งไป 3 รอบโดยไม่หยุดเลยในจังหวะที่สวยงาม ยังวิ่งต่อได้ แต่บอกตัวเองให้หยุดทั้งที่ยังสนุกและอยากวิ่ง เพราะจะได้อยากกลับมาวิ่งอีก แม้จะคิดอะไรไม่ได้ระหว่างวิ่ง แต่มันโล่ง และปลดปล่อยอย่างบอกไม่ถูกจริงๆ กลับบ้าน อารมณ์ดี นอนหลับสนิท

เวลาที่เราเลิกสนใจโลกรอบข้าง เลิกใส่ใจกับสิ่งที่หมุนอยู่รอบตัว และตัวฉันมีแต่ตัวฉันเท่านั้น เมื่อนั้น..ฉันสุข

Monday, March 25, 2013

[Race Diary] Mitsubishi Electric Run for Health: เมื่อวิ่งอย่างไม่ประมาณตน



24.03.13 มินิมาราธอนกับ (อีก) บทเรียนจำฝังใจ

ช่วงนี้ต่อมดราม่าสวยทำงานหนักไปนิด แต่ก็ไม่คิดว่าความดราม่ามันจะลามมาถึงการวิ่งของสวย งานที่แล้ว (บิ๊กซี) ก็ดราม่าเรื่องถ้วยรางวัลไปครั้งนึง คิดว่าน่าจะไม่มีดราม่าอะไรอีก และตั้งใจแน่วแน่ว่างานนี้ขอแก้มือหน่อยเถอะ พลาดถ้วยงานที่แล้ว งานนี้แหละวะ ขอเอาแอร์ ตู้เย็น พัดลมไปฝากแม่หน่อย (วิ่งหวังของตล๊อด)

ย้อนกลับไปตอนสมัครลงวิ่งงานนี้ ไม่ได้สนใจอะไรเลยว่างานจะเป็นยังไง ใครจัด รู้แค่ว่าอยากวิ่งบนสะพานพระรามแปด เพราะสวยดี และส่วนตัวชอบวิ่งบนสะพานมากกว่าเพราะมักจะจัดการกับการจราจรได้ดีกว่า ไม่ต้องวิ่งดมควันรถเท่าไหร่ ไม่วุ่นวายเหมือนวิ่งบนถนน แต่ข้อเสียของการวิ่งบนสะพานคือ มันร้อนมาก วิ่งกี่ครั้งก็ร้อน แต่ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะเตรียมตัวดีๆ 



ด้วยเหตุผลอะไรก็ไม่อาจรู้ได้ ที่ทำให้ทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาไม่สามารถวิ่งซ้อมได้ดั่งใจ อาจจะเป็นเพราะความน้อยใจจากการพลาดถ้วย หรือความเหนื่อยล้าของร่างกายก็เป็นได้ อาทิตย์ที่ผ่านมาทั้งวีคจึงวิ่งเตาะแตะ ไม่สามารถวิ่งได้เต็มที่แม้ใจจะอยากวิ่งก็ตาม จึงตัดสินใจหยุดพักสองวัน ศุกร์ และ เสาร์ เพื่อเก็บแรงไว้วันอาทิตย์จะระเบิดพลัง 

และเมื่อตั้งใจจะพัก แปลว่าต้องไม่วิ่ง เมื่อไม่ต้องวิ่งก็ไม่ต้องนอนเร็ว สามารถซ่าได้ สวยก็จัดเต็มไป วันศูกร์จัดเต็ม ไม่มีลิมิต ชีวิตเกินสามร้อย จนวันเสาร์ซมซานไปหนึ่งวัน แต่บอกตัวเองอย่างมั่นใจ เอาน่ะ นอนทั้งวันเดี๋ยวอาทิตย์ก็คึกเอง ด้วยความหวั่นว่าวันอาทิตย์จะไม่มีพลัง วันเสาร์เลยจัดเบาๆ อย่างนี้มันต้องถอน ถอนจริงค่ะ หมดรากหมดโคนเลยทีเดียว

ลางร้ายเริ่มมาเยือนตอนนอนอยู่ รู้สึกว่าปวดท้อง หลับไม่สบาย นาฬิกาปลุกตื่นมาอย่างแรกที่ทำคือ อาเจียน ยังชะล่าใจคิดว่าออกแล้วคงหายเพราะทุกทีก็มักเป็นแบบนี้ เตรียมตัวไปจุดปล่อยตัว แต่เมื่อไปถึง อย่างแรกคือเข้าห้องน้ำ คราวนี้มาหมด ทั้งอาเจียน และท้องเสีย เริ่มรุ้สึกแปลก รู้สึกว่าไม่ไหวแน่ และครุ่นคิดว่าเอาไงดีวะ หล่อบอกให้ไม่ต้องวิ่ง เพื่อนๆบอกว่าอย่าไปมั๊ย หรือก็จัดฟันรันไปสวยๆก็พอ ฉันก็ยังคงคิดไม่ตก มัวแต่เสียดาย อุตส่าห์มา อุตส่าตื่น สุดท้ายก็ดันทุรังลงสนามไป

หลังจากปล่อยตัว วิ่งไปสองกิโลแรกยังรู้สึกสบายดี แต่ไม่รุ้อะไร ทำให้ชะลอ หยุด แล้วหลังจากนั้นก็วิ่งไม่ได้อีกเลย ลังเลว่าจะเดินกลับตัว ตรงจุดกลับตัวฟันรันดีมั๊ย แล้วก็ยังดื้อ บอกตัวเองว่า ไปต่อเถอะ ไม่ได้แย่ขนาดนั้น จนไปถึงโลที่สามกว่าๆ แย่มาก ตาลายแล้ว รู้สึกว่าโคตรไม่ไหว แต่ก็ยังคิดว่า เอาไงดีวะ จนวิ่งสวนกับหล่อ ตะโกนบอกหล่อว่า ไม่ไหวแล้ว หล่อทำท่าว่าให้เลิกซะ ตอนนั้นคิดว่าจะกลับตัววิ่งย้อนไปพร้อมหล่อ แต่หล่อไม่รอสวยอยู่ดีนี่ แล้วเค้าจะหาว่าเราโกงมั๊ย เลยไม่เอาดีกว่า เดินต่อไป ที่ยังเดินต่อ เหยาะๆต่อแต่คิดแล้วว่าจะเลิกแข่งแล้ว เพราะหวังว่าจะมีรถหรือใครสักคนพาลงมา แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มี วิ่งสวนกับเพื่อนก็ทำสัญญาณบอกเพื่อนว่า กูไม่ไหว แต่อะไรไม่รู้ ทำให้ฉันยังไม่หยุด ไม่เคยมีประสบการณ์ว่า ถ้าไม่ไหวต้องทำยังไง เลยคิดเองว่าเอาน่ะ ไปต่อ เดี๋ยวมันต้องมีคนช่วยเรา จนมองเห็นรถพยาบาลจอดอยู่ไกลๆ คิดว่าแสงสว่างมาถึงแล้ว

สะพานพระรามแปดก่อนปล่อยตัว

พุ่งเข้าหาเหล่าพี่พยาบาล ทุกคนมองหน้าว่าน้องมาทำไม แหม่..ถ้าฉันไม่หมดสภาพ ฉันไม่แวะทักพี่หรอก ทุกคนดูงง ฉันเลยงงไปด้วย สุดท้ายเค้าคงตั้งสติกันได้ เลยเอาแอมโมเนียมาให้ฉันดม พร้อมรถเข็นมาให้นั่ง บอกว่างั้นน้องนั่งพัก นอกนั้นพี่ทำอะไรไม่ได้ ระหว่างที่นั่ง ก็ยังอาเจียนไปด้วย เลยถามเค้าว่า พี่ไปส่งหนูได้มั๊ย ได้ค่ะ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ต้องรองานเลิกพี่ถึงจะลงได้ แล้วให้หนูทำไง น้องก็นั่งรอไป หรอืไม่ก็ค่อยๆเดินไปก่อน แล้วพี่ค่อยแวะไปเก็บ แล้วฉันเลือกอะไรได้ไหม ระหว่างนั่งตากแดดบนทางยกระดับในหมู่พยาบาลหน้ามน กับอดทนเดินพาตัวเองลงมา จะได้กลับบ้านซะที เมื่อเกิดมาตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตน ฉันเลยตัดสินใจเลือกพึ่งสองเท้าของตัวเอง ชีวิตนี้มันพึ่งใครไม่ได้จริงๆ จากเหล่าพยาบาลมา พร้อมของกำนัล แอมโมเนีย 5 ก้อน ที่ให้ฉันพกติดตัวมาใช้ระหว่างทาง ตรึงใจจริงๆ


เดินจากจุดกลับตัว สลับวิ่งมาเรื่อยๆ จนมาพี่ตำรวจตรวจกาณ์ท่านหนึ่ง ตะโกนบอกเค้าว่าพี่คะ ขอติดรถลงมาได้มั๊ย เค้าทำท่าลังเล พร้อมบอกว่า ขอพี่ขี่ไปดูตรงนั้น แล้วจะกลับมารับ ตกลงกันตามนั้น ฉันจึงวิ่ง และเดินไปเรื่อยๆเพื่อรอ สุดท้ายพี่เค้ากลับมาตามหาเราจริง ระหว่างที่ฉันลังเล อาแปะคนนึงวิ่งมาแล้วพูดว่า อ้าว แบบนี้มันดกงกันนี่นา สถานการณ์หยุดนิ่ง ฉันหันไปมองหน้าแปะ แล้วบอกพี่ตพตรวจว่า ไม่เป็นไร อีกสามโลเอง เดี๋ยวหนูค่อยๆไป ยกมือไหว้ขอบคุณ พร้อมกับที่แปะหันมาพูดกับฉันว่า ล้อเล่นนะครับ

รูปนี้ช่วยยืนยันคำว่า 'สวนหมดสภาพ' ได้ดีจริงๆ

พาตัวเองเตาะแตะ วิ่งๆเดินๆมาเรื่อยๆ แดดร้อนมาก ร้อนจนคิดว่า ถ้าตายบนนี้ สภาพศพต้องดูเป็นศพชะนีแห้งกรังไม่งามแน่ๆ หันกลับไปมอง ยังมีคนตามเรามาอยู่เยอะนี่นา เอาน่ะ สู้อีกนิด เป็นอีกงานที่เจอผู้จัดงานใจดี แถมระยะให้ได้แวะชมความงามของสะพานพระรามแปด ในเมื่อเค้าแถม และพาตัวเองมาจนถึงจุดนี้ ก็เอาวะ จัดให้ครบระยะ มันคงไม่มีอะไรแย่ไปกว่านี้แล้ว

วินาทีที่เห็นเส้นชัย ดีใจมาก ทุกอย่างกำลังจะจบแล้ว ยังไม่วาย วิ่งเข้าเส้นชัยสวยๆด้วยนะ พร้อมองเห็นเวลา 1.48 ชม. รับไม่ได้กับระยะเวลาที่ใช้ไป ผิดหวังกับตัวเองมาก แต่ เอาเถอะ ไม่ตายก็ดีแล้ว ก้าวเข้าเส้นชัยปุ๊ย เจอพี่พยาบาลคนเดิมยื่นยาดมให้ พร้อมบอกว่า มันเก่งนี่หว่า ลงมาถึงด้วย ฉันเลยถามไป แล้วทำไมพี่ไม่แวะรับหนู พี่หาหนูไม่เจอขอบใจ สงสัยฉันยังไม่สวยโดดเด่นพอสินะ

ยิ้มที่เกิดจากแรงเฮือกสุดท้าย งานนี้ 'สวยตายค่ะ'

หล่อเดินมารับ เพื่อนสาวเดินมารับ ทุกคนเป็นห่วงมาก เพราะสภาพตอนนั้นรู้ตัวเลยว่าแย่มาก ซีดมาก ซีดจนอาแปะต้องทักบอกหล่อว่า ดูน่าจะไม่ไหวแล้วมั๊ง ทำไมซีดขนาดนี้ ยืนพักแปบนึง ยังไม่ทันได้ถ่ายรูปเล่นสมใจ ทั้งที่อยากสนุก อยากเล่นกับเพื่อนๆเพราะงานนี้มากับหลายคนเชียว แต่รวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายไม่ไหว มันหมดแล้วจริงๆ


สรุปสภาพสุดท้าย คือ สลบไม่รู้เรื่องไปหนึ่งวัน ไม่สามารถทานอะไรได้ และไร้เรี่ยวแรงไปทั้งตัว คาดว่าเกิดจากหลายปัจจัยผสมผสาน จนทำให้ฉันมายืนอยู่นะจุดนี้ ขณะที่นั่งโม้อยู่นี้ สภาพก็ยังไม่ปกติดี แล้วฉันได้เรียนรู้อะไรจากเหตุกาณ์ครั้งนี้บ้าง? จงประมาณตน หากตนไม่รู้จักประมาณตนก็จงฟังคำเตือนจากคนข้างๆ หากยังดื้อไม่ฟังคนข้างๆ ถ้าไม่รอดแน่แล้วให้เลิกแล้วเดินย้อนกลับมา อย่าคิดว่าไปแล้วจะมีอะไรดีๆรออยู่ มันไม่มี 

อีกอย่างที่ฉันได้เรียนรู้ ตนมันเป็นที่พึ่งแห่งตนจริงๆนะ สุดท้ายแล้ว ก็มีแต่ตัวเรา ที่ต้องพึ่งตัวเรา อย่าคิดจะเอาชีวิตไปฝากไว้กับใคร.. อีกอย่างที่ทำให้ความรู้สึกจากการวิ่งครั้งนี้แย่ที่สุดคือ ความดื้อของฉันเองแท้ๆที่ทำให้ทุกคนเป็นห่วงมาก พอกันทีกับการวิ่งแบบดราม่า ขอลั่นวาจาไว้ ณ ที่นี้ แล้วมาดูกัน ดราม่าตอนต่อไปจะเกิดขึ้นอย่างไร ฮา...

Thursday, March 21, 2013

[Race Diary] Standard Charter Bangkok Marathon 2012: มินิมาราธอนสนามแรก



What's your reason to run?


มินิมาราธอนครั้งแรกในชีวิต ที่ไม่เคยคาดคิดว่าตัวเองจะเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมอะไรแบบนี้ จากที่เคยเปรยไว้เมื่อตอนแรกว่าในชีวิต เคยอยากทำอะไรแบบนี้เหมือนกัน แต่ไม่เคยคิดว่าจะได้ทำมัน มินิมาราธอนสนามแรกนี้ เกิดขึ้นหลังจากเริ่มวิ่งเพียง 2 เดือนกว่าๆ ไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับงานวิ่งมาราธอน หรือ ความรู้เกี่ยวกับการวิ่งมากมายนัก แค่รู้สึกว่า เห็นเค้าทำ ก็อยากทำบ้าง คงจะน่าสนุกดี 
 
ในตอนนั้น การวิ่งระยะทาง 10 กม. ดูเป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ไม่ธรรมดา และไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำได้เลย ก่อนจถึงวันงาน เคยได้ลองวิ่งถึงระยะ 10 กม. ดูแล้ว แต่เป็นการวิ่ง สลับเดิน ไม่สามารถวิ่งต่อเนื่องได้ แต่ในเมื่อความบ้าพลังมันครอบงำ มีหรือที่สาวคึกคักอย่างฉันจะยอมแพ้

ณ จุดปล่อยตัว พลังมหาชนคนอยากวิ่งล้นหลามมาก

มินิมาราธอนแรก ตื่นเต้นมาก เตรียมตัวเตรียมพร้อมเหมือนลงแข่งมาราธอนจริงๆ พาลคิดว่า ในวันที่วิ่งฟูลมาราธอน นางจะคึกจะดีดขนาดไหน เตรียมพร้อมด้วยการเลือกเสื้อผ้าตั้งแต่กลางสัปดาห์ และไม่ลืมลองชุดให้เรียบร้อยด้วยนะ แม้ว่าจะเป็นชุดเดิมที่เคยใส่มาหลายครั้งก็ตาม (เห่อไหม) เตรียมร่างกายให้พร้อมด้วยการกินเยอะๆ โหลดคาร์ป (วิ่งมินิ โหลดแบบอัลตร้ามาราธอน) จัดเต็มขนมนมเนย เตรียมตัวเข้านอนแต่หัววัน ด้วยการวางแผนไปเปิดโรงแรมใกล้จุดปล่อยตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องลำบากเดินทางแต่เช้าตรู่และวุ่นวายเรื่องหาที่จอดรถ

แต่..ความพร้อมทุกอย่างเริ่มส่อแววไร้ค่าเมื่อเช็คอินเข้าโรงแรม ด้วยความเก๋ และชิลของโรงแรมที่มีบาร์ชิคๆบนดาดฟ้า จะให้สวยเข้านอนแต่หัวค่ำ มันต้องมีเครื่องย้อมใจสักหน่อย เอาน่ะ จัดไป เบาๆ จะได้หลับสบาย แต่..อย่างที่บอก สวยไม่เคยจัดเบา จิบเพลินๆสำราญใจคนเดียวสักพัก หล่อก็แวะมาทักทาย เมื่อสวยและหล่อป๊ะกัน สปิริตก็เริ่มก่อตัว แม้หล่อจะขอแยกตัวเพราะต้องไปเก็บตัวเตรียมฮาล์ฟ มาราธอนแรกเช่นกัน แต่เมื่อความคึกสวยก่อตัวแล้ว มันยากจะทำให้จบลงง่ายๆ สรุปว่า ค่ำคืนนั้นแผนการนอนเร็วเละเทะสิ้นดี จำได้ว่าเข้านอนประมาณเกือบตี 1 และตื่นตี 4 เพื่ออาบน้ำแต่งตัว ยืดเส้นด้วยโยคะ และเดินทางสู่จุดปล่อยตัว
 
ความตื่นเต้นกลบความแฮ๊งค์ให้ไม่แสดงออกมา แต่เพื่อนที่วิ่งด้วยกันทักเลยว่า มึงละมุดมากเขินเบาๆแต่ยังคงคึกต่อไป ถึงเวลาปล่อยตัว วิ่งเต็มที่ แซงปรู๊ดปร๊าด เจอทางขึ้นสะพานพระปิ่นเกล้าก็ยังไหว ไต่ทางยกระดับก็ยังไหว แต่เริ่มหมดภาพตอนกลับตัว 5 กม. อาการแฮ๊งค์เริ่มออก กระหายน้ำมาก กระหายสุดชีวิตทั้งที่แวะรับน้ำทุกจุดแล้ว สุดท้ายทนพลังแดดไม่ไหว ไม่คิดว่าจะแรงทำร้ายขนาดนี้จึงไม่ได้เตรียมหมวกไว้ เดินค่ะ เดินไปพักใหญ่เลย และพยายามวิ่งเบาๆอีกครั้ง จนลงสะพานมา ตอนนั้นรู้สึกว่าร่างกายขาดน้ำมาก ถึงขั้นต้องตะโกนถามหาน้ำกับเจ้าหน้าที่  น้ำอีก 2 กิโลครับประโยคธรรมดา แต่ตอนนั้นเหมือนฟ้าผ่าลงแสกหน้า ทำอะไรไม่ได้ วิ่งชดใช้กรรมต่อไป

สวย..ท่ามกลางหมู่นักวิ่งครั้งแรกในชีวิต

ไม่เคยลงสนามวิ่งมาก่อน มาเจอปริมาณคนร่วมงานในปีนี้ก็อดแปลกใจไม่ได้ คนเค้าวิ่งกันเยอะขนาดนี้เลยหรือนี่ แล้วฉันไปอยู่ไหนมา ทำไมฉันเพิ่งมารู้จักโลกใบนี้เอาป่านนี้ เพื่อนร่วมทางเยอะมาก วิ่งเกาะกันเป็นกลุ่มตลอดทาง แทบจะไม่มีช่วงให้วิ่งเดี่ยวโชว์ความสวยเลย ปลื้มใจนะ เห็นคนรักสุขภาพมารวมตัวกัน

วิ่งมาจนถึงช่วงมุ่งหน้าถนนพระอาทิตย์ ร่างกายเริ่มดีขึ้น ความเหนื่อยลดลงและพลังก๊อกสองเริ่มเกิดขึ้น พยายามเร่งขึ้นเรื่อยๆ และมาเร่งสุดประมาณ 100 เมตรก่อนถึงเส้นชัย จริงๆตอนที่เร่งนี่ก็ไม่รู้ว่ามันจะถึงเส้นชัยแล้วนะ เพราะคิดว่าเส้นชัยน่าจะอยู่จุดเดียวกับจุดปล่อยตัว แต่ฉันเข้าใจผิดหมด

ฉันทำแล้ว และฉันทำได้

มินิมาราธอนสำหรับสนามนี้เหมือนลูกเมียน้อย ดูเค้าให้ความสำคัญกับฮาล์ฟ และฟูลมาราธอนมากกว่า ทางเข้าสู่เส้นชัยก็สวยงามผิดกัน สำหรับมินิแล้ว มาถึงเส้นชัยยังไม่รู้ว่ามันคือเส้นชัย เพราะมีคนยืนเดินวุ่นวายกันเต็มไปหมด จนต้องหยุดวิ่ง และเข้าใจเองว่า เออ กูเข้าเส้นชัยแล้วว่ะ’ 

กรุงเทพมาราธอนในความคิดฉันมันคืองานวิ่งระดับประเทศ ที่เป็นหน้าเป็นตางานหนึ่ง และเป็นงานที่เชื่อว่านักวิ่งจะต้องลองสักครั้งในชีวิต แต่การจัดการงานมันห่างไกลคำว่ามืออาชีพจริงๆ การแจกเหรียญให้ตั้งแต่ก่อนวิ่ง ก็ลดความตื่นเต้นของการลงสนามไปเยอะแล้ว แต่ที่น่าเศร้ากว่าคือ เหรียญหมดตั้งแต่ยังไม่ได้วิ่ง รู้สึกเสียดายกับเหรียญ เพราะอยากเก็บไว้ให้ตราตรึงใจกับมินิมาราธอนงานแรก แต่ก็ช่างมัน เพราะฉันทำอะไรไม่ได้

กับพี่แมพ ดีเจในดวงใจ

ถึงจะเซ็งกับเหรียญก็ไม่เป็นไร มันเรื่องเล็ก อย่างน้อยงานนี้ก็ให้ความทรงจำที่ดี และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของชีวิตฉันเลยก็ว่าได้ ฉันหลงรักบรรยากาศงานวิ่ง และอยากที่จะวิ่งไปเรื่อยๆ ฉันภูมิใจในตัวเอง ที่ได้เริ่ม ได้ทำ และทำมันได้แม้จะเป็นแค่ก้าวแรกเล็กๆ ถือเป็นงานวิ่งหนุ่งงาน ที่ทำให้หัวใจฉันพองโต

ข้อคิดเตือนใจที่จำไว้สอนตัวเอง อย่าเมา อย่าดื่มหนักคืนก่อนงานวิ่งเป็นอันขาด หรือแม้จะไม่ใช่งานวิ่ง ถ้าคืนไหนซ่า วันรุ่งึ้นเธออย่าริอาจตื่นแต่เช้าไปวิ่ง..นรกจริงๆ

เมื่อวิ่งมินิมาราธอนกับกรุงเทพมาราธอนมันยังไม่สนุกสุดใจ งั้นปีนี้ขอแก้มือใหม่...เจอกันนะ กับ My First Full Marathon

*finished first mini-marathon 10.5 k within 1.08 hrs.

อยากพบชีวิตใหม่..ให้วิ่ง



ถ้าคุณอยากวิ่ง วิ่งแค่กิโลเดียวก็พอ แต่ถ้าคุณอยากพบชีวิตใหม่ให้มาวิ่งมาราธอน วลีนี้คุ้นๆเหมือนเคยได้ยินหนุ่มหน้าใสพูดไว้ไหม ฟังดูเว่อร์เหลือเกิน จะอะไรนักหนากับแค่วิ่ง แค่ออกกำลังกาย มันจะทำให้ชีวิตเปลี่ยนสักเท่าไหร่กันเชียว

ฉันไม่เคยคิดว่าจะมีอะไรมาเปลี่ยนชีวิตฉันได้ มันก็ไม่ถึงขั้นว่าตั้งแต่เกินมาจนโตเป็นสาวชีวิตฉันจะไม่เคยเปลี่ยนแปลง เจอค่ะ เจอตลอดเวลา ทั้งเรื่องดี เรื่องร้ายถึงขั้นเรื่องแย่ๆเกิดกับตัวฉันมาแล้วนักต่อนัก แล้วตัวฉันเองก็เปลี่ยนไปตามประสบการณ์ชีวิตที่ได้พบเจอ ฉันล้ม แล้วลุก เหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่ก็หลายครั้ง (ฟังดูเว่อร์มาก แต่ขอบอกว่าเรื่องจริง) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นลองคิดทบทวน ยังไม่เคยมีสักครั้งหรือสักเหตุการณ์ที่มันทำให้ฉันรู้สึกว่า เออ..ชีวิตกูเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ

สถานที่ ที่ไม่เคยคิดว่าจะมายืน

ชีวิตใหม่ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่า จากที่ร้องไห้ก็หยุดร้อง หรืออารมณ์ที่แบบ เอาวะ..เริ่มต้นใหม่ ไอด้อนแคร์อะไรแบบนั้น แต่ ชีวิตใหม่ที่ว่านี้ มันคือ ชีวิตใหม่จริงๆ ชีวิตที่เปลี่ยนไป เปลี่ยนตัวเราเป็นคนอีกคนที่เราไม่เคยคิดว่าเกิดมาชีวิตนี้เราจะเป็น หรือ เราจะทำมันได้

อย่างแรกที่เห็นได้ชัดก็คงเป็นเรื่องรูปร่าง ณ วันนี้น้ำหนักชั่งเช้านี้คือน้ำหนักที่ต่ำที่สุดในรอบ 12 ปีของฉัน (ฉันอ้วนมา 12 ปี โถๆ) ผู้หญิงที่พยายามลดความอ้วน ลดน้ำหนักมาตลอดชีวิต ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะผอม (ด้วยตัวเอง)ได้อีกแล้วในชีวิตนี้ ฉันทำมันได้ และก็ขอยกเครดิตให้กับการวิ่งจริงๆ

ภาพถ่ายเมื่อ 3 เดือนที่แล้ว กับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ปัจจุบันยังคงแห้งลงอย่างต่อเนื่อง

เมื่อเสพติดการวิ่ง มีเป้าหมายในการวิ่งโดยเฉพาะการอยากลองวิ่งฟูลมาราธอนสักครั้งในชีวิต มันก็จะเกี่ยวเนื่องไปถึงการพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองได้ไปวิ่ง เมื่อต้องต่อสู้กับ ความรู้สึกอยากวิ่งไลฟ์สไตล์ของตัวเองก็จะเปลี่ยนไปเองอย่างเสียมิได้ ถามว่ามันถึงกับต้องใช้คำว่าอุทิศ ทุ่มเทเลยไหม สำหรับฉันมันไม่ถึงขนาดนั้น เพราะไม่มีใครบังคับ มันเกิดขึ้นเพราะความรู้สึก อยากวิ่งมากกว่า ต้องวิ่ง

แสงแรกยามเช้าที่มักตรึงใจเสมอ

จากผู้หญิงที่เฮฮาปาร์ตี้ ถ้าถามว่าปาร์ตี้เลเวลไหน พูดให้เห็นภาพก็คือ ทุกครั้งต้องสุด ถ้าไม่สุด นางไม่กลับ แต่การวิ่งเปลี่ยนให้ฉันเลือกที่จะนอนตั้งแต่หัววัน อย่างช้าที่สุดต้องไม่เกินเที่ยงคืน เพื่อจะขุดตัวเองให้ตื่นตอนตีห้า เตรียมตัวออกไปวิ่งทุกวันหยุด ฉันสามารถตื่นขึ้นมาตอนตี 3 เพื่อเตรียมตัวไปวิ่ง แทนการกลับถึงบ้านตอนตี 3 และฉันไม่เคยรู้สึกเสียดายที่ต้องพาตัวเองมาอยู่บนถนนก่อนพระอาทิตย์ขึ้นแทนการนอนขดอยู่ในผ้าห่ม เพราะบรรยากาศยามเช้ามันสวยงามจริงๆ

การวิ่งมันทำให้ ฉันรักตัวเองมากขึ้นจากผู้หญิงที่ไม่กลัวการทำร้ายตัวเอง และเคยทำร้ายตัวเองด้วยวิธีต่างๆนาน แต่วันนี้ ฉันรักตัวฉัน ฉันรักร่างกายของฉัน ฉันอยากมีขาที่พาฉันวิ่งไปไกลๆ ฉันชอบความรู้สึกเวลาหัวใจเต้นแรงเพราะมันทำให้รู้สึกว่า ฉันมีชีวิตอยู่ และรักการมีชีวิต 

ไม่จำเป็นต้องไปถึงมาราธอน ชีวิตใหม่ก็เวียนมาให้พบเจอ อย่างไรก็ดี จะกลับมาเล่าอีกที ว่าหลังจากมาราธอนแล้ว ..มันจะใหม่ยิ่งกว่านี้ไหม

คงจะจริงอย่างที่มูราคามิว่าไว้ "Most runners run not because they want to live longer, but because they want to live life to the fullest"

แล้วคุณล่ะ..พบชีวิตใหม่แล้วหรือยัง?