Monday, April 29, 2013

[Running Diary] 29.04.13



ถึงเวลาที่แกต้องวิ่งเพื่อตัวเองจริงๆแล้วสักทีคำพูดเตือนสติจากเพื่อนรอบข้างหลายๆคนที่พูดตรงกัน ในวันที่ฉันได้บอกเล่าความในใจหลายๆอย่างถึงความรู้สึก หมดกำลังใจในการวิ่ง คนชอบมองว่าฉันเป็นผู้หญิงดราม่า ฉันก็ยอมรับว่าฉันดราม่า แม้กระทั่งการวิ่ง ฉันยังสามารถนำเอาความดราม่าเข้ามาเกี่ยวโยง ไม่ใช่ฉัน ทำไม่ได้นะจ๊ะ

ไม่ใช่ว่าเมื่อเส้นชัยของฉันมันว่างเปล่า แล้วฉันจะวิ่งต่อไปอีกไม่ได้ ฉันวิ่งได้ และยังคงวิ่งอยู่ทุกวัน เพียงแต่ มันแค่ไม่มีความสุขเหมือนเดิมก็เท่านั้น เพราะในวันที่ยืนอยู่ที่จุดเริ่มต้น ฉันไม่ได้เริ่มมันด้วยตัวคนเดียว แม้ตลอดทางที่วิ่งไป ส่วนใหญ่ก็ต้องวิ่งคนเดียว เหนื่อยก็เหนื่อยคนเดียว จะกรีดร้อง จะมีน้ำตา ก็ค่อยๆคลืบคลานไปได้ด้วยตัวคนเดียว แต่ทุกครั้ง ฉันก็ยังแน่ใจว่า อย่างน้อยที่สุด เมื่อถึงเส้นชัย จะยังมีใครรอฉันอยู่ที่ตรงนั้น ก็แค่จากนี้..มันไม่มีอีกแล้ว

ฉันพยายามทำเป็นไม่คิด ไม่แคร์ ไม่สนใจ วิ่งเพื่อตัวเองอย่างที่ใครหลายคนเตือนสติ และฉันได้ลองพาตัวเองไปลงสนามในวันที่รู้ทั้งรู้อยู่เต็มใจว่า ทุกอย่างมันจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว ฉันทำมันสำเร็จเหมือนทุกครั้ง แต่..มันกลับเป็นการวิ่งที่จบลงโดยที่ฉันไม่มีความสุขเอาเสียเลย ฉันไม่รู้สึกสนุก ไม่รู้สึกสะใจ ไม่รู้สึกเหมือนทุกครั้งที่เท้าของฉันเหยียบเข้าเส้นชัย หรือฉันยังคงวิ่งเพื่อตัวเองไม่ได้จริงๆ

เป็นความผิดพลาดที่สวยงาม ที่ฉันก้าวเดินออกจากจุดเริ่มต้นด้วยเหตุผลเพื่ออะไรสักอย่าง แต่..ไม่ใช่เพื่อตัวฉันเอง และเมื่อถึงวันที่ฉันไม่มีเหตุที่จะต้องทำเพื่อสิ่งนั้นอีกต่อไปแล้ว ผลมันก็คือฉันจะยังทำมันไปเพื่ออะไร สิ่งที่ฉันควรต้องทำ คือการเปลี่ยนเหตุ ของสิ่งที่กำลังทำ และถ้าฉันเปลี่ยนมันไม่ได้ล่ะ

ฉันเฝ้าถามตัวเองบ่อยครั้ง ว่าฉันจะวิ่งไปอีกนานแค่ไหน ความหลงใหลที่ฉันมีให้กับการวิ่ง จะอยู่กับตัวฉันไปอีกนานสักเท่าไหร่ และจะสนุกที่จะทำมันได้ไกลสักแค่ไหน เป็นคำถาม ที่ยังไม่มีคำตอบ และยากที่จะคิดหาคำตอบ ณ เวลานี้ จากมุมหนึ่งของใจ มันมีเสียงกระซิบออกมาเบาๆว่า ในวันที่ก้าวเข้าสู่เส้นชัย หลังจากสำเร็จการวิ่งมาราธอนครั้งแรก ในวันนั้น ฉันอาจจะไม่อยากวิ่งอีกต่อไปแล้วก็เป็นได้ เพราะถือว่าเป้าหมายสูงสุดที่ฉันได้ตั้งเอาไว้ มันบรรลุแล้ว การวิ่งมาราธอนสักครั้งในชีวิต ก็คงจะเกินพอ สำหรับ คนปกติที่เหนื่อยกับทัณฑ์ทรมานที่เลือกเอง

ฉันได้แต่ยังคิดหวังในใจ ว่าอย่างน้อยที่สุด ฉันคงสู้ไปจนบรรลุเป้าหมายที่ได้ตั้งเอาไว้ และเมื่อถึงวันนั้น มันคงมีคำตอบสำหรับทุกอย่างรอฉันอยู่แล้ว



ปล. คิดถึงพี่เสมอนะ

[Race Diary] ศิริราช เดิน-วิ่ง ผสานชุมชน ครั้งที่ 7



“The lonely finish line”

สนามนี้เป็นสนามที่ไร้ซึ่งการเตรียมตัว แต่ฉันพกความคาดหวังมาอย่างล้นปรี่ เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนพอรู้ว่าจะมีงานวิ่งศิริราชนี้ ก็นึกเอาไว้ในใจ โอเค๊..ถ้าไม่ติดอะไร (ปกติชีวิตก็ไม่ค่อยติดอะไร นอกจากความ ขี้เกียจ) ฉันจะไปวิ่งงานนี้ เพราไม่ไกลจากบ้านเท่าไรนัก แต่ แต่ อีกใจก็ซ่า อยากจะไปเริงร่าต่างจังหวัดกับสนามฮาล์ฟมาราธอน เพราะคิดถึงการวิ่งระยะนั้นมากกว่า จึงยังลังเล ระหว่างศิริราช สิงห์บุรี เอ๊ะ..สิงห์บุรี หรือศิริราชดีนะ คิดทบทวนไปมา บวกลบคูณหารความคุ้มค่า เอาเป็นว่า ขี้เกียจมันทั้งสองงานเลยดีกว่า ฮา..

ตั้งแต่หลังงานวิ่งวันจักรีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ เป็นช่วงเวลาที่ฉันวิ่งเยอะมาก วิ่งจนรู้ตัวเองว่า เยอะเกินไป และไร้ซึ่งการพัฒนาอย่างมีแบบแผนจริงๆ เพราะเป็นการวิ่งตามใจ วิ่งประชดชีวิต วิ่งเพราะอยากได้สารแห่งความสุข และวิ่ง เพราะคงเป็นทางออกเดียวของชีวิตที่ฉันคิดออก การวิ่งอย่างหักโหม ทำให้สภาพจิตดีขึ้น แต่ทำร้ายสภาพร่างกายตัวเองมาก เกิดอาการบาดเจ็บที่หลังส่วนล่างในเลเวลที่ปวดร้าวมากจนนอนไม่ได้ พาลให้นึกโกรธตัวเองอยู่เหมือนกัน


ดังนั้นเมื่อจะพาตัวเองลงสนามวิ่ง ในสภาพร่างกายที่ผ่านการวิ่งจนบอบช้ำและยังหวังจะทำให้ผลประกอบการออกมาดี จึงไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดนัก จากที่บอกตัวเองเบาๆในใจว่า งานนี้แหละ จะเอาตัวเองไปท้าทายคว้าถ้วยอีกสักครั้ง กลับกลายเป็นว่า วันเสาร์ก่อนวันงาน ฉันนั่งเปื่อยๆเบื่อๆถามใจตัวเองว่า ไป ไม่ไป ไป ไม่ไป และยิ่งได้รู้ว่ามันเป็นการวิ่งบนทางยกระดับบรมราชชนีอีกแล้ว เลยยิ่งพาลทำให้คิดหนักใหญ่ เพราะในใจก็เบื่อเส้นทางนั้นเต็มที ก็เคยขึ้นไปวิ่งเล่นมาสามรอบ ครั้งนี้ไปก็รอบที่สี่แล้วนา จนเมื่อเจ๊เพื่อนสาวทักถามมา ฉันก็ยังคงตอบนางไปว่า 60% ถ้าไป พรุ่งนี้เช้าจะโทรหา

กับสองไอดอลนักวิ่งในดวงใจ


แล้วก็พาตัวเองเข้านอนแต่หัววัน โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะไปวิ่งไหม ตัดสินใจง่ายๆว่า ถ้าตื่นก็ไป แต่แล้วก็ตื่นนะ ตื่นมาแบบไม่ง่วงเท่าไรนัก เลยคิดว่า เอาวะ ไปก็ด่ะ ชีวิตมันไม่มีอะไรจะเสีย ทำอะไรแต่ละทีทำไมคิดมากจังวะนาง คิดได้ตามนี้ ก็ล้างหน้าล้างตาแต่งองค์ทรงเครื่องเดินงงๆออกจากบ้านพาตัวเองไปยืนโบกแท็กซี่ในชุดวิ่งตอนตีห้าก็ตลกแปลกใหม่ดีนะ (งานนี้เป็นงานแรกที่ไม่ได้ขับรถไป เพราะเลเวลการขับรถมึนทางฉันชนะเลิศ จึงไม่อยากพาตัวเองเข้าสู่วังวนความหงุดหงิดกับการขับรถของตัวเองแต่เช้า)


งานนี้เป็นงานวิ่งแรกที่ขาดคนรู้ใจถึง 2 คน รู้สึกเลยว่า ถ้าไปวิ่งคนเดียวนี่มันก็เหงาแปลกๆดีๆเหมือนกัน มาถึงงานแล้ว แต่คุณป้ายังไม่มา จึงไปวิ่งวอร์ม ฟอร์มดีเชียววันนี้ได้ทั้งวอร์ม ทั้งเหยียดยืด คิดในใจว่า เอาวะ มาแล้ว ตั้งใจวิ่ง วิ่งเพื่อเธอ คึกคักกำลังใจดี จนกระทั่งยืนรอปล่อยตัว โถ คุณขา ฟอร์มดีๆทั้งหมดที่เตรียมมาเริ่มฝ่อไป ก็คุณพี่เล่นปล่อยตัวช้า จากที่สัญญากันว่าจะปล่อยหกโมง พี่เล่นตัวลากไปจนถึง 6.30 น้องนางหัวใจแทบสลายเมื่อมองเห็นแสงบนฟ้า ค่อยๆสว่างขึ้น สว่างขึ้น 



ถึงเวลาปล่อยตัว วิ่งไปอย่างมีสมาธิมาก แต่ก็เสียจังหวะเร่งความเร็วไปเยอะเพราะพยายามแทรกตัวเองเบียดเสียดกับฝูงนักวิ่ง 4 กิโลเมตรแรกวิ่งอย่างสวยงามมากค่ะ ยิ้มกริ่มในใจเบาๆ รางวัลน่าจะไม่หลุดลอย แต่พอพ้นกิโลที่4 เข้าสู่กิโลที่ 5 เท่านั้นแหละ หมดค่ะ หมดวูบไปเลยทีเดียว หมดจนต้องพาตัวอันบอบบางเข้าไปจ๊อกหลบมุมข้างทาง หิวน้ำมาก รู้สึกกระหายสุดๆ พยายามฮึดให้ไปให้ถึงจุดกลับตัวเพราะหวังว่ามันน่าจะมีน้ำให้บ้าง แต่แล้วก็ไม่มี แอบงอนกลับตัวไป คิดในใจ อีกตั้งสองโลนี่หว่ากว่าจะมีน้ำ งอน งอน งอน 

หลังจากกลับตัวที่ 5 กิโลมาแล้ว ก็วิ่งๆ สลับหยุดเดิน เพราะมันเป็นเส้นทางวิ่งหน้าท้าแดด พระอาทิตย์ก็ดูท่าจะขยันเหลือเกินในวันนั้น ยอมรับเลยว่า แกร่งแค่ไหน ฉันก็ยอมพ่ายให้กับพลังงานโซล่าในครั้งนี้ ไม่เหนื่อยเลยนะ แต่รู้สึกถูกดูดพลัง รู้เลยว่าให้วิ่งอัดกว่านี้ก็ไหว แต่แล้วจะเป็นลมเพราะความร้อนแน่ๆ เมื่อเคยมีบทเรียน จึงประมาณตน ไม่ใส่จนสุดพลังดีกว่า เห็นรถพยาบาลผ่านมา จึงโบกเรียกเพราะอยากได้ฉี่อูฐเพิ่มพลัง แล้วก็เป็นดังทุกครั้ง ไม่รู้ว่ารถพยาบาลมีไว้ทำไม แทนที่เจ้าหน้าที่จะเตรียมเอาใส่สำลีไว้ กลับต้องยืนรอให้หยิบขวด เปิดขวด จุ่มให้อีก 5 นาที อารมณ์เสีย เมื่อได้มาก็สูดเข้าไปเต็มพลัง แล้วก็ค่อยๆพาตัวเอง วิ่งๆ เดินๆ ให้ครบระยะทางให้ได้

ผ่านพ้นกิโลเมตรที่ 9 ก็ลงจากทางยกระดับมาวิ่งบนถนนเพื่อกลับเข้าสู่โรงพยาบาลศิริราช ตามเคยค่ะ งานวิ่งในเมือง รถบนท้องถนนหนาแน่ แต่การวิ่งดมคาร์บอนมอนออกไซด์กลับทำให้ฉันเพลิดเพลินมากกว่าวิ่งหน้าท้าแดดเยอะ พยายามใส่พลังทั้งหมดที่มีลงไปที่ระยะทางเฮือกสุดท้าย จนได้ยินพี่แอพ เซย์ซัมติงว่า 10 กิโลแล้วนะ คิดในใจ แหม่..แถมระยะให้ฉันอีกแล้วล่ะสิ แต่จะทำไรได้ ก็กัดฟันวิ่งต่อไปจนถึงเส้นชัย 100 เมตรก่อนถึงเส้นชัย รวบรวมแรงทั้งหมดที่มี แต่ก็ไม่รู้แรงมาจากไหนเยอะแยะนะ เลยทำให้วิ่งเข้าเส้นชัยแบบสวยมากจริงจริ๊ง



บทสรุปกับงานวิ่งศิริราชในครั้งนี้ 11 กม. กับเวลาตามแอพที่ 1.07 ชม. แย่กว่างานวันจักรี ไม่ค่อยพอใจกับผลงานตัวเอง แต่ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ทั้งอากาศ ความร้อน และร่างกายที่ไม่ค่อยสมประกอบ ถือว่ายอมรับได้ ก็ด่ะ

ได้รับฟังว่า ทางศิริราชจัดงานเองทั้งหมด ไม่ได้มีทีมเข้ามาร่วมจัด ส่วนตัวคิดว่า จัดงานได้ดีเลยทีเดียว ทั้งการรับเบอร์ ฝากของ การประชาสัมพันธ์งาน แต่ถ้าให้ติ ก็คงเป็นเรื่องจุดให้น้ำที่น้อยเกินไป น้ำเตรียมไม่ทันนักวิ่งที่วิ่งมาจนทำให้ต้องยืนรอ น้ำไม่เย็นชื่นใจ และควรปล่อยตัวนักวิ่งให้ตรงตามกำหนดการ เพราะยิ่งสาย มันยิ่งร้อนจริงๆนะจ๊ะ

บายเดอะเวย์ หลังจากงานวิ่งครั้งนี้แล้ว ฉันขอประกาศกร้าวไว้ ณ ที่นี้ ว่าจะไม่วิ่งงานวิ่งที่จัดบนทางยกระดับอีกจนกว่าจะถึง กรุงเทพมาราธอนที่ตั้งใจจะลงสนามฟูลมาราธอนเป็นครั้งแรก ความร้อนที่แผดเผาไม่ไม่ไหวจริงๆนะคุณเอ๊ย..

Thursday, April 11, 2013

[Race Diary] Unique Running Khaoyai 03.03.13



สมัครงานวิ่ง Unique Running เขาใหญ่ เพราะติดใจบรรยากาศเขาใหญ่จากงาน TNF100 เมื่อต้นปีที่ผ่านมา จากที่เขาใหญ่เคยเป็นจุดหมายปลายทางที่ไม่เคยอยู่ในความคิด แต่เมื่อได้ลองไปเยือน ฉันตกหลุมรักมันมากๆ ทั้งที่มันไม่ได้มีอะไรที่โดดเด่นเป็นพิเศษ และไม่ได้ตอบโจทย์คนรักทะเลอย่างฉันเลยสักนิด แต่มนต์เสน่ห์ของเขาใหญ่ ดึงดูดให้ฉันรู้สึกอยากจะกลับไปเยือนอีกสักครั้ง



ฉันเลือกลงวิ่งในระยะฮาล์ฟมาราธอน เพราะโดยส่วนตัวชอบวิ่งในระยะนี้มากกว่าระยะมินิ ความกดดันที่น้อยกว่า ความสนุกกับห้วงเวลาที่อยู่กับตัวเองบนทางวิ่งระยะไกลมีมากกว่า ต้องวิ่งไกลกว่าและยาวนานกว่า แต่ฉันรู้สึกว่ามันเหนื่อยน้อยกว่า สุขมากกว่า และสะใจมากกว่ามากเมื่อเข้ามาถึงเส้นชัย


ถือได้ว่าเป็นอีกสนามที่เตรียมพร้อมมาอย่างดี คืนวันศุกร์พักผ่อนอย่างเต็มที่ ออกเดินทางจากกรุงเทพฯช่วงบ่ายเพื่อไปถึงเขาใหญ่ในช่วงบ่ายแก่ๆ ระหว่างทางมีฝนเทลงมาเล็กน้อย และได้รับการแจ้งข่าวจากเพื่อนที่ไปถึงจุดหมายปลายทางก่อนว่าที่อุทยานฝนตกหนักมาก พาลทำให้คิดว่า ถ้าเช้าวันวิ่งฝนตก จะทำอย่างไรดีหนา หันไปพูดติดตลกกับคนข้างๆว่า ถ้าตื่นมาตีสี่แล้วฝนตก เราจะนอนต่อกันนะจ๊ะ

บรรยากาศดินเนอร์ที่ Vino di Zanotti

เข้าที่พัก Ma Villa เก็บข้าวของ ออกมาหาอะไรทาน มื้อเย็นวันนั้นจัดเต็มกันกับอาหารอิตาเลี่ยน โหลดไกลโคเจนกันเต็มที่ คุยกะพี่เสือเบาๆก่อนนอน เข้านอนสี่ทุ่ม เรียกได้ว่าทุกอย่างลงตัวพร้อมสำหรับการตื่นขึ้นมาลงสนามในวันรุ่งขึ้นมากๆ ตีสี่เสียงนาฬิกาปลุก แต่งตัวให้พร้อม ออกเดินทางไปยังจุดปล่อยตัว ไปถึงบริเวณนั้นประมาณตี5 นิดๆ คิดว่ามาเร็วแล้วนะ แต่ก็สายไปมากเพราะมีคนมาถึงก่อนมากทีเดียว และที่คิดว่าเตรียมตัวมาพร้อมก็คิดพลาดไป เพราะฉันดันอยากจะเข้าห้องน้ำ แต่ว่าคิวห้องน้ำยาวมาก ครั้นจะไปขอแซงเพราะจะถึงเวลาปล่อยตัวในอีกไม่กี่นาทีแล้วก็ดูจะเป็นเรื่องยาก เลยทำใจ ไม่เข้าก็ได้ แล้วรีบวิ่งกลับมาเตรียมพร้อมกับการปล่อยตัว

สนาม Unique Running เขาใหญ่ดูเป็นสนามที่คึกคักมาก แต่สังเกตได้เลยว่านักวิ่งส่วนใหญ่มาด้วยความตั้งใจที่ดี ไม่ได้จ้องแต่จะแข่งขัน ทุกคนดูพร้อมจะสนุกและอิ่มเอมไปกับบรรยากาศ ถึงเวลาปล่อยตัว ตั้งสติบอกตัวเองว่า อย่าออกตัวเร็ว อย่าออกตัวเร็ว หนทางนี้ยังอีกยาวไกล อย่าให้มันหมดแรงก่อนจะถึงครึ่งทาง แต่กระเพาะปัสสาวะเจ้ากรรมมันเริ่มแบกรับไม่ไหว เลยทำให้ช่วงแรกของการวิ่งเป็นไปอย่างทรมานมาก

ก่อนเข้าเส้นชัย หมดแรงเต็มที

และที่แน่นอน เมื่อเส้นทางเป็นป่าเขา วิวสวย การจะหาห้องน้ำเป็นไปได้ยากมาก วิ่งไปได้ประมาณ 3 กิโล เริ่มรู้ว่าไม่ไหวแล้วเว้ย แย่แน่ๆ เห็นอาแปะกวาดบ้านอยู่หน้าร้านขายของชำ ยกมือไหว้ขอเข้าห้องน้ำ แปะใจดีปนงง ชี้ทางบอกลื้อไปหลังบ้าน พบเจอห้องน้ำเท่านั้นแหละเหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่จะให้ชีวิตราบลื่นดั่งนิยายคงเป็นไปไม่ได้สำหรับชีวิตสวย อาแปะดันเลี้ยงหมาซึ่งผูกไว้อยู่หลังบ้าน เมื่อพบเจอคนแปลกหน้า มีหรือที่มันจะไม่ทำร้ายทักทายฉัน และแล้วสองเท้าสกปรกเปื้อนโคลนของน้องหมาก็ตะกายเต็มขาฉัน และฉันก็พารอยจารึกของมันเดินทางร่วมกันไปอีก 17 กิโลอาแมน

หลังจากหมดทุกข์ก็ถึงเวลาที่ฉันต้องตั้งใจวิ่งอย่างเต็มที่แล้ว วิ่งด้วยจังหวะที่ตั้งใจว่าจะให้ครึ่งแรกช้ากว่าครึ่งหลัง เอาแรงไปลงกิโลที่ 18 เส้นทางที่วิ่งมีทั้งช่วงขึ้นเขาและลงเขาสลับกันไป ถือว่าเหนื่อยอยู่เหมือนกันในยามที่ต้องวิ่งตามทางขึ้นเขา แต่ก็พยายามประคองตัวเองให้ไม่หยุดเดิน มีพักที่จุดแจกน้ำบ้าง แต่ก็รีบดื่ม รีบวิ่งต่อ จนถึงช่วงจุดกลับตัว เจอคุณลุงแฟนซีท่านหนึ่ง แกดูมีความสุขนะ และก็พยายามพูดคุยทักทายกับนักวิ่งที่แกรู้จัก แต่ความร่าเริงของแก สร้างความหงุดหงิดใจให้กับฉันมาก ทั้งที่ฉันพยายามบอกตัวเองแล้วว่า เอาน่ะ ใจเย็นๆ วิ่งด้วยจิตใจดีๆสิคะสวย แต่การที่ลุงวิ่งโฉบซ้ายที ขวาทีอยู่ตรงหน้าฉันมันเกินจะทนจริงๆ พยายามแซงแกช่วงที่แกแวะทักทาย แต่สุดท้ายไม่รู้อะไรดลบันดาล แกต้องแซงกลับมาเผื่อวิ่งโฉบไปมาหน้าฉันทุกที สุดท้าย ฉันเลยยอม ทนความมึนกับการปาดหน้าของลุงแกไม่ไหว จึงยอมชลอเพื่อให้ลุงแกห่างไปไกลๆ

จนมาถึงสักกินโลที่ 18 ตอนนั้นรุ้สึกว่าไม่ไหวแล้ว จากที่ตั้งใจว่าเมื่อมาถึงระยะนี้จะทุ่มสุดตัวเพื่อเข้าเส้นชัย แต่บอกตรงๆ ตอนนั้นมันเหนื่อยสุดชีวิตแล้วจริงๆ เพราะถือได้ว่า เป็นระยะฮาล์ฟครั้งแรกที่ไม่หยุดเดินเลย เหนื่อยก็พยามผ่อนด้วยการจ๊อกเบาๆไปเรื่อยๆ แต่มาถึงตรงนี้ น้ำตาคลอเบ้าแล้ว วิ่งไปกรีดร้องไป กรีดร้องจริงๆนะ นอกจากกรีดร้องแล้วยังมีการจิกมืออีกด้วย ดูทรหดอดทนและโหดร้ายมาก แต่มันเกิดขึ้นแล้วจริงๆ 

ขึ้นรับรางวัลบนเวทีครั้งแรกในชีวิต

กิโลที่ 19 พยายามบอกตัวเองว่าอีก 2 กิโลเท่านั้น ทนอีกหน่อย ตอนนั้นจังหวะการวิ่งเหลือสปีดต่ำมาก ตั้งใจจะไม่เร่ง รอให้ถึงกิโลที่ 20 ก่อน แต่งในช่วงกิโลสุดท้าย ถนนสู้เส้นชัยดูวุ่นวายมาก คนที่วิ่งระยะมินิพากันกลับ รถวุ่นวาย ต้องวิ่งไประวังรถไป จนมาถึง 800 เมตรสุดท้าย ตั้งใจเร่งใส่เต็มแรงที่เหลืออยู่น้อยนิด จนคุณลุงที่วิ่งมาข้างๆกันเห็นฉันเร่งจนต้องหันมาบอกว่า ใจเย็นๆ อย่าเพิ่ง อีกตั้ง 800 นะหนู แต่แล้วก็มีรถปาดหน้า ทำให้ถึงกับต้องเบรคเสียจังหวะ และโวยวายใส่รถคันนั้น โถ..คุณทำลายเรี่ยงแรงเฮือกสุดท้ายของฉัน

ครูดิน สถาวร โค้ชผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ

ก่อนถึงเส้นชัย หมดแรงมากๆแล้วจริงๆ เหนื่อยจนพูดไม่ออก เหนื่อยจนน้ำตาไหลแล้ว จิกมือจนชาไปหมด แต่ก็ยังบอกตัวเอง อีกนิดเดียว ต้องทำได้ดิวะ หล่อวิ่งมารับ ณ ขณะที่เห็นหน้าหล่อนี่น้ำตาแทบไหลพราก ดีใจ แต่มันพูดไม่ออกแล้วจริงๆ หล่อวิ่งข้างๆไปจนถึงเส้นชัย เมื่อถึงเส้นชัยดีใจมาก เหนื่อยแทบลงไปนอนกับพื้น และต้องงงมากเมื่อเจ้าหน้าที่ยื่นป้ายให้ว่าชั้นได้รับรางวัลที่ 3 สำหรับรุ่นอายุ ระยะทาง 21.5 กม. กับเวลา 2.14 นาที (ถือว่าไม่เลว แต่ดีกว่าฮาล์ฟแรกในชีวิตมาแค่ 1 นาที)ไม่คิดไม่ฝันว่ามันจะเกิดขึ้น ถ้วยรางวัลแรกในชีวิต ที่ฉันพูดได้เต็มปากว่ามันแลกมาด้วยเหงื่อ และน้ำตาจริงๆ



Unique Running เป็นสนามวิ่งที่จัดงานออกมาได้ดีค่ะ ดูทุกอย่างลงตัว ไม่ค่อยวุ่นวายดี เส้นทางวิ่งกับสนามเขาใหญ่นี้สวย และน่าประทับใจดี จะมีตะกุกตะกักบ้างก็ที่ไม่สามารถกั้นรถได้ 100 เปอร์เซ็นต์ จนนักวิ่งต้องวิ่งไประวังไป แต่โชคดีที่เป็นเส้นทางที่รถยังไม่เยอะมาก จะมีปัญหาก็ช่วงถนนก่อนทางขึ้นอุทยาน ที่วุ่นวายและไม่มีเจ้าหน้าที่จัดการกับการจราจรของรถที่วิ่งเสร็จแล้ว และจะเดินทางกลับ มันอันตรายมากจริงๆนะคะ โดยรวมขอชื่นชมการจัดงานของผู้จัด แม้เหรียญจะหมด (ฉันเป็นนักวิ่งระยะฮาล์ฟที่ได้รางวัล เหรียญยังหมดเลยเมื่อฉันเข้าเส้นชัย แล้วคนที่ตามหลังมาอีกตั้งเท่าไหร่ น่าจะเตรียมให้พอแต่แรกนะคะ) แต่ก็ยังส่งเหรียญมาให้ถึงบ้านตามคำสัญญา 

เหรียญพร้อมข้อความขอบคุณจากทีมงาน

สนามยูนีค รันนิ่ง สุโขทัยกำลังจะมีขึ้นในวันที่ 30 มิถุนายน 2556 นี้ ไม่อยากพลาดเลยจริงๆ แต่จุดหมายปลายทางที่จัดงานดูไกลเมืองกรุงซะเหลือเกิน เอาเป็นว่า ณ ตอนนี้ยังขอเวลาตัดสินใจอีกสักหน่อย แต่ถ้าเป็นไปได้ ไม่อยากจะพลาดเลยจริงๆ

Wednesday, April 10, 2013

[Race Diary] ColumbiaTrail Master 2013 Episode IV



ในวาระที่ Columbia Trail Master จะบรรจบมาจัดขึ้นอีกครั้งในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ สวยเลยขอมาบอกเล่า แบ่งปันประสบการณ์ที่เคยได้รับจากการไปเป็นส่วนหนึ่งในงานโคลัมเบียสักหน่อยดีกว่า เผื่อว่าใครที่ยังไม่เคยได้ลอง และกำลังคิด ตัดสินใจ ไปไม่ไป ยังไงดีจะได้พอมีไอเดียวคร่าวๆ นำไปประกอบการตัดสินชะตาชีวิต 




ย้อนกลับไปตอนตัดสินใจไปวิ่งเล่นในงาน ColumbiaTrail Master 2013 Episode IV@ Horseshoes Point ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 13 มกราคม 2555 งานนี้มีให้เลือก 3 ระยะค่ะ 21.5 / 10 / 4 ฉันและทีมงานเลือกลงแบบทางสายกลาง จัดไปกันแค่คนละ 10 กม.พอเพราะยังหวาดหวั่นกับเส้นทางและลักษณะการวิ่งที่ไม่คุ้นชิน  

บอกตรงๆตอนนั้นไม่เคยรู้เลยว่าไอ trail running มันคืออะไร แต่ซนที่จะไปเพราะอยากเปลี่ยนที่วิ่ง อยากหาเรื่องเที่ยว แล้วพ่วงเอาการวิ่งเป็นข้ออ้างจัดทริปกับแก๊งค์เพื่อนสาว เมื่อทุกคนมีเป้าหมายตรงกันคืออยากไปเที่ยว ดังนั้นจึงสมัครไป แล้วเราค่อยมาหาข้อมูลกันว่าเราจะเจอกับอะไร

สนามโคลัมเบียที่ฉันไปจัดที่รีสอร์ท Horseshoes Point ซึ่งตอนที่ไปนั้นถือว่าโชคดีมากที่มีดีลของรีสอร์ท พอดีจึงสอยห้องพักมาทำให้ชีวิตง่ายขึ้นเยอะกับการเตรียมตัววิ่งในครั้งนี้ เพราะไม่ต้องตื่นเช้าเสียเวลาเดินทาง แต่สามารถลืมตาและงัวเงีย (ขอใช้คำว่างัวเวีย) ลงมาวิ่งได้ทันทีเพราะจุดปล่อยตัวห่างจากห้องพักไม่ถึง 100 ม. 


สภาพเส้นทาง วิ่งจริง ไม่มีสแตนอิน

แล้ว Trail running คืออะไร อธิบายง่ายๆตามสไตล์สวย วิ่งเทรลก็คือการวิ่งเล่นกลางดงพงไพร วิ่งบนเส้นทางที่มันไม่ปกติ ทางที่คนปกติเค้าไม่เลือกไปวิ่งกัน ใครยังนึกภาพไม่ออกขอให้ลองจินตนาการถึงวัยเด็กที่เป็นลูกเสือ เนตรนารีเดินทางไกลถือไม้ง่าม ประมาณนั้นแล และสำหรับเส้นทางการวิ่งในครั้งนี้ ได้รับการบรีฟจากรุ่นน้องที่ทำงานกับแบรนด์นี้ก่อนมาวิ่งว่าเป็นการวิ่งในป่าไผ่ ชิลๆ ง่ายๆ สบายๆสนุกๆพี่ หนูยังวิ่งได้เลย แล้วทำไมพี่จะวิ่งไม่ได้เอ้า เมื่อน้องมันท้ามาซะแบบนี้ ฉันก็เลยไม่ได้หวั่นใจอะไร ก็แค่เปลี่ยนจากถนนลาดยาง เป็นดิน ฟังดูไม่น่านักหนาอะไรนี่หนา

เมื่อถึงเวลาปล่อยตัว มองดูสมาชิกเหล่าคนร่วมอุดมการณ์ในงานนี้ ส่วนใหญ่จะเป็นชาวต่างชาติที่อยู่ในพัทยากันซะส่วนใหญ่ คนไทยก็มีประปราย และส่วนใหญ่ดูทุกคนจะพร้อมด้วยพรอพกันมากๆ พาลทำให้รู้สึกว่า นี่ฉันมาแบบสบายๆเกินไปหรือเปล่า ใครเขาก็มีปลอกแขนกันแดด ปกป้องตัวเองจากรังสียูวีกันสุดฤทธิ์ แต่ฉันมาแบบวิ่งในสวนลุมมากๆเลยนะนี่


ด้วยความที่มีนักวิ่งร่วมงานนี้ไม่เยอะมาก ถือว่าเป็นงานอบอุ่นที่คนไม่ล้นหลาม ช่วงเวลาปล่อยตัวฉันดันซ่าไปยืนอยู่ด้านหน้า เลยพาลทำให้โดนกระแสคนผลักดันให้วิ่งออกตัวอย่างเร็วมาก จนเสียจังหวะของตัวเอง กิโลแรกเพซการวิ่งของฉันอยู่ที่ 4 ปลายๆ ซึ่งถือว่าเร็วมาก เร็วผิดปกติสำหรับฉันที่ ณ วันนั้น ที่ไม่เคยวิ่งในระดับความเร็วเท่านั้นมาก่อน ระยะทางช่วงแรกของการวิ่งเป็นการวิ่งบนสนามหญ้า (สนามฟุตบอลของรีสอร์ท) แต่แล้ว ยังไม่เกิน 500 เมตรแรกดี ความจริงอันโหดร้ายก็เริ่มปรากฎ

จากสนามหญ้ากว้างๆ นักวิ่งโดนบีบให้ตั้งแถวเรียงเดี่ยววิ่งเข้าไปในป่า ซึ่งเส้นทางหลักๆเป็นการวิ่งในไร่มันสำปะหลัง นอกจากต้องระวังกับพื้นดินที่ผิวไม่เรียบ อารมณ์แบบว่าวิ่งตามร่องไร่จริงๆแล้ว ยังต้องทุ่มพลังทั้งหมดไปกับการวิ่งบนทราย เนื่องจากพื้นส่วนใหญ่ของไร่ในละแวกนี้เป็นพื้นทราย ไอดิน ไอทรายนี่ยังไม่หนักหนา เท่ากับการที่ต้องเขย่ง เล็งหลบกองนิวเคลียร์จากพี่วัวนะคะ เรียกได้ว่า งานนี้กลายร่างเป็นน้องหมาวิ่งเล่นในไร่ในทุ่งเลยจริงๆ
 
สำหรับการวิ่งเทรลครั้งแรกในชีวิต ขอบอกเลยว่าการวิ่งในครั้งนี้โหด และทรหดมาก แม้จะโชคดีที่วันนี้พี่แดดไม่ค่อยขยันทำงานเท่าไหร่ แต่สภาพพื้นที่ไม่ปกติมันสูบพลังมากเลยทีเดียว ฉันวิ่งไปเรื่อยๆ จนไปหมดแรงเอาในกิโลที่ 5 ตอนนั้นถึงขั้นหยุดเดินเลยทีเดียว อีกเหตุผลที่ทำให้การวิ่งนี้ฉันไม่สบายตัวอาจเป็นเพราะงานนี้ต้องถือขวดน้ำวิ่ง ด้วยสภาพเส้นทางเป็นป่า จึงทำให้จุดให้น้ำมีน้อย และผู้จัดงานจึงขอความร่วมมือให้นักวิ่งทั้งหลายพกเอาขวดน้ำติดตัวไป ฉันที่ไม่เคยวิ่งไปถือขวดน้ำไป จึงรู้สึกไม่ถนัดอย่างแรง จนไปถึงกิโลที่ 8 เริ่มรู้สึกล้าสุดๆกับการถือขวด เมื่อเจอเจ้าหน้าที่ จึงขอฝากเค้าไว้ พี่เค้าก็ใจดีนะ รับขวดไปถือให้แบบงงๆ




เส้นทางโหดแต่ฉันก็ใส่เต็มกับการวิ่ง ไม่ได้ประมาณตน ไม่ได้ระวังเรื่องการบาดเจ็บเท่าไรนัก สุดท้ายเข้าเส้ยชัยด้วยเวลา 1.03 ชม. กับการวิ่งเทรลระยะ 10 กิโลเมตรถือว่าทำได้ไม่เลวเลยทีเดียว แต่..สนามนี้ก็ทำให้จดจำไปจนตายจากอาการบาดเจ็บเนื่องจากข้อเท้าอักเสบที่เกิดขึ้น ซึ่งสาเหตุหนึ่งน่าจะเป็นเพราะการใช้รองเท้าเทรลคู่ใหม่ที่เพิ่งสอยมามาวิ่ง โดยที่ยังไม่คุ้นชินกับรองเท้า 

ฝากทริคไว้นิดนึงสำหรับคนที่สนใจจะไปร่วมงานนี้ และเป็นการวิ่งเทรลครั้งแรกในชีวิต ถ้าเส้นทางวิ่งแคบ แบบที่อาจจะต้องวิ่งแถวเรียงเดี่ยว ถ้าคุณวิ่งไม่ไหวและอยากหยุดพัก หรือหยุดเดิน อยากให้แลหลังมองคนข้างหลังที่ตามมาสักหน่อย พยายามหลบเข้าข้างทางให้มากที่สุด อย่าเดินเท่ห์ขวางทางเพราะจะพาลทำให้คนอื่นวิ่งไม่ได้และเสียจังหวะไปด้วย และหากต้องเข้าไปวิ่งตามร่องไร่ร่องสวน พยายามมองหาทางวิ่งที่ขรุขระน้อยที่สุด หรือให้ดีก็วิ่งตามคนข้างหน้า เหยียบตามรอยเท้าคนอื่นไป และถ้าไม่มั่นใจในสมดุลการทรงตัวของตัวเองจริงๆ อย่าวิ่งเร็วนักเพราะอาจจะพลาดล้ม ข้อเท้าพลิกเจ็บตัวได้นะจ๊ะ

วิ่งเทรลสนุกไหม? สนุกค่ะ คุณจะได้พบประสบการณ์การวิ่งใหม่ที่ไม่รู้ลืมเลยทีเดียว ถ้าอยากวิ่งเทรลให้สนุก ฉันขอนำแนะว่าควรวิ่งอย่างมีความสุข พร้อมที่จะดื่มด่ำกับธรรมชาติและเส้นทางที่ก้าวเท้าผ่านไป แต่ถ้าตั้งใจทำสถิติ หรือ เวลา ก็ต้องมั่นใจว่าคุณซ้อมมาดี เตรียมตัวมาอย่างดี และร่างกายกล้ามเนื้อแข็งแรงพอที่จะวิ่งในสภาพภูมิประเทศที่แตกต่างจากการวิ่งบนถนนปกติทั่วไปได้อย่างไม่บาดเจ็บ 

ถ้ายังไม่เคยลอง แนะนำว่าให้ลองสักครั้งในชีวิตการเป็นนักวิ่ง คุณอาจจะมีเรื่องเล่า เรื่องโม้เพิ่มขึ้นอีกสักเรื่องก็เป็นได้ race ใหม่เปิดรับสมัครแล้วนะคะ ใครสนใจเชิญได้เลยกับ Columbia Trail Master Episode V

ท้ายที่สุดอยากฝากกับผู้จัดงานไว้สักนิด (เผื่อคุณพี่จะผ่านมาอ่าน) ด้วยกระแสโปรโมทงาน และกระแสที่คนไทยหันมาสนใจการวิ่งมากขึ้น และเริ่มรู้จักการวิ่งเทรลมากขึ้น (สังเกตได้จากงานแบรนด์คู่แข่ง TNF100 ที่จัดไปเมื่อต้นปี) อยากให้คุณผู้จัดใส่ใจกับการจำกัดจำนวนนักวิ่งสักหน่อย โดยเฉพาะสำหรับระยะมินิมาราธอน ฉันเชื่อว่าจะมีคนสนใจร่วมงานคุณเยอะ แต่อยากให้คำนึงถึงปริมาณของฝูงชน ณ ขณะวิ่งด้วย ทางก็ลำบากแล้ว ยังต้องมาเบียดเสียกันอีก มันพาลไม่สนุกเอาเลยจริงๆนะจ๊ะ