Thursday, July 31, 2014

[Race Diary] Pattaya Marathon 2014 พี่พัทยาขาโหดสมคำร่ำลือ



..จะวิ่งไปดูฟ้าสางที่บางเสร่ แต่กลับกลายเป็นลูกเป็ดเดินขี้เหร่ขี้มูกโป่ง

ตัดสินใจสมัครระยะฟูลมาราธอนในสนามพัทยามาราธอน เพียง 6 สัปดาห์ก่อนถึงวันแข่งขัน เหตุผลที่ทำลงไปเพราะเป็นช่วงที่หมดไฟวิ่งระยะไกล มากสุดที่ทำได้ก็ไม่เกิน 15 กม. สักที บวกกับเป็นช่วงเวลาที่รู้สึกว่าหมดไฟกับอะไรหลายๆอย่างในตัวเอง ฉันอยากกลับมาเข้มแข็งและเคารพตัวเอง เคารพใจตัวเองอีกครั้ง เลยคิดว่า มันต้องมีอะไรสักอย่างมากระตุ้นพลังในตัวเองสักครั้ง และสิ่งที่เรียกพลังให้ตัวเองได้ง่ายที่สุด น่าจะเป็นการวิ่งมาราธอนนี่แหละมั๊ง 

อีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ตัดสินใจลงมาราธอนที่นี่ เพราะอยากพิสูจน์ให้รู้ว่า มันทำได้จริงหรือกับการวิ่งมาราธอนโดยไม่ต้องซ้อม พักหลังเรามักจะเห็นนักวิ่งหน้าใหม่พากันเฮไปวิ่งมาราธอนเหมือนเป็นอุปทานหมู่ โดยที่หลายคนไม่มีการซ้อมหรือเตรียมร่างกายที่ดี บางทีก็มีประสบการณ์น้อย พากันลงวิ่งโดยคิดว่าไม่ไหวก็เดิน จะเป็นอะไรไป คนที่วิ่งได้จบ ร่างกายสมบูรณ์มันก็มี แล้วก็กลายเป็นตัวอย่างให้คนอื่นอยากไปลองของตาม แต่ไอคนที่วิ่งไม่จบหรือสภาพเกินเยียวยามันก็คงจะมี แค่เค้าอาจจะไม่ได้มาบอกเล่าถึงความทรมานที่ได้เจอ .. สำหรับฉัน ก็ยังคงมีความคิดว่า มาราธอนมันไม่ใช่เรื่องวู่วาม แต่ในเมื่อกระแสพากันไปเฮกันไปมันยังมาแรง งั้นฉันของลองทำเพื่อมาบอกเล่าด้วยตัวฉันนี่แหละ ว่ามันเป็นอย่างไร

พัทยาก่อนจะเป็นสนามแข่ง

สนามนี้เป็นสนามที่สมัครวิ่งแบบวู่วาม ดังนั้นการเตรียมตัวก็พูดได้เลยว่าเตรียมตัวไม่พร้อมเท่าที่ควรจะเป็น มีเวลาให้ซ้อมวิ่งยาวแค่ 5 สัปดาห์ หลังจากสมัครแล้ว ก็เริ่มต้นวางแผนการซ้อมแบบบิ๋มบิ๋ม ก็คือตารางตามใจฉันนั่นแหละ ไม่ได้เตรียมความฟิตร่างกายอะไรเลย แต่เอาแค่ซ้อมให้ได้ระยะแล้วกัน  20 กม. 25 กม. 30 กม.2 ครั้ง และปิดท้ายด้วย 20 กม. ตอนซ้อมระยะ 30 ครั้งแรก สภาพแย่มาก และฝืนใจวิ่ง 30 อีกครั้งก็ยังทำไม่ได้แบบสมบูรณ์ เรียกได้ว่ากำแพงตอนซ้อมของมาราธอนสนามนี้อยู่ที่ 30 กม. ไม่สามารถซ้อมได้เยอะกว่านั้นจริงๆ พูดเลยแบบไม่อาย ว่าทุกครั้งที่ซ้อมวิ่งยาวสำหรับสนามนี้จบด้วยการอาเจียนทุกครั้งค่ะ


ได้ยินคำร่ำลือมาตลอด ว่าสนามพัทยาเป็นสนามที่โหด แม้สำหรับนักวิ่งเจนสนามก็ยังพ่ายกับสนามนี้กันมาแล้ว แต่ตัดสินใจไปแล้ว จะกลับคำก็กลัวจะเสียศักดิ์ศรี ทำใจดีสู้เสือจนวันรุ่งขึ้นจะวิ่งก็ยังเริงร่าไม่ได้เกิดอาการทุกข์ร้อนใดๆ นางยังคงใช้ชีวิตปกติ วีคสุดท้ายก่อนแข่งรึ ใครเขาวิ่งกัน ต้องกินๆนอนๆสิคะถึงจะเรียกว่าครบสูตรตารางแบบบิ๋มบิ๋มของจริง

สิ่งที่พกติดตัวไปวิ่ง

วันเสาร์ก่อนวิ่งอิ่มหมีพีมัน สุขสันต์กับการจับสัตว์ทะเลและคาร์โบไฮเดรต ไขมันโยนลงท้อง เข้านอนสองทุ่มแต่กว่าจะหลับไปจริงๆก็เกือบจะห้าทุ่ม ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ที่ตีสอง ซึ่งแปลว่าเรานอนไปจริงๆน่าจะแค่ 4 ชั่วโมง ตื่นมาอาบน้ำแต่งตัว กินกล้วยน้ำว้า 2 ผล ขนมปังเนยสด 2 ก้อน ดูดเกลือแร่เจลลี่ อร่อยดีกินเพลิน จ๊อกเบาๆจากโรงแรมไปจุดปล่อยตัว มีเวลายืดเส้นยืดสายเม้าท์มอยนิดหน่อย ไม่ค่อยตื่นเต้นมาก สงสัยเพราะยังไม่รู้ว่าจะเจออะไร


3.45 น. สัญญาณปล่อยตัวดัง เกาะกลุ่มวิ่งไปกับพี่ๆที่นัดแนะกันแต่แรกว่าเราจะไปด้วยกัน คุม pace อย่างดีให้ไม่เร็วเกิน 7 และไม่ช้าเกิน 7.3 วิ่งไปไม่กี่นาทีเหงื่อแตกเต็มตัว แค่ช่วงระยะจากจุดปล่อยตัวไปพัทยาเหนือขึ้นเนินอะมารีก็เหนื่อยแล้ว วิ่งจนออกถนนสุขุมวิทเริ่มมีลมโชย แม้ทางจะเป็นเนินขึ้นลงตลอด บางเนินมองเห็นแต่ไกลว่าชันขึ้นยาวๆแต่ก็ยังไหวอยู่ สักพักรู้สึกเหนื่อย ก้มมองนาฬิกา เฮ้ยอะไรวะ ยังไม่ 15 กม. เลยแต่รู้สึกเหมือนวิ่งมานานมากแล้ว ทำไมเหตุใดไม่ถึงจุดกลับตัวเสียที ตอนนั้นกลุ่มที่วิ่งไปด้วยกันเริ่มเงียบไม่ค่อยคุยกันเหมือนเคย เพราะฝ่าดงเนินจนอึนตอนนี้ชะเง้อหาแต่จุดกลับตัวเท่านั้น
 
พอเริ่มเห็นนักวิ่งสวนทางมาเยอะขึ้น ก็ใจชื้นคิดว่าคงใกล้จุดกลับตัวแล้ว แต่..วิ่งเท่าไหร่ก็ยังไม่ถึงจุดกลับตัวสักที พอเห็นป้ายบอกให้กลับตัวมันเป็นความรู้สึกที่สุดยอดมาก ตั้งแต่วิ่งมาไม่เคยเห็นจุดกลับตัวแล้วรู้สึกดีใจขนาดนี้มาก่อนเลยจริงๆนะ ฉันมาไกลแล้ว มาตั้งครึ่งทางแล้ว กลับตัวที่ 2.39 ชม. ยังคงเป็นไปตามแผนที่วางไว้ว่าอยากจะจบให้ได้ไม่เกิน 5.30




แต่ แต่ แต่ ...ดีใจได้ไม่นาน กลับตัวปุ๊บ ชีวิตดิฉันก็เจอจุดเปลี่ยนปั๊บค่ะ หลังจากกลับตัว รู้สึกเหนื่อยขึ้นมาก เหมือนอยู่ดีๆร่างกายและจิตใจมันก็ชอคไปเสียอย่างนั้น ความเร็วตกลงมาไปอยู่ที่ 7 ปลายๆ แต่ก็ยังใจแข็งเกาะกลุ่มตามกันไปอยู่ พอถึงกม.ที่ 25 ความงอแงเริ่มเยอะขึ้น เริ่มบอกให้พี่ๆทุกคนทิ้งหนูไปเถอะไม่อยากเป็นตัวถ่วงแล้ว แต่ทุกคนน่ารักบอกว่าไม่ได้ ต้องไปด้วยกันจึงพยายามกลั่นใจบอกตัวเองว่าอย่างอแง 

สุดท้ายกิโลที่ 29 เกือบ 30 วิ่งๆอยู่เหมือนมีไฟชอตสะดุ้งที่แขนขวา .. ตะคริวมาทักฉันแล้ว สะดุ้งปุ๊บ หยุดชะงักร้องออกมาดังมาก “พี่โบขอสเปรย์ตะคริวขึ้นแขน” ทุกคนหันมาทำหน้าตกใจ คาดว่าน่าจะเป็นเพราะ งง คนอะไรตะคริวขึ้นแขน ฉีดๆพ่นๆเสร็จแล้ววิ่งต่อไป ช่วงนั้นฝืนตัวเองที่สุด  ใจมันไม่เอาแล้ว และรู้ตัวเองแล้วว่าบุญที่สะสมมามันหมดแบบไม่สามารถต่อได้แล้ว แต่พี่บัดดี้สุดหล่อก็ยังคอยผลักดันฃ วิ่งตามมาเก็บอยู่เรื่อย ด้วยความเกรงใจจึงทำให้ต้องบอกตัวเอง เอาวะ เอาวะ เอาวะ..




ทนแข็งใจจนมาถึงทางแยกเลี้ยวซ้ายเข้าถนนตัดใหม่เพื่อไปหาดจอมเทียน ถึงตรงนั้น ฉันไม่เอาอะไรทั้งนั้นแล้ว แม้จะพยายามบอกใจตัวเองว่าเอาวะ เอาวะ จึงพยายามกัดฟันอีกครั้งเริ่มวิ่ง แต่แล้วกลายเป็นว่าพี่ตะคริวขึ้นที่น่องซ้ายทันที! และตอนนี้มันถึงกับมีเสียงแทรกว่า “กูไม่เอาแล้ว” (ขออภัยที่หยาบคายแต่เพื่ออรรถรสในการเล่าเรื่องค่ะ) งอแงถึงขีดสุด ถ้าปีศาจมาราธอนมีจริง ตอนนั้นเรียกว่าปีศาจมาเต็ม แม้พี่เทพเหนือจะคอยหลอกล่อทุกวิถีทางให้วิ่งไป พี่ขอโลที่ 35 แล้วพี่จะยอมทิ้งเรา ในใจตอนนั้นคิดว่า ทิ้งฉันเลย ทิ้งฉันเถอะ..

ที่หาดจอมเทียน .. เป็นครั้งแรกที่ต้องวิ่งคนเดียวเพราะถึงเวลาต้องยอมปล่อยให้พี่ๆบัดดี้ไปก่อนแล้ว เราถ่วงเขาไว้มากเกินไปแล้ว วันนั้นแดดร้อนมาก ทะเลสวย และฟ้าใส ถ้าเป็นฉากในหนังก็ออซั่มซัมเมอร์ไลฟ์นี่เอง แต่ขณะนั้นฉันไม่พร้อมจะเอนจอยอะไรทั้งนั้น มองนักวิ่งคนอื่นๆก็เตาะแตะ วิ่งเหยาะๆบ้าง เดินบ้าง ทุกคนที่อยู่ข้างหน้า และตามหลังฉันตอนนี้คือเหล่าผู้กำลังต่อสู้กับตัวเองทั้งนั้น พวกเราไม่คุยกันนะ แต่รู้สึกได้ว่ามันมีพลังบางอย่างส่งถึงกันอยู่ “พี่อย่าหยุดนะ หนูเหยาะตามพี่ น้องก็อย่าหยุดล่ะ .. พี่ไม่ไหวแล้วน้องแซงไหม ไม่เป็นไรรีบๆตามมานะ” 



ตอนนั้นบอกเลยว่าเป็นการเดินเล่นชายหาดที่ทรมานที่สุด ทุกข์ที่สุด ใจเราอยากวิ่งมาก มันบอกว่ายังไหวทำไมไม่วิ่ง แต่ทุกครั้งที่เราเริ่มวิ่งไปได้ไม่เกิน 20 เมตร กล้ามเนื้อน่องเราทั้งสองข้างจะกระตุกทันที บางครั้งที่เราฝืนตัวเองว่า ลองไม่สนใจมันแล้ววิ่งไปดูว่ามันจะเป็นอะไรไหม แต่..จากที่แค่กล้ามเนื้อน่องกระตุก เท้าเราจะกระตุกแล้วหงิกงอทันที และต้องหยุดเท่านั้น ถ้าไม่หยุดก็ล้ม .. เป็นอย่างนี้ตลอด 8 กม.สุดท้าย

คอยมองนาฬิกาตลอด และคิดว่ายังสามารถเข้าเส้นชัยได้ภายในเวลาที่ตั้งใจไว้ (5.30 ชม.) ถ้าเรายังคงความเร็วเท่านี้ (เพซ 9) ไปได้เรื่อยๆ แต่แล้วเมื่อมาเจอเนินนรกที่กม. 39 เราก็ไม่สามารถรักษาความเร็วได้อีก (ยังกล้าเรียกว่าความเร็ว) ตั้งแต่กม.ที่ 39 จนถึง 41 เดินอย่างเดียวเลยค่ะ พีคสุดแล้วตอนนั้น ทั้งแดด ทั้งปวดขา ทั้งล้า ทุกอย่างมันสุมกันจนบอกตรงๆว่าไม่รู้ว่ารู้สึกอะไรอยู่ ถึงกับปล่อยโฮร้องไห้แล้ว ..อีกแค่ 2 กม. เราจะไม่ DNF เราจะต้องจบให้ได้ เวลายังเหลือ เดินไปมันก็ต้องถึง

ณ walking street

เข้ามาที่ walking street แปลว่าเหลืออีกแค่ 1 กม. เท่านั้นทุกอย่างกำลังจะจบลงแล้ว ทุกคนก็คงคิดเหมือนกันว่ากิโลสุดท้ายที่มันช่างไกลมาก เจอโปรรุจน์ที่คุ้นเคย พยายามจะวิ่งเพื่อให้ได้ท่าสวย สุดท้ายก็ชะงักหน้ากล้องเพราะตะคริวมา แทนที่จะได้ภาพงาม ตอนนั้นพี่ช่างภาพกดชัตเตอรืชอตปาดน้ำตารัวๆ แหม่..


ที่ 500 ม. สุดท้ายน้องต๊อตตินักวิ่งเท้าไฟวิ่งมารับ ที่ 400 ม. พี่เหนือวิ่งมารับ ที่ 300 ม. พี่อัค พี่โอ๋วิ่งมารับพาจูงมือวิ่งเข้าเส้นชัย ตอนนั้นร้องไห้ ร้องไห้อย่างเดียวแล้ว ทุกคนบอกว่าอีกนิดเดียว จะถึงแล้ว รอนานแล้ว (คือ..ที่มารับเพราะยืนตากแดดนานแล้ว) อยากจะพูดขอบคุณทุกคน แต่ตอนนั้นไม่มีแรงแม้แต่จะอ้าปาก .. สุดท้ายทุกคนปล่อยให้เราเข้าเส้นชัยเอง พอเท้าเหยียบเส้น check point ดัง ร่างหยุดทันที แล้วร้องไห้โฮอยู่ที่เส้นชัยนั่นแหละ ..

ชาวคณะที่มารับเข้าเส้นชัย

พี่ตะคริวนี่เหมือนรู้นะ ว่าตอนไหนควรจะมาอย่างจัดหนัก พยายามจะเดินออกจากเส้นชัยหลังจากสตั๊นไปแปบนึง แต่กลับกลายเป็นว่าเดินไม่ได้เลย จนต้องพยุงไปที่เปลพยาบาล ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออกจริงๆ ใครพูดอะไรจำได้ รู้เรื่อง แต่สมองไม่สั่งการ นอนคลายเส้น ตั้งสติสักพัก ถึงจะได้สติอีกครั้ง




พัทยามาราธอน จบลงที่เวลา 6.01 ชม. เป็น 42.195 กม.ที่ครบรสมาราธอนที่คนๆนึงพึงเจอสักครั้งในชีวิตจริงๆ ได้เจอปิศาจ ได้ทะเลาะวิวาทกับตัวเอง ได้ทดสอบใจตัวเองว่าสู้แค่ไหน ที่เค้าพูดๆกันว่า หากคุณหมดศรัทธาในมนุษย์ให้ไปดูการแข่งมาราธอน ฉันเชื่อมันแล้วจริงๆ การได้ทดสอบขีดความสามารถของตัวเองและเอาชนะขีดจำกัดของตัวเองได้นี่มันที่สุดจริงๆ ตอนแรกรู้สึกแย่มากที่ไม่สามารถวิ่งได้ภายในเวลาที่ตั้งใจไว้ แต่พอลองคิดดู เรามัวยึดติดกับเวลา จนลืมคำว่า “สำเร็จ” ไปหรือเปล่า .. อย่างน้อยเราก็หาคำตอบให้คำถามที่เราตั้งไว้กับตัวเองจนทำให้ต้องลงมาราธอนเพื่อคุยกับตัวเองได้สำเร็จนะ  “ที่สุดของคน คือ 'ใจ' ร้องไห้ได้แต่ห้ามหยุด เจ็บแค่ไหน ทรมานแค่ไหนก็ต้องไปข้างหน้า ไม่มีใครพาเราเข้าเส้นชัยถึงจุดหมายได้นอกจากตัวเราเอง เธอแกร่งกว่าที่ตัวเธอคิด”


ณ ตอนนี้หลังจากได้นั่งทบทวนตัวเองมาหลายวัน ถามตัวเองว่า ฉันร้องไห้ทำไม .. คิดว่าน่าจะเป็นเพราะคนๆนึงมันถึงขีดสุดแล้วจริงๆ น้ำตาระหว่างทาง มันคือเพราะความทรมาน แต่น้ำตาที่เส้นชัย มันคือน้ำตาแห่งความปิติที่แทนการตะโกนว่า “มันจบแล้วโว๊ยยยย”

I'm a finisher!

สำหรับใครที่อยากวิ่งมาราธอน .. ถ้าซ้อมไม่พร้อม และไม่อยากทรมาน อยากแนะนำว่าอย่าเลย เอาให้พร้อมจะดีกว่า มันไม่สนุกเลยนะ ผ่านมา 2 มาราธอนแล้ว เราก็ยังหาความสนุกของการวิ่งมาราธอนไม่ได้เลยจริงๆ คือ มันก็ฟิน แต่มันไม่จำเป็นต้องทรมานเพื่อจะฟิน .. งงไหม เอาเป็นว่า ถ้าคุณพร้อม มันจะสนุกขึ้นในระดับนึง .. และฝากอีกนิด .. สนามพัทยามาราธอน ถ้าคุณกล้า เราท้าให้ลอง ฮา...

สุดท้าย .. ขอบคุณพี่ๆทุกคนที่วิ่งด้วยกัน ขอบคุณนักวิ่งที่แวะทักทายให้กำลังใจกันแม้เราจะไม่เคยรู้จักกัน ขอบคุณทุกคนที่วิ่งกลับมารับ มันทำให้เรายังมีแรงเฮือกสุดท้ายเข้าเส้นชัยได้ และขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านและให้กำลังใจนักวิ่งดราม่าควีนนะจ๊ะ เชื่อเถอะ .. เดี๋ยวก็มีอะไรมาเม้าท์มาดราม่าอีกบ่อยๆ

4 comments:

  1. สุดยอดครับ ยินดีด้วยสำหรับมาราธอนที่สอง
    ผมกำลังฝึกซ้อมสำหรับมาราธอนแรกในชีวิตอยู่
    ได้อ่านแล้วทำให้มีกำลังใจที่จะซ้อมต่อไปเรื่อยๆครับ
    ขอบคุณสำหรับบทความดีๆครับ

    ReplyDelete
  2. เป็น 1 คนที่อยู่ตรงเส้นชัย และทันเห็นคุณ BimBim วิ่งเข้าเส้นด้วยอาการอ่อนล้ามาก ตอนนั้นยกนิ้วโป้งให้ แล้วตะโกนว่าเยี่ยมมากค่ะ จะเข้าเวลาไหนก็ถือว่าสุดยอดมากจริงๆ ที่เอาชนะใจตัวเองได้ แค่นี้ก็เก่งมากแล้วค่ะ ขอบคุณสำหรับประสบการณ์ดีๆ ที่เอามาเล่านะคะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอบคุณมากนะคะ คิดว่าจำคุณได้นะ แต่ตอนนั้นล้าและหมดจนพูดอะไรไม่ได้จริงๆ

      Delete
  3. เข้ามาเก็บแรงกระตุ้นให้ Go marathon กะเค้าบ้าง

    ReplyDelete