Thursday, July 31, 2014

[Race Diary] Pattaya Marathon 2014 พี่พัทยาขาโหดสมคำร่ำลือ



..จะวิ่งไปดูฟ้าสางที่บางเสร่ แต่กลับกลายเป็นลูกเป็ดเดินขี้เหร่ขี้มูกโป่ง

ตัดสินใจสมัครระยะฟูลมาราธอนในสนามพัทยามาราธอน เพียง 6 สัปดาห์ก่อนถึงวันแข่งขัน เหตุผลที่ทำลงไปเพราะเป็นช่วงที่หมดไฟวิ่งระยะไกล มากสุดที่ทำได้ก็ไม่เกิน 15 กม. สักที บวกกับเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกว่าหมดไฟกับอะไรหลายๆอย่างในตัวเอง ฉันอยากกลับมาเข้มแข็งและเคารพตัวเอง เคารพใจตัวเองอีกครั้ง เลยคิดว่า มันต้องมีอะไรสักอย่างมากระตุ้นพลังในตัวเองสักครั้ง และสิ่งที่เรียกพลังให้ตัวเองได้ง่ายที่สุด น่าจะเป็นการวิ่งมาราธอนนี่แหละมั๊ง 

อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจลงมาราธอนที่นี่ เพราะอยากพิสูจน์ให้รู้ว่า มันทำได้จริงหรือกับการวิ่งมาราธอนโดยไม่ต้องซ้อม พักหลังเรามักจะเห็นนักวิ่งหน้าใหม่พากันเฮไปวิ่งมาราธอนเหมือนเป็นอุปทานหมู่ โดยที่หลายคนไม่มีการซ้อมหรือเตรียมร่างกายที่ดี บางทีก็มีประสบการณ์น้อย พากันลงวิ่งโดยคิดว่าไม่ไหวก็เดิน จะเป็นอะไรไป คนที่วิ่งได้จบ ร่างกายสมบูรณ์มันก็มี แล้วก็กลายเป็นตัวอย่างให้คนอื่นอยากไปลองของตาม แต่ไอคนที่วิ่งไม่จบหรือสภาพเกินเยียวยามันก็คงจะมี แค่เค้าอาจจะไม่ได้มาบอกเล่าถึงความทรมานที่ได้เจอ .. สำหรับฉัน ก็ยังคงมีความคิดว่า มาราธอนมันไม่ใช่เรื่องวู่วาม แต่ในเมื่อกระแสพากันไปเฮกันไปมันยังมาแรง งั้นฉันของลองทำเพื่อมาบอกเล่าด้วยตัวฉันนี่แหละ ว่ามันเป็นอย่างไร

พัทยาก่อนจะเป็นสนามแข่ง

สนามนี้เป็นสนามที่สมัครวิ่งแบบวู่วาม ดังนั้นการเตรียมตัวก็พูดได้เลยว่าเตรียมตัวไม่พร้อมเท่าที่ควรจะเป็น มีเวลาให้ซ้อมวิ่งยาวแค่ 5 สัปดาห์ หลังจากสมัครแล้ว ก็เริ่มต้นวางแผนการซ้อมแบบบิ๋มบิ๋ม ก็คือตารางตามใจฉันนั่นแหละ ไม่ได้เตรียมความฟิตร่างกายอะไรเลย แต่เอาแค่ซ้อมให้ได้ระยะแล้วกัน  20 กม. 25 กม. 30 กม.2 ครั้ง และปิดท้ายด้วย 20 กม. ตอนซ้อมระยะ 30 ครั้งแรก สภาพแย่มาก และฝืนใจวิ่ง 30 อีกครั้งก็ยังทำไม่ได้แบบสมบูรณ์ เรียกได้ว่ากำแพงตอนซ้อมของมาราธอนสนามนี้อยู่ที่ 30 กม. ไม่สามารถซ้อมได้เยอะกว่านั้นจริงๆ พูดเลยแบบไม่อาย ว่าทุกครั้งที่ซ้อมวิ่งยาวสำหรับสนามนี้จบด้วยการอาเจียนทุกครั้งค่ะ


ได้ยินคำร่ำลือมาตลอด ว่าสนามพัทยาเป็นสนามที่โหด แม้สำหรับนักวิ่งเจนสนามก็ยังพ่ายกับสนามนี้กันมาแล้ว แต่ตัดสินใจไปแล้ว จะกลับคำก็กลัวจะเสียศักดิ์ศรี ทำใจดีสู้เสือจนวันรุ่งขึ้นจะวิ่งก็ยังเริงร่าไม่ได้เกิดอาการทุกข์ร้อนใดๆ นางยังคงใช้ชีวิตปกติ วีคสุดท้ายก่อนแข่งรึ ใครเขาวิ่งกัน ต้องกินๆนอนๆสิคะถึงจะเรียกว่าครบสูตรตารางแบบบิ๋มบิ๋มของจริง

สิ่งที่พกติดตัวไปวิ่ง

วันเสาร์ก่อนวิ่งอิ่มหมีพีมัน สุขสันต์กับการจับสัตว์ทะเลและคาร์โบไฮเดรต ไขมันโยนลงท้อง เข้านอนสองทุ่มแต่กว่าจะหลับไปจริงๆก็เกือบจะห้าทุ่ม ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่ตีสอง ซึ่งแปลว่าเรานอนไปจริงๆน่าจะแค่ 4 ชั่วโมง ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว กินกล้วยน้ำว้า 2 ผล ขนมปังเนยสด 2 ก้อน ดูดเกลือแร่เจลลี่ อร่อยดีกินเพลิน จ๊อกเบาๆจากโรงแรมไปจุดปล่อยตัว มีเวลายืดเส้นยืดสายเม้าท์มอยนิดหน่อย ไม่ค่อยตื่นเต้นมาก สงสัยเพราะยังไม่รู้ว่าจะเจออะไร


3.45 น. สัญญาณปล่อยตัวดัง เกาะกลุ่มวิ่งไปกับพี่ๆที่นัดแนะกันแต่แรกว่าเราจะไปด้วยกัน คุม pace อย่างดีให้ไม่เร็วเกิน 7 และไม่ช้าเกิน 7.3 วิ่งไปไม่กี่นาทีเหงื่อแตกเต็มตัว แค่ช่วงระยะจากจุดปล่อยตัวไปพัทยาเหนือขึ้นเนินอะมารีก็เหนื่อยแล้ว วิ่งจนออกถนนสุขุมวิทเริ่มมีลมโชย แม้ทางจะเป็นเนินขึ้นลงตลอด บางเนินมองเห็นแต่ไกลว่าชันขึ้นยาวๆแต่ก็ยังไหวอยู่ สักพักรู้สึกเหนื่อย ก้มมองนาฬิกา เฮ้ยอะไรวะ ยังไม่ 15 กม. เลยแต่รู้สึกเหมือนวิ่งมานานมากแล้ว ทำไมเหตุใดไม่ถึงจุดกลับตัวเสียที ตอนนั้นกลุ่มที่วิ่งไปด้วยกันเริ่มเงียบไม่ค่อยคุยกันเหมือนเคย เพราะฝ่าดงเนินจนอึนตอนนี้ชะเง้อหาแต่จุดกลับตัวเท่านั้น
 
พอเริ่มเห็นนักวิ่งสวนทางมาเยอะขึ้น ก็ใจชื้นคิดว่าคงใกล้จุดกลับตัวแล้ว แต่..วิ่งเท่าไหร่ก็ยังไม่ถึงจุดกลับตัวสักที พอเห็นป้ายบอกให้กลับตัวมันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดมาก ตั้งแต่วิ่งมาไม่เคยเห็นจุดกลับตัวแล้วรู้สึกดีใจขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆนะ ฉันมาไกลแล้ว มาตั้งครึ่งทางแล้ว กลับตัวที่ 2.39 ชม. ยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ว่าอยากจะจบให้ได้ไม่เกิน 5.30




แต่ แต่ แต่ ...ดีใจได้ไม่นาน กลับตัวปุ๊บ ชีวิตดิฉันก็เจอจุดเปลี่ยนปั๊บค่ะ หลังจากกลับตัว รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาก เหมือนอยู่ดีๆร่างกายและจิตใจมันก็ชอคไปเสียอย่างนั้น ความเร็วตกลงมาไปอยู่ที่ 7 ปลายๆ แต่ก็ยังใจแข็งเกาะกลุ่มตามกันไปอยู่ พอถึงกม.ที่ 25 ความงอแงเริ่มเยอะขึ้น เริ่มบอกให้พี่ๆทุกคนทิ้งหนูไปเถอะไม่อยากเป็นตัวถ่วงแล้ว แต่ทุกคนน่ารักบอกว่าไม่ได้ ต้องไปด้วยกันจึงพยายามกลั่นใจบอกตัวเองว่าอย่างอแง 

สุดท้ายกิโลที่ 29 เกือบ 30 วิ่งๆอยู่เหมือนมีไฟชอตสะดุ้งที่แขนขวา .. ตะคริวมาทักฉันแล้ว สะดุ้งปุ๊บ หยุดชะงักร้องออกมาดังมาก “พี่โบขอสเปรย์ตะคริวขึ้นแขน” ทุกคนหันมาทำหน้าตกใจ คาดว่าน่าจะเป็นเพราะ งง คนอะไรตะคริวขึ้นแขน ฉีดๆพ่นๆเสร็จแล้ววิ่งต่อไป ช่วงนั้นฝืนตัวเองที่สุด  ใจมันไม่เอาแล้ว และรู้ตัวเองแล้วว่าบุญที่สะสมมามันหมดแบบไม่สามารถต่อได้แล้ว แต่พี่บัดดี้สุดหล่อก็ยังคอยผลักดันฃ วิ่งตามมาเก็บอยู่เรื่อย ด้วยความเกรงใจจึงทำให้ต้องบอกตัวเอง เอาวะ เอาวะ เอาวะ..




ทนแข็งใจจนมาถึงทางแยกเลี้ยวซ้ายเข้าถนนตัดใหม่เพื่อไปหาดจอมเทียน ถึงตรงนั้น ฉันไม่เอาอะไรทั้งนั้นแล้ว แม้จะพยายามบอกใจตัวเองว่าเอาวะ เอาวะ จึงพยายามกัดฟันอีกครั้งเริ่มวิ่ง แต่แล้วกลายเป็นว่าพี่ตะคริวขึ้นที่น่องซ้ายทันที! และตอนนี้มันถึงกับมีเสียงแทรกว่า “กูไม่เอาแล้ว” (ขออภัยที่หยาบคายแต่เพื่ออรรถรสในการเล่าเรื่องค่ะ) งอแงถึงขีดสุด ถ้าปีศาจมาราธอนมีจริง ตอนนั้นเรียกว่าปีศาจมาเต็ม แม้พี่เทพเหนือจะคอยหลอกล่อทุกวิถีทางให้วิ่งไป พี่ขอโลที่ 35 แล้วพี่จะยอมทิ้งเรา ในใจตอนนั้นคิดว่า ทิ้งฉันเลย ทิ้งฉันเถอะ..

ที่หาดจอมเทียน .. เป็นครั้งแรกที่ต้องวิ่งคนเดียวเพราะถึงเวลาต้องยอมปล่อยให้พี่ๆบัดดี้ไปก่อนแล้ว เราถ่วงเขาไว้มากเกินไปแล้ว วันนั้นแดดร้อนมาก ทะเลสวย และฟ้าใส ถ้าเป็นฉากในหนังก็ออซั่มซัมเมอร์ไลฟ์นี่เอง แต่ขณะนั้นฉันไม่พร้อมจะเอนจอยอะไรทั้งนั้น มองนักวิ่งคนอื่นๆก็เตาะแตะ วิ่งเหยาะๆบ้าง เดินบ้าง ทุกคนที่อยู่ข้างหน้า และตามหลังฉันตอนนี้คือเหล่าผู้กำลังต่อสู้กับตัวเองทั้งนั้น พวกเราไม่คุยกันนะ แต่รู้สึกได้ว่ามันมีพลังบางอย่างส่งถึงกันอยู่ “พี่อย่าหยุดนะ หนูเหยาะตามพี่ น้องก็อย่าหยุดล่ะ .. พี่ไม่ไหวแล้วน้องแซงไหม ไม่เป็นไรรีบๆตามมานะ” 



ตอนนั้นบอกเลยว่าเป็นการเดินเล่นชายหาดที่ทรมานที่สุด ทุกข์ที่สุด ใจเราอยากวิ่งมาก มันบอกว่ายังไหวทำไมไม่วิ่ง แต่ทุกครั้งที่เราเริ่มวิ่งไปได้ไม่เกิน 20 เมตร กล้ามเนื้อน่องเราทั้งสองข้างจะกระตุกทันที บางครั้งที่เราฝืนตัวเองว่า ลองไม่สนใจมันแล้ววิ่งไปดูว่ามันจะเป็นอะไรไหม แต่..จากที่แค่กล้ามเนื้อน่องกระตุก เท้าเราจะกระตุกแล้วหงิกงอทันที และต้องหยุดเท่านั้น ถ้าไม่หยุดก็ล้ม .. เป็นอย่างนี้ตลอด 8 กม.สุดท้าย

คอยมองนาฬิกาตลอด และคิดว่ายังสามารถเข้าเส้นชัยได้ภายในเวลาที่ตั้งใจไว้ (5.30 ชม.) ถ้าเรายังคงความเร็วเท่านี้ (เพซ 9) ไปได้เรื่อยๆ แต่แล้วเมื่อมาเจอเนินนรกที่กม. 39 เราก็ไม่สามารถรักษาความเร็วได้อีก (ยังกล้าเรียกว่าความเร็ว) ตั้งแต่กม.ที่ 39 จนถึง 41 เดินอย่างเดียวเลยค่ะ พีคสุดแล้วตอนนั้น ทั้งแดด ทั้งปวดขา ทั้งล้า ทุกอย่างมันสุมกันจนบอกตรงๆว่าไม่รู้ว่ารู้สึกอะไรอยู่ ถึงกับปล่อยโฮร้องไห้แล้ว ..อีกแค่ 2 กม. เราจะไม่ DNF เราจะต้องจบให้ได้ เวลายังเหลือ เดินไปมันก็ต้องถึง

ณ walking street

เข้ามาที่ walking street แปลว่าเหลืออีกแค่ 1 กม. เท่านั้นทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้ว ทุกคนก็คงคิดเหมือนกันว่ากิโลสุดท้ายที่มันช่างไกลมาก เจอโปรรุจน์ที่คุ้นเคย พยายามจะวิ่งเพื่อให้ได้ท่าสวย สุดท้ายก็ชะงักหน้ากล้องเพราะตะคริวมา แทนที่จะได้ภาพงาม ตอนนั้นพี่ช่างภาพกดชัตเตอรืชอตปาดน้ำตารัวๆ แหม่..


ที่ 500 ม. สุดท้ายน้องต๊อตตินักวิ่งเท้าไฟวิ่งมารับ ที่ 400 ม. พี่เหนือวิ่งมารับ ที่ 300 ม. พี่อัค พี่โอ๋วิ่งมารับพาจูงมือวิ่งเข้าเส้นชัย ตอนนั้นร้องไห้ ร้องไห้อย่างเดียวแล้ว ทุกคนบอกว่าอีกนิดเดียว จะถึงแล้ว รอนานแล้ว (คือ..ที่มารับเพราะยืนตากแดดนานแล้ว) อยากจะพูดขอบคุณทุกคน แต่ตอนนั้นไม่มีแรงแม้แต่จะอ้าปาก .. สุดท้ายทุกคนปล่อยให้เราเข้าเส้นชัยเอง พอเท้าเหยียบเส้น check point ดัง ร่างหยุดทันที แล้วร้องไห้โฮอยู่ที่เส้นชัยนั่นแหละ ..

ชาวคณะที่มารับเข้าเส้นชัย

พี่ตะคริวนี่เหมือนรู้นะ ว่าตอนไหนควรจะมาอย่างจัดหนัก พยายามจะเดินออกจากเส้นชัยหลังจากสตั๊นไปแปบนึง แต่กลับกลายเป็นว่าเดินไม่ได้เลย จนต้องพยุงไปที่เปลพยาบาล ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ใครพูดอะไรจำได้ รู้เรื่อง แต่สมองไม่สั่งการ นอนคลายเส้น ตั้งสติสักพัก ถึงจะได้สติอีกครั้ง




พัทยามาราธอน จบลงที่เวลา 6.01 ชม. เป็น 42.195 กม.ที่ครบรสมาราธอนที่คนๆนึงพึงเจอสักครั้งในชีวิตจริงๆ ได้เจอปิศาจ ได้ทะเลาะวิวาทกับตัวเอง ได้ทดสอบใจตัวเองว่าสู้แค่ไหน ที่เค้าพูดๆกันว่า หากคุณหมดศรัทธาในมนุษย์ให้ไปดูการแข่งมาราธอน ฉันเชื่อมันแล้วจริงๆ การได้ทดสอบขีดความสามารถของตัวเองและเอาชนะขีดจำกัดของตัวเองได้นี่มันที่สุดจริงๆ ตอนแรกรู้สึกแย่มากที่ไม่สามารถวิ่งได้ภายในเวลาที่ตั้งใจไว้ แต่พอลองคิดดู เรามัวยึดติดกับเวลา จนลืมคำว่า “สำเร็จ” ไปหรือเปล่า .. อย่างน้อยเราก็หาคำตอบให้คำถามที่เราตั้งไว้กับตัวเองจนทำให้ต้องลงมาราธอนเพื่อคุยกับตัวเองได้สำเร็จนะ  “ที่สุดของคน คือ 'ใจ' ร้องไห้ได้แต่ห้ามหยุด เจ็บแค่ไหน ทรมานแค่ไหนก็ต้องไปข้างหน้า ไม่มีใครพาเราเข้าเส้นชัยถึงจุดหมายได้นอกจากตัวเราเอง เธอแกร่งกว่าที่ตัวเธอคิด”


ณ ตอนนี้หลังจากได้นั่งทบทวนตัวเองมาหลายวัน ถามตัวเองว่า ฉันร้องไห้ทำไม .. คิดว่าน่าจะเป็นเพราะคนๆนึงมันถึงขีดสุดแล้วจริงๆ น้ำตาระหว่างทาง มันคือเพราะความทรมาน แต่น้ำตาที่เส้นชัย มันคือน้ำตาแห่งความปิติที่แทนการตะโกนว่า “มันจบแล้วโว๊ยยยย”

I'm a finisher!

สำหรับใครที่อยากวิ่งมาราธอน .. ถ้าซ้อมไม่พร้อม และไม่อยากทรมาน อยากแนะนำว่าอย่าเลย เอาให้พร้อมจะดีกว่า มันไม่สนุกเลยนะ ผ่านมา 2 มาราธอนแล้ว เราก็ยังหาความสนุกของการวิ่งมาราธอนไม่ได้เลยจริงๆ คือ มันก็ฟิน แต่มันไม่จำเป็นต้องทรมานเพื่อจะฟิน .. งงไหม เอาเป็นว่า ถ้าคุณพร้อม มันจะสนุกขึ้นในระดับนึง .. และฝากอีกนิด .. สนามพัทยามาราธอน ถ้าคุณกล้า เราท้าให้ลอง ฮา...

สุดท้าย .. ขอบคุณพี่ๆทุกคนที่วิ่งด้วยกัน ขอบคุณนักวิ่งที่แวะทักทายให้กำลังใจกันแม้เราจะไม่เคยรู้จักกัน ขอบคุณทุกคนที่วิ่งกลับมารับ มันทำให้เรายังมีแรงเฮือกสุดท้ายเข้าเส้นชัยได้ และขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านและให้กำลังใจนักวิ่งดราม่าควีนนะจ๊ะ เชื่อเถอะ .. เดี๋ยวก็มีอะไรมาเม้าท์มาดราม่าอีกบ่อยๆ

Tuesday, July 8, 2014

[Review] New Balance Minimus 10v2 Glow in the dark Ep.1



ห่างหายจากการรีวิวรองเท้าไปนานมาก เพราะเป็นคนเลือกมาก เรื่องมาก ที่สำคัญงก! จึงต้องมองหาคู่เท้าที่ถูกใจจริงๆจึงจะยอมไปสู่ขอมาอยู่ด้วยกัน นับจากครั้งสุดท้ายที่ซื้อรองเท้าวิ่ง พี่พิ้งค์กี้ Mizuno Wave Spacer AR4 ก็ 1 ปีมาแล้ว จากที่ใส่พี่เค้าเฉพาะเวลาลงสนาม ไปๆมาๆกลายเป็นว่าใส่ทุกวัน ทุกครั้งที่วิ่งเพราะติดใจในความเบา และความรู้สึก “ใช่” ที่เกิดขึ้น
 
เมื่อได้ลองรองเท้าที่เบา และ minimal ไม่ต้องช่วยซัพพอร์ทอะไรมากมายแล้วติดใจ จึงทำให้ตั้งใจว่า หากจะซื้อรองเท้าคู่ใหม่มันจะต้องทำให้วิ่งสนุกได้อย่างเจ้าคู่นี้ จนแล้วจนรอดก็ไม่เจอที่ถูกใจ ไอที่เล็งที่ชอบเมืองไทยก็ไม่มี ต้องลำบากไหว้วานคนเดินทางให้หามาให้ ก็ไม่ใช่นิสัยของฉัน เลยทำให้ใส่รองเท้าคู่เดิมมาจนเริ่มรู้สึกได้ถึกความสึกกร่อนของพื้นรองเท้า

แล้วทำไมจึงมาเป็นตระกูล Minimus ของ New Balance?
จริงๆเล็ง Minimus มาตั้งแต่เพิ่งหัดวิ่งแล้ว แต่ด้วยตอนนั้นยามที่วิ่งใหม่ๆ ยังไม่รู้ว่าอะไรที่เหมาะกับตัวเองดี จึงเป็นปกติของคนทั่วไปที่มักจะมองหารองเท้าที่ซัพพอร์ทไว้ก่อน อะไรไม่รู้ ฉันขอใส่แล้วมันต้องนุ่มเพราะเชื่อว่ามันจะดีกับเข่าของฉัน แต่เมื่อวิ่งไปสักพัก และเข้าใจสไตล์และความต้องการของตัวเองในระดับหนึ่งแล้ว ทำให้รู้ว่าฉันเป็นผู้หญิงเยอะ ที่ไม่ได้ต้องการรองเท้าที่เยอะ minimal running shoes จึงเป็นคำตอบ 


ส่วนตัวเป็นคนชอบแบรนด์ New Balance อยู่แล้ว เพราะชอบที่ทำรองเท้าวิ่งเอาใจคนเท้าแบน เท้าบาน เท้าอ้วนแบบฉันได้ดี หน้ารองเท้าไม่ค่อยแคบและบีบให้เจ็บ รองเท้าวิ่งคู่แรกของฉันก็ New Balance นี่แหละ มันเลยเป็นความประทับใจเรื่อยมา และ Minimus เป็นรุ่นรองเท้าที่ตรงความต้องการ คือ ไม่ต้องเยอะ และให้ความรู้สึกใกล้เคียง barefoot โดยที่ยังไม่เท้าเปล่าแบบ extreme เพราะยังไม่อยากก้าวไปจุดนั้น 

เล็งพี่เค้าอยู่นาน ตั้งแต่รุ่นเก่ายันรุ่นใหม่ สุดท้ายเหมือนต้องมนต์  เมื่อเจอโปรโมชั่น The 1 card ของ SuperSports เข้าไป ค่าตัวพี่อยู่ที่ 3,950 บาท แต่ตอนนี้มีโปรโมชั่น บวกลบคูณหารในใจอย่างรวดเร็ว แม้จะสอบเลขตกมาตลอดก็ตาม ประมวลผลออกมาปุ๊บ ถือถุงเดินออกมาปั๊บค่ะ

เกริ่นย๊าววววยาวเนอะ เอาเป็นว่าสุดท้ายได้ไปสู่ขอเนื้อคู่มาใหม่ จึงได้ฤกษ์มาเม้าท์แบ่งปันความรู้สึกที่ได้ แต่จะให้รีวิวรองเท้าออกมาดีสมเหตุสมผล มันต้องรีวิวหลังจากใช้งานมาสักระยะจริงไหมคะ แต่ครั้นจะให้อัดอั้นเก็บเอาไว้จนวิ่งไปสักระยะก็กลัวตัวเองจะลืม และไม่ได้อวดเห่อของใหม่ ดังนั้นจึงขอแบ่งเป็นหลาย episode ให้ติดตามค่ะ ภาคนี้ขอเล่าถึงความรู้สึกแรกที่ใส่วิ่งครั้งแรกก่อนดีกว่า

พื้นรองเท้าแบบ 4 mm. drop

เมื่อแรกพบสบตา


ขอเรียกพี่เค้าว่า “พี่สลิ่ม” ละกัน เพราะด้วยสีสันน่ารัก ขาวไปหน่อยแต่แทรกด้วยชมพูแปร๊ และเขียวจิ๊ดๆ รวมมิตรกันออกมา ครบสีเป็นสลิ่มเลยทีเดียว จับขึ้นมาครั้งแรกขอบอกว่าปลื้มใจในความเบาหวิวที่เค้าเคลมว่ามีน้ำหนักแค่ 184 กรัมมากกกกกก พื้นรองเท้าแบบ 4 mm. drop ลองใส่ดูที่ร้านก็โอเค เบาสบาย ฟีลลิ่งแบบที่ชอบ แต่ทรงรองเท้ามันย้วยไปหน่อย เอาน่ะ บางทีเราก็ต้องมองข้ามอะไรเล็กๆน้อยๆ อ่อ..สำหรับใครอยากรู้ว่าแล้วไอ glow in the dark นี่มันยังไง ระหว่างที่วิ่งในความมืดก็พยายามก้มดูนะคะ อยากรู้ว่ารองเท้าฉันจะว๊าบบว๊าบบบในความมืดหรือเปล่า แต่ก็ปกตินะ ไม่ได้เรืองแสงสะท้านทรวงอะไร คงจะต้องรอถามจากคนที่วิ่งตาม บางทีเค้าอาจจะเห้นว่ารองเท้าฉันมันลอยได้ เพราะตัวคนใส่มืดกว่าความมืดหรือเปล่า ฮา..

ความรู้สึกหลังการใส่วิ่งครั้งแรก

ชิบหายละ.. นี่มันไม่ minimal มัน barefoot ชัดๆ สารภาพเลยว่าก้าวเท้าวิ่งครั้งแรกกับคู่นี้วิ่งกันไม่ถูกเลยทีเดียว พื้นมันบางกว่าที่เคยใส่มาทั้งหมด ต้องพยายามรวบรวมจัดท่าวิ่งให้ตัวเอง ซึ่งท่าวิ่งที่เหมาะกับรองเท้ารุ่นนี้คือ การวิ่งแบบเอาปลายเท้า หรืออุ้งเท้าลง มันจะไม่สามารถวิ่งลงส้นเท้าได้เลย ส่วนตัวว่าเหมาะกับคนที่เป็นนักวิ่งหน้าใหม่นะ เพราะคุณจะได้เริ่มต้นวิ่งด้วยท่าวิ่งที่ถูกต้อง แต่สำหรับคนที่วิ่งมาสักระยะแล้ว อาจจะต้องมาจัดท่าทางการวิ่งใหม่เลยทีเดียว

ลองวิ่งวันแรกไปด้วยระยะ 8 กม. ช่วง 2.5 กม.แรกสับสนมาก ตั้งใจวิ่งมากจนรู้สึกได้ว่าตัวเองเก้ๆกังๆ แต่พอวิ่งไปเรื่อยๆก็เริ่มชินขึ้น สิ่งที่ชอบคือความรู้สึกเบาเท้า เบามากเหมือนไม่ใส่อะไรเลย เป็นรองเท้าที่ขอแนะนำสำหรับคนที่อยากได้ความรู้สึก barefoot แต่ข้อเสียก็มีคือ รองเท้ามันเบาจนรู้สึกว่ามันยวบจนไม่ค่อยเป็นทรงไปนิด ด้วยความที่ทรงรองเท้ามันไม่บังคับเท้า เท้าฟรีมาก เวลาวิ่งแล้วจะรู้สึกไร้ทิศทาง ไม่มีอะไรคอนโทรลเท้า ซึ่งจริงๆแล้วจุดนี้มันก็เป็นได้ทั้งข้อดีและข้อเสีย แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคลเลยค่ะ




ใส่ไปครั้งแรก คงด้วยความใหม่ของรองเท้า และพื้นรองเท้าบางๆที่เรายังไม่คุ้นชิน จึงรู้สึกยังไม่สบายและเกิดอาการพองที่ฝ่าเท้าบริเวณนิ้วโป้ง (สังเกตตัวเองได้ว่าเวลาวิ่งชอบลงน้ำหนักที่นิ้วโป้งจึงทำให้ส่วนนี้พองบ่อย คู่อื่นก็เป็นนะคะไม่ใช่เป็นเฉพาะกับคู่นี้) ตอนนี้เลยตั้งใจว่า ระหว่างที่ยังไม่มีเวลาพาพี่เค้าไปวิ่ง จะเอามาใส่เที่ยว ใส่เดินให้เรารักกันก่อน

นอกจากอาการพองที่เท้าแล้ว ก็ไม่มีอาการบาดเจ็บอย่างอื่นเลยค่ะ ตอนวิ่งแรกๆรู้สึกขัดๆ เจ็บเข่า ตึงหน้าแข้งนิดหน่อย แต่พอวิ่งเสร็จไม่มีอาการอะไรเลย วันรุ่งขึ้นหรือวันต่อๆมาก็ไม่มีการบาดเจ็บค่ะ ฝากสำหรับคนที่ซื้อรองเท้ามาใหม่ๆนะคะ การลองวิ่งด้วยรองเท้าคู่ใหม่วันละนิด ให้เท้า ให้ขาเราได้ค่อยๆทำความคุ้นเคยจะดีกว่า และสามารถช่วยป้องกันอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดได้

รีวิวนี้ถือว่าพาพี่สลิ่มมาแนะนำตัวก่อนดีกว่า ขออนุญาตยังไม่ให้คะแนน และยังไม่พูดว่าดี หรือไม่ดียังไง เพราะใส่วิ่งไปแค่ครั้งเดียวและยังไม่ชินกับมัน ยังไม่ทำความรู้จักกันแบบเต็มที่ แต่หลังจบมาราธอนที่พัทยา จะมาลองใส่พี่เค้าอย่างจริงจัง แล้วจะมาเล่าให้ฟังอีกครั้งในภาคหน้านะคะ 
จบดื้อๆแบบนี้ล่ะค่ะ สวัสดี..



Monday, June 23, 2014

[Race Diary] SuperSports 10 Miles 2014 (22-06-14)



.. สนามที่วิ่งแบบไม่คาดหวัง แต่จบลงแบบหัวใจพองโต

งานที่ลืมไปแล้วว่าต้องวิ่ง เป็นอีกงานที่โดนโรคเลื่อน เลื่อนจากเมื่อไหร่จำไม่ได้ แต่มารู้ตัวอีกทีว่าต้องวิ่งก็ช่วง 1 เดือนก่อนวันงานค่ะ งานนี้ได้ผู้สนับสนุนใจดีอย่าง Central Retail corporation นอกจากใจดีกับฉัน ชาวคณะ และยังเผื่อแผ่ไปยังแฟนเพจด้วย ขอบพระคุณมา ณ ทีนี้ .. แต่ทั้งนี้ขอเกริ่นไว้นิด แม้จะได้บัตรวิ่งฟรี แต่ขอรีวิวสนามตามเนื้อผ้านะคะ

ที่ผ่านมาห่างหายจากการเขียนบลอคไปนาน เพราะไม่ได้วิ่งตามงานวิ่งเลยไม่มีอะไรมาเม้าท์เลย พอจะมาลงสนามครั้งนี้บอกตรงๆว่าตื่นเต้นมาก ไม่ได้วิ่งงานใหญ่ๆคนเยอะๆมานาน (จริงๆติดเล่าถึงงานกรีนพีซ รันฟอร์พยูนด้วยนะ แต่ขอทำลืม) ช่วงสามเดือนที่ผ่านมาวิ่งน้อยมาก แต่ตอนนี้กลับมาวิ่งตามปกติแล้ว และพยายามวิ่งให้ได้เหมือนเดิม และจะกลับมาฟิตให้ได้เหมือนเดิม
 
ก่อนลงสนามนี้ไม่ได้ซ้อมอะไรเป็นพิเศษเลย และไม่ได้วิ่งเกิน 15 กม. มานานแล้ว สามเดือนที่ผ่านมา ระยะที่ไกลที่สุดที่ทำได้คือ 15 กม. แบบวิ่งช้าๆ เอาให้ถึงเท่านั้น เลยทำให้กังวลใจกับการวิ่งในวันนี้อยู่พอสมควร ก่อนลงสนามเลยติดว่าไม่เป็นไร ถือว่าเป็นโอกาสอันดีที่เราจะวิ่งเกิน 15 กม.ละกัน เรื่องเวลาอย่าไปสนใจ เรามีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่านี้รอยู่ (หรอ)  


วันเสาร์ก่อนวิ่งยังคงต้องทำงานทั้งวัน จึงพยายามทดแทนพลังงานด้วยการกินเยอะๆเพราะเชื่อว่า เมื่อพลังงานพร้อมร่างกายจะฟิต (และมันก็จริงอย่างที่สุดนะคะ) และจากที่ตั้งใจว่าเอาน่ะ วิ่งให้สนุกอย่าไปคิดถึงสถิติ แต่สุดท้ายคืนก่อนวิ่งลองดูเวลาที่ทำไว้ในสนามนี้เมื่อปีที่แล้วว่าเป็นอย่างไร ปี 2013 วิ่งได้ 1.34 ชม. ตายละ มั่นใจว่ายังไงก็วิ่งได้แย่กว่าเดิมแน่ แต่อีกใจมันก็บอกว่า เฮ้ย..ถ้าตัดใจแต่แรกจะไปสนุกอะไร ลองดูสิเธอลองดู

รีบเข้านอนแต่หัวค่ำ แต่สุดท้ายกว่าจะหลับก็เลยสี่ทุ่มไปแล้ว ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่ 3.45 น. ตื่นมาด้วยความสดใสมาก แปลกใจตัวเอง เพราไม่เคยรุ้สึกสดใสหากต้องตื่นก่อนไก่โห่แบบนี้มานานแล้ว สงสัยจะเพราะตื่นเต้นจริงๆ จัดการตัวเอง กินกล้วยน้ำว้า 1 ใบ ขับรถออกจากบ้าน ไปถึงงานประมาณ 4.30 น. ทุกอย่างปกติราบลื่น ไม่มีอะไรขลุกขลักเลยจริงๆ

ตามปกติของงานที่จัดโดยแบรนด์ใหญ่ นักวิ่งมากหน้าหลายตาม ดูหนาแน่นและคึกคักมาก น่าดีใจที่คนรุ่นใหม่หันมาออกกำลังกายกันเยอะขึ้น (มาก) ถึงแม้มันจะเป็นกระแสหรืออะไรก็ตาม แต่ก็ยังน่ายินดีว่าไหมคะ

ชาวคณะประจำสนามนี้

เจอชาวคณะ ทักทายพี่ๆเพื่อนๆที่คุ้นเคย แล้วเดินเข้าไปเช็คอินเตรียมปล่อยตัว ไม่ตื่นเต้นเลยนะ ชิลมาก ไม่เหมือนงานวิ่งก่อนๆที่เราจะรู้สึกกระวนกระวายใจก่อนปล่อยตัวทุกครั้ง แต่งานนี้กลับใจร่มเป็นสุข เม้าท์มอยจนกระทั่งวินาทีปล่อยตัวได้อย่างมีความสุข และพอได้ยินเสียงสัญญาณปล่อยตัวก็พาตัวเองวิ่งไป


ตั้งแต่ช่วงปล่อยตัว จนถึงกิโลเมตรแรก จังหวะเสียมาก เพราะวิ่งตามกระแสคลื่นนักวิ่ง และเร่งความเร็วเพื่อหนีคนจึงทำให้จังหวะตัวเองเพี้ยน ไปวิ่งในเพซ 6 ต้นๆในช่วงออกตัว แม้จะพยายามเรียกสติตัวเองว่าเร็วไปแล้ว และหล่อนจะตายที่กิโลท้ายๆแน่ๆ แต่มันก็ไม่สามารถดึงตัวเองลงมาได้ รู้เลยว่าเป็นเพราะความไม่ยอมคนของตัวเองจริงๆ พอมองเห็นคนข้างๆไว เราก็อยากจะแข่งกับเขา สุดท้ายเลยตามเลย 

แผนที่เส้นทางวิ่งงวดนี้

งานนี้จัดการรถบนถนนได้แย่มาก ช่วงถนนเพชรบุรีตัดใหม่ บรรทัดทอง เจริญกรุง สีลม ราชดำริ แทบจะไม่มีการกั้นรถเลย กรวยที่กั้นเลนเพื่อบอกให้รู้ว่าเลนนี้จะมีคนวิ่งก็ไม่มีเลย ตามแยกใหญ่ก็มีเจ้าหน้าที่เพียง 1 ถึง 2 คนเท่านั้น วิ่งไปต้องคอยระวังเอง และโดนกั้นให้ต้องรอรถหลายแยกเลยทีเดียว เสียจังหวะมาก มีหลายโมม้นต์ที่เกือบหลุดปากพูดไปว่า ปิดถนนแบบนี้อย่าปิดเลยดีกว่าค่ะ แต่ข่มใจไว้ เพราะเข้าใจว่าทุกคนคงพยายามทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดแล้ว (มั๊ง) นอกจากอารมณ์เสียกับรถแล้ว ก็ยังเป็นเรื่องของขยะ กลิ่นขยะ เข้าใจว่าเรื่องนี้โทษผู้จัดงานคงไม่ได้ แต่เสียใจที่คนไทยไม่มีวินัย เมื่อไหร่ร้านค้าริมถนนโดยเฉพาะพวกร้านอาหาร จะมีความรับผิดชอบมากกว่านี้ คงได้แต่ถอนหายใจเบะปากกันไป


วันนั้นถือว่าโชคดีที่ไม่มีแดด อากาศครึ้มๆทำให้ไม่ร้อนมากเลยวิ่งได้สบาย  ช่วงกิโลที่ 6 รู้สึกเหนื่อยอาจจะเป็นเพราะวิ่งในเพซที่เร็วกว่าตั้งใจ และเร็วกว่าปกติที่วิ่งในช่วงนี้ แต่ก็พยายามบอกตัวเองว่าอย่าหยุดนะจ๊ะ ไม่งั้นหล่อนจะตายตรงนี้ พอถึงกิโลที่ 8 เอาเจลมาบีบเข้าปาก เพราะหวังว่ามันจะช่วยให้มีพลังเพิ่มขึ้นบ้าง หลังจากเติมพลังแล้ว กลับรู้สึกไม่เหนื่อยแต่ล้าขามาก และอาการเจ็บหลังเริ่มมา ชั่งใจระหว่างลดความเร็ววิ่งติ๊ดชึ่งไป หรืออย่าไปคิดถึงมันจัดการให้จบแล้วจะได้นอน สงสัยว่าพระเจ้าจะได้ยิน จึงส่งนักวิ่งเท้าไฟหลายคนมาวิ่งประกบช่วยดึงเราให้วิ่งตามๆเขาไป 


บรรยากาศหลังเข้าเส้นชัย

พลาดที่ตัวเองไม่ได้จำแผนที่วิ่งมา เท่าที่จำได้คือ วิ่งเข้าถนนสาทร แต่สุดท้ายเห็นจัดให้วิ่งยาวไปบนนถนนสีลมก็เลย งงๆ จากสีลมเข้าราชดำริ มองดูระยะจากการ์มินแล้วเห็นว่ายังขาดไปอีก 3 กิโลจึงคิดว่าไม่น่าจะจบแบบระยะขาด แต่ก็คิดว่าเส้นทางไม่น่าจะไปวนที่ไหน มันน่าจะวิ่งเข้าเซ็นทรัลเวิลด์เลย ดิฉันจัดเลยค่ะ เพซโกยหนีหมา ใส่ให้สุดเพราะไหนๆก็จะจบแล้ว มีจุดรับน้ำก่อนถึงโรงพยายาบาลตำรวจ ตัดสินใจรับน้ำก็ได้แม้เส้นชัยจะห่างไปนิดเดียว คุณเอ๊ยยย โชคดีที่รับน้ำ เพราะนางคิดผิดค่ะ คุณหลอกดาว พอมาถึงแยกโรงพยาบาลตำรวจพี่หลอกดาวด้วยการให้วิ่งไปแยกเฉลิมเผ่า กลับตัวตรงแยก น้องก็คิดว่าเอาวะ อีกนิดก็จะถึงแล้ว 


และดาวก็โดนหลอกอีกรอบ ระยะยังไม่ครบพี่เค้าเลยให้ไปวิ่งเล่นในห้างอีกสักหน่อย ไปวนหน้าเซนทาราสักรอบ ใจเสียแล้วเพราะว่าตอนนั้นเหนื่อยมาก เพราะวิ่งมาเต็มสปีด ตอนนั้นเลยกรี๊ดร้องไปหนึ่งที พี่ผู้ชายข้างหน้าถึงกับหันมามอง วิ่งไปแบบกัดฟันมา พอมองเวลาแล้วรู้ว่าไม่สามารถรักษาสถิติเดิมได้ ตอนนัั้นลังเลระหว่างไหนๆก็ไหนๆผ่อนเถอะ กับเฮ้ยยย ช้ากว่ากันนิดเดียวจะเป็นไรไป และก็ต้องถือว่าโชคดีที่ฟ้าส่งคุณพี่ผู้ชายท่านหนึ่งให้มาวิ่งข้างเราพอดี พี่เค้าเห็นเราเร่ง เค้าเร่งตาม จนกลายเป็นว่าเราวิ่งไล่กวดกันมาเรื่อยๆ 

หน้าแย่สุด แต่ใจตอนนั้นมันส์สุดนะคะ

และถ้าตอนนั้นใครเจอชะนีชุดสีดำ ปากตะโกนว่า “ขอโทษนะคะ ขอโทษนะคะ” ในสปีดวิ่งหนีกระทิงบนฟุตบาทข้างเซ็นทรัลเวิลด์ ต้องขออภัยที่สร้างความไม่พอใจให้พวกคุณมา ณ ที่นี้นะคะ พอดีฉันกำลังสนุก และพวกคุณเดินกันเต็มทางวิ่งดิฉันจึงไม่รู้จะทำอย่างไร วิ่งไล่กันมากับคุณพี่ผู้ชาย จนเข้ามาถึงบริเวณหน้าห้างพี่เค้าแซงไปหนึ่งสเต็ป จึงตะโกนบอกพี่ว่า “เฮ้ยยย พี่แซงหนู” คุณพี่ก็ใจดีนะคะ หันมาหัวเราะแล้วชะลอรอด้วย! วิ่งไล่กันมาจนจะเข้าเส้นชัย พี่เค้าหันมาบอกว่า “เชิญก่อนเลยครับ” คือ..ตอนวินาทีนั้นพี่หล่อมากกกก ยกนิ้วให้พี่เค้าแล้ววิ่งเข้าไปแบบหัวใจจะวายที่เส้นชัย 

ไม่เชื่อก็ดู...มันส์ขนาดไหน หน้ามันส์เกิ๊นนน
พี่ผู้ชายท่านั้นอยู่ในภาพนี้เช่นกัน :)


10 miles จบลงด้วยการยกมือไหว้คุณพี่ท่านนั้น ต่างคนต่างขอบคุณกันและกันที่ช่วยให้ช่วงสุดท้ายก่อนเข้าเส้นชัยสนุกมาก นี่มันคือเสน่ห์ของงานวิ่งจริงๆ คุณจะเป็นใครมาจากไหนเราไม่รู้ แต่ทุกคนแชร์ความรู้สึกกัน ช่วยเหลือกัน มันไม่ใช่เรื่องของการแพ้ ชนะ เวลาที่ชั้นต้องทำให้ได้ แต่มันคือการพูดจาภาษาเดียวกันได้โดยไม่ต้องรู้จักกัน




สนาม SuperSports 10 miles 2014 จบลงแบบหัวใจพองโตมาก ใช้เวลา 1.39 ชม. (ช้ากว่าปีที่แล้ว 4 นาที แต่หยุดตามแยกไป 4 ครั้ง ดังนั้นถือว่าวิ่งได้ไม่ต่างจากเดิมละกัน) ระยะจากพี่การ์มินของฉันบอกไว้ที่ 15.79กม. แต่ของบางคนอยู่ที่ 16.3 กม.ไม่แน่ใจว่าระยะจริงเท่าไหร่ แต่สิ่งที่ฉันได้มันมีค่ามากกว่าเวลาบนนาฬิกา  ที่ฉันรู้คือฉันทำได้ดีกว่าที่คิดไว้เยอะ และทำได้ดีกว่าที่ประเมินตัวเองไว้มาก .. มันทำให้เชื่อและเรียนรู้ว่า จงมั่นใจในตัวเอง และอย่าดูถูกความสามารถของตัวเอง




สรุปสุดท้าย งานจัดได้ตามมาตรฐานงานวิ่งในเมืองค่ะ คือ มีเรื่องให้บ่นเหมือนเคยกับปัญหาการจัดการจราจร เจอควันดำ เจอรถงี่เง่า เจอขยะเหม็นๆ คนเมืองถ้ายังคิดจะสมัครวิ่งงานในเมือง มันก็ต้องทนไปค่ะ เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะต้องเอาใจทั้งนักวิ่ง และคนขับรถ แต่ในฐานะคนที่ทำงานที่ต้องประสานกับคนเยอะๆเพื่อเอาใจทุกฝ่ายเช่นกัน เชื่อว่างานจัดยังสามารถจัดให้ดีกว่านี้ได้ คุณสามารถบรีฟงานทีมงาน บรีฟงานทีมแจกเบอร์ แจกเสื้อให้ดีกว่านี้ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้ทีมงานทำงานแบบ งงๆ มีอะไรต้องร้องตะโกนให้คนซีเนียร์กว่ามาจัดการ บรีฟเด็กแต่แรกสิคะ ประเมินว่าปัญหาอะไรน่าจะเกิน แล้วเตรียมทางออก เตรียมคำตอบไว้แต่แรก (อุ่ย..บ่นยาว) 

.. วิ่งบนถนนในเมืองทุกครั้ง ดิฉันก็กลับมาบ่นทุกครั้งนะ แต่ไม่รู้ทำไม สุดท้ายก็ยังวิ่ง .. ก็เลือกเอง บ่นทำไม จริงไหม