Tuesday, November 19, 2013

เรื่องเล่าก่อนพิชิตมาราธอนแรก



ชีวิตฉันเปลี่ยนไป ตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะวิ่ง

หากจะถามว่าเตรียมตัวกับการวิ่งมาราธอนในครั้งนี้นานไหม ถ้าตอบตามหลักการก็คงต้องบอกว่า 3 เดือน แต่อันที่จริงแล้ว คงต้องพูดว่าวิ่งฝึกซ้อม สะสมมาตลอดปีดีกว่า เดี๋ยวจะมีคนเข้าใจผิดคิดว่า ถึงจะไม่เคยวิ่งเลย แต่ถ้าตั้งใจซ้อมจริงๆ 3 เดือนก็ไปมาราธอนได้ 

สถิติการวิ่งเฉลี่ยของฉัน อยู่ที่สัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 10 กม. เดือนละไม่ต่ำกว่า 200 กม. วิ่งมาเป็นเวลารวม 1 ปี 2 เดือน 362 วัน ดังนั้นถือว่าพอมีพื้นฐานการวิ่งสะสมเป็นที่พอใช้ได้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ถ้าให้เล่าคร่าวๆถึงการเตรียมตัวเพื่อวิ่งมาราธอนในครั้งนี้ ขอเล่าแค่ช่วงระยะเวลา 3 เดือนแล้วกัน

ฉันก็คงเหมือนกับอีกหลายๆคน ที่วางตารางซ้อมให้กับตัวเองซะดิบดี 12 สัปดาห์ต่อไปนี้ ชีวิตจะเปลี่ยนไป จะมีระเบียบแบบแผน แล้วตารางซ้อม เอามาจากไหน? จัดเอง คิดเองค่ะ โดยอ้างอิงจากตารางที่หาได้ตามอินเทอร์เน็ตและนำมาปรับให้เข้ากับตัวเองมากที่สุด ..คือ คิดเองว่ามันเข้ากับตัวเอง.. แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าการซ้อมแบบไหนเหมาะกับตัวเองมากที่สุด.. นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้จากการวิ่งค่ะ การวิ่งจะสอนให้คุณรู้จักตัวเอง รู้จักสังเกตตัวเอง ฟังเสียงร่างกายของตัวเอง ฉันเชื่อว่าสำหรับนักวิ่งทุกคนแล้ว ทุกเช้าที่ลืมตาตื่นมา ความคิดแรกที่มักจะแว่บเข้ามาในหัวคือ..เช้านี้ เราบาดเจ็บที่ส่วนไหนของร่างกายหรือเปล่า เจ็บขามั๊ย ปวดเข่าหรือเปล่านี่..เหมือนที่สาวสวยนักวิ่งคนหนึ่งเคยได้บอกไว้ และฉันเห็นด้วยกับเธอมากที่สุด คือ สิ่งที่เราเรียนรู้จากการวิ่งคือ เราจะสนใจแต่ตัวเอง จนไม่มีเวลาไปสนใจคนอื่น เราจะไม่ใส่ใจเรื่องของคนอื่น ไม่เม้าท์ ไม่นินทา เพราะลำพังสนใจแต่ตัวเองก็หมดวันแล้ว

ซ้อมยาว 15 กม.

สัปดาห์แรกของตาราง ฉันก็ทำมันไม่ได้เสียแล้ว เพราะตอนนั้นเกิดอาการบาดเจ็บที่บริเวณเข่า ทำให้ไม่สามารถวิ่งซ้อมตามระยะ และตามความเร็วที่ตัวเองตั้งใจได้ บวกกับตารางงานวิ่งที่ได้สมัครไว้ ทำให้แผนการซ้อมต้องปรับเพื่อให้ลงตัวกับการวิ่งในงานต่างๆ แต่ก็ยังพยายามรักษาตารางการวิ่งยาวสัปดาห์ละครั้งให้ได้ แม้จะวิ่งระยะฮาล์ฟได้สบายๆในทุกสนาม แต่การต้องวิ่งซ้อมระยะยาวๆในสวนลุมพินี มันไม่ง่ายเลย มันน่าเบื่อ มันท้อ มันร้อน และพร้อมจะเลิกตลอดเวลา เย็นวันศุกร์บางทีก็อยากเฮฮาปาร์ตี้ แต่ก็มีภาระหน้าที่ต้องไปซ้อมวิ่งแต่เช้ามืดในวันเสาร์ ถามว่ามีเกเรมั๊ย.. มีค่ะ และบ่อยด้วย แต่ก็ต้องชดใช้กรรมตัวเอง ด้วยการวิ่งเย็นเสาร์ หรือเช้าวันอาทิตย์แทน ด้วยความเป็นจริงของชีวิต บอกได้เลยว่าซ้อมให้ตรงตามตารางมันยากมาก สุดท้ายที่พอทำได้ดีที่สุด คือ คงตารางวิ่งยาว แม้จะมีข้ามขั้นไปบ้าง จาก 22 กม. สัปดาห์ก่อน ขึ้นมาเป็น 30 – 32 – และ 35 กม.เลยเพราะซ้อมไม่ทันแล้ว

สภาพหลังซ้อมก็ไม่ได้น่าอภิรมย์เสมอไป

ตลอดช่วงเวลาของการซ้อม ทะเลาะกับตัวเองทุกครั้ง มีคำถามกับตัวเองทุกวัน ฉันกำลังทำอะไร’ แต่เมื่อตั้งใจลั่นวาจาไว้แล้ว จะถอยหลังก็ดูเป็นคนขี้แพ้ไปหน่อย และด้วยนิสัย ที่ไม่ยอมให้มครดูถูกง่ายๆ แม้จะเบื่อ จะหน่ายกับการซ้อมแค่ไหน ก็ต้องทำ..อย่าให้ใครเขาเย้ยหยัน

จะถือว่าฉันโชคดีก็ได้ ในทุกครั้งที่เริ่มท้อ งอแง โยเย ที่สวนลุมจะมีกำลังใจให้ฉันเสมอ การได้เห็นหลายๆคนซ้อมและพยายาม มันเป็นแรงบันดาลใจที่ดี เราไม่ได้เหนื่อยคนเดียว เรามีเพื่อนร่วมทำสิ่งบ้าๆด้วยกันตั้งหลายคน ทุกคนเหนื่อยเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่มีใครถอดใจนี้..แล้วฉันจะยอมแพ้ได้อย่างไร

No pain No Gain นะจ๊ะ
ช่วงพีคสุดของการซ้อม คงเป็นระยะ 30 – 32 – และ 35 กิโล หลายคนถอดใจ ซ้อมไม่จบระยะนี้ ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่เกือบจะถอดใจไปหลายครั้ง มันเบื่อจริงๆนะ ที่ต้องรีบเข้านอนเพื่อไปถึงสวนลุมก่อนตีห้าเพื่อจะวิ่งยาวให้เสร็จก่อนแดดจะร้อน ทุกครั้งที่ต้องซ้อมวิ่งยาวๆ อยู่กับตัวเอง 3-4 ชั่วโมงมันเคว้งสุดใจ มันปวด มันทรมานระบมกล้ามเนื้อแต่ก็ยังต้องทำ ถามว่าเคยท้อไหม เคยค่ะ และบ่อยด้วย ถึงขั้นนอนร้องไห้ก็บ่อย ถึงขั้นไม่อยากใส่รองเท้าวิ่งก็บ่อย ถึงขั้นเมื่อรุ้ว่าวันนี้ต้องวิ่งเท่าไหร่แล้วหดหู้ก็เคย มันคือทัณฑ์ทรมานที่เลือกเอง อย่างที่มูราคามิ นักเขียนชื่อดังบอกเอาไว้จริงๆ..และความสุขใจ มันก็เกิดขึ้นตอนชนะใจตัวเองได้นี่แหละ

สองสัปดาห์ก่อนลงสนาม ฉันป่วย ซึ่งถือว่าเป็นอาการป่วยที่แย่ที่สุดตั้งแต่วิ่งมา ตลอดชีวิตการวิ่งกว่า 1 ปี น้อยครั้งที่จะไม่สบายค่ะ อย่างมากก็ป่วยกระแดะ แปบๆหาย แต่คราวนี้ไม่ใช่ เป็นหนักถึงขั้นนอนซมและต้องเจาะเลือดเพื่อตรวเช็คให้แน่ใจว่าไม่เป็นไข้เลือดออกหรืออะไรที่แย่กว่านั้น อาการป่วยก็เรื่องหนึ่ง แต่การทำให้ร่างกายกลับมาฟิตหลังจากหายป่วยเป็นเรื่องยากกว่า พอตั้งใจจะทำตัวเองให้ฟิตทันโค้งสุดท้าย ชีวิตก็ไม่มีอะไรแน่นอนอีกครั้ง.. หนึ่งสัปดาห์ก่อนวันลงสนาม ฉันมีเหตุให้ต้องไปทำงานต่างจังหวัดเกือบทั้งสัปดาห์ ซึ่งแปลว่า โอกาสที่จะได้วิ่งในช่วงโค้งสุดท้ายนั้นน้อยเต็มที

ซ้อม 32 Km

หลังจากได้วิ่งระยะยาว 35 กิโลเมตร อีก 3 สัปดาห์ต่อมาฉันแทบไม่ได้วิ่งเลยจึงรู้สึกพะวงมาก แต่ก็มีคำแนะนำและกำลังใจดีๆจากพี่หลายๆคนที่บอกว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล มันอยู่ที่ช่วงเวลาที่ผ่านมาต่างหาก การวิ่งในช่วงโค้งสุดท้าย มันไม่ช่วยอะไรแล้ว หรือแปลง่ายๆว่า ทำบุญตอนนี้ไปก็ไม่ได้อะไร มันเป็นเรื่องของผลบุญที่ทำสั่งสมมาต่างหาก ฮา..เมื่อได้ยินได้ฟัง เข้าใจตามนั้น จึงปล่อยเลยตามเลย เอาเป็นว่าเตรียมร่างกายให้กินอิ่มนอนหลับ น่าจะเป็นการเตรียมตัวที่ดีที่สุดที่จะทำได้


32 Km ครั้งที่ 2 เวลาดีขึ้นเยอะแฮะ

และเมื่อมาถึงวันลงสนามจริง สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ มีสติ เท่านั้นจริงๆ มีสติกับทุกก้าว ทุกลมหายใจ เมื่อวิ่งได้สบายก็อย่าเพลิน อย่าเหลิง เมื่อเริ่มวิ่งไม่ไหว ฉันใช้วิธีตั้งสติ นับเลขไปเรื่อยๆ จะ 1-8 หรือ 1-100 ก็นับไป ใจลอยจำไม่ได้ว่านับถึงไหน ไม่เป็นไร ก็นับใหม่จาก 1 อีกครั้ง.. ในวันวิ่งจริง มันคือผลบุญที่ทำมาตลอดช่วงเวลาของการซ้อมจริงๆนะคะ แต่ก็อย่างว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ในวันลงสนาม มีพี่ๆหลายคนที่ได้ซ้อมด้วยกันมาตลอด และฟอร์มดีเรื่อยมา แต่ก็ต้องมาพลาดท่าให้กับอาการบาดเจ็บ หรือ ตะคริวในวันวิ่งจริง ดังนั้น ไม่ใช่ว่าคุณซ้อมได้ดีแล้ว คุณจะย่ามใจได้ 

35 Km ครั้งแรกและครั้งเดียว ดีใจน้ำตาแทบไหล

ชีวิตนักวิ่ง ไม่ได้ง่ายเลยนะคะ นอกจากจะซ้อมวิ่ง ยังมีอีกหลายอย่างที่เราจะต้องซ้อมค่ะ

ซ้อมกิน -  ฉันจะซ้อมกินก่อนวิ่งในทุกสนาม เพื่อดูว่ากินอะไรให้พลังเยอะสุด ข้าศึกไม่บุก และวิ่งสบายสุด ของแบบนี้ต่างกรรมต่างวาระ ต่างคนต่างสไตล์จริงๆ ที่กินแล้วปลื้ม ก็จะมีเนยถั่ว บัตเตอร์เค้ก กล้วยน้ำว้า ชอคโกแลต แต่ที่ไม่แนะนำเลยเพราะทำร้ายนักวิ่งมาเยอะ คือ นมค่ะ เชื่อเถอะค่ะ นมทีไร มันบุกแน่ ฮา

ซ้อมเสื้อผ้า - ถ้าหมายมั่นว่าจะใส่ตัวไหนในวันวิ่งจริง ให้ลองใส่ไปซ้อมวิ่งยาวดูสักครั้ง ถ้าไม่มีปัญหาไม่สบายตัว ก็ถือว่าผ่านค่ะ 

วิ่งมันทุกที่ที่วิ่งได้ จะไปทำงานไปวิ่งต่างถิ่นก็ต้องวิ่ง

วิ่งมาราธอน ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากค่ะ ถ้าผู้หญิงแบบฉันที่ไม่เคยคิดจะออกกำลังกาย ขี้เมา งอแงยังทำได้ ใครๆก็ทำได้ การวิ่งมาราธอน ไม่ได้ยาก แต่ช่วงเวลาก่อนจะพาตัวเองพิชิตมาราธอนได้นั้น มันยากยิ่งกว่าค่ะ 

จากที่ได้เล่าถึงบันทึกระหว่างที่วิ่งมาราธอนครั้งแรก ได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่ามาราธอนสอนอะไรให้กับฉันมากมาย อันที่จริงบทเรียนหรือข้อคิดต่างๆที่ได้ ล้วนได้มากจาการฝึกซ้อมตลอดระยะทางก่อนที่ทุกอย่างจะสิ้นสุดลง ดังที่ได้เกริ่มไปตั้งแต่ต้นเรื่อง ว่าชีวิตฉันเปลี่ยน ตั้งแต่ตัดสินใจจะวิ่ง

วันซ้อมวิ่งยาว กำลังใจมีมากมายที่สวนลุม

เรื่องราวก่อนถึงวันพิชิตมาราธอนของฉันอาจจะไม่สนุก ไม่มีอะไรตื่นเต้น อ่านพอผ่านๆไป แต่ฉันได้ฝากแรงบันดาลใจไว้กับตัวหนังสือทั้งหมดนี้..

วันนี้ฉันมีรูปแบบชีวิตใหม่ วันนี้ฉันหลุดออกจากวงจรลดความอ้วนเดิมๆที่ติดอยู่มาเกือบครึ่งชีวิต วันนี้ฉันลืมตาตื่นมาและทำสิ่งดีๆเพื่อให้ฉันในวันพรุ่งนี้นึกขอบคุณ วันนี้..ฉันเป็นฉันคนเดิม พร้อมหัวใจดวงใหม่ที่แข็งแรงขึ้น

เสื้อยืดธรรมดา แต่มันเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ทั้งเสีัยงหัวเราะ และน้ำตา

อยากให้ทุกคนเชื่อว่าทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง มีพลังมากกว่าที่ตัวเองคิด หากคุณยังไม่เชื่อว่ตัวคุณทำได้ หากคุณยังไม่กล้าที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเอง หรือทำเพื่อตัวเอง หรือสร้างเรื่องราวให้ตัวเองเอาไว้เล่าให้ลูกให้หลานฟัง ก็ไม่มีใครที่จะทำทุกสิ่งที่ฉันว่ามาให้คุณได้ทั้งนั้น

หลายคนชื่นชมฉัน หลายคนทึ่งในสิ่งที่ฉันทำ..อย่ามัวแต่ชื่นชม อย่ามัวแต่บอกว่าคนนู้นคนนี้เก่งจัง คุณก็ทำได้เช่นกัน ถ้าคุณคิดจะทำ..ฉันพิสูจน์แล้วว่าโลกนี้มันไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราจะตั้งใจซะอย่าง
เกิดมาทั้งที ลองทำอะไรให้ตัวเองโคตรภูมิใจสักครั้งดูไหม

Monday, November 18, 2013

[Race Diary] เรื่องเล่าจากมาราธอนแรก Standard Charter Bangkok Marathon 2013



I am a marathon finisher!

ลืมตาตื่นมาเช้านี้ (18.11.13) วันรุ่งขึ้นหลังพิชิตมาราธอนแรกของตัวเองสำเร็จ มีคนเคยบอกว่า หลังจบมาราธอนแล้ว ชีวิตจะเปลี่ยนไป คุณจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป..พยายามนั่งนิ่งๆคิด เราเปลี่ยนไปหรือยัง..ตอบตามตรง ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากวิ่ง แต่..ชีวิตฉันเปลี่ยนไป ตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะวิ่ง

16.11.13

06.00 น. เสียงนาฬิกาปลุกดัง ง่วงมากเพราะเพิ่งกลับมาจากการทำงานทั้งสัปดาห์ที่เชียงใหม่ แต่ก้ต้องบังคับตัวเองให้ติ่นลุกจากเตียง เพราะวันนี้จะต้องรีบเข้านอน..ผิดแผนไปหน่อย เพราะจริงๆตั้งใจจะตื่นสักตี 4 ..ไม่เป็นไร ถ้าคืนนี้จะนอนไม่หลับ ก็ถือว่าได้นอนเต็มอิ่มแล้ว.. จัดแจงเอาชุดวิ่ง อุปกรณ์ทุกอย่างมาเรียงไว้บนเตียง จะได้ไม่ลืม เรียงไปทวนไป ที่ขาดไม่ได้ ยาดมสินะ (งานนี้ไม่ลืมพก แต่สุดท้ายไมได้ใช้จ่ะ)

อุปกรณ์พร้อมรบ

08.30 น. ออกเดินทางเพื่อไปลงทะบียนรับ bib และเสื้อ วันนี้อากาศเย็นสบายดีจัง ถ้าพรุ่งนี้เป็นแบบนี้ก็คงดี วิ่งสบาย..อ้าวว..ฝนตก ตายละ ถ้าพรุ่งนี้ฝนตกจะทำอย่างไร ไอวิ่งสบายก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้ามันตกแล้วหยุดนี่อับชื้นมากนะ..มาถึงที่หมาย ความตื่นเต้นเพิ่มมากขึ้น ผู้หญิงระยะมาราธอนมีน้อยจัง กระบวนการทุกอย่างเสร็จภายในห้านาที ใครไม่อยากรอต่อคิวนาน แนะนำให้ลงระยะนี้ ได้เบอรืได้เสื้อรวดเร็วทันใจ


11.00น. อาหารมื้อแรกสำหรับวันเตรียมร่างกายกับเพื่อนรัก คนหนึ่งมาราธอน อีกคนฮาล์ฟมาราธอน..ความสุขอย่างนึงของการวิ่งคือ คุณจะกินได้ไม่เลือกอย่างมีความสุข และไม่รู้สึกผิดเลย ไม่ว่าจะกินเยอะแค่ไหน

13.00 น. กลับถึงบ้าน กิน Butter Scoth ก้อนโต อร่อยอย่างไม่ต้องรู้สึกผิด ตามด้วยกล้วยน้ำหว้าสองผล

15.30 น. บะหมี่น้ำชามโต มื้อสุดท้ายก่อนเตรียมตัวเข้านอน

18.00 น. กอดและหอมแก้มแม่ ก่อนเช็คของรอบสุดท้าย และขอกำลังใจจากคนดีก่อนพาตัวเองเข้านอน

22.30 น. ตื่นและง่วงมาก งอแงอยู่ยนเตียงสักพัก พาตัวเองไปอาบน้ำ แต่งตัว ผูกโบว์ธงชาติไทยบนหัว..เอาวะ สู้!!

17.11.13 

วันที่ตั้งตารอคอยมาเกือบ 1 ปี จำได้เลยว่า ในงานเดียวกัน เมื่อปีที่แล้ว ฉันยังเป็นเด็กน้อย ลงวิ่งละยะมินิมาราธอน 10 กม. เป็นสนามแรก ครั้งนั้นแค่ระยะ 10 กม.ทางมันดูไกลแสนไกล เหนื่อยมากแถมยังต้องวิ่งสลับเดินจนพาตัวเองเข้าเส้นชัย แต่ในปีนี้กระโดดข้ามชั้นเป็นเด็กสาวมัธยมโตเต็มวัย ลงวิ่งในระยะฟูลมาราธอน 42.195 
เดินไปกอดแม่อีกครั้ง ส่งแม่เข้านอน กินกล้วยน้ำหว้า 2 ผล คิทแคท 1 อัน ขนมปังโฮลวีทปิ้งทาเนยถั่ว 1 แผ่นออกจากบ้าน มาถึงคนเริ่มมากันเยอะแล้ว คึกคักดีจริงเชียว

บรรยากาศก่อนปล่อย


แม้สนามนี้จะไม่ใช่สนามแรกในชีวิต แต่ความรู้สึกที่จุดปล่อยตัวระยะ 42.195 นั้น มันเหมือนเป็นเด็กน้อยมือใหม่ ที่ยังไม่เคยลงสนาม ความรู้สึกผสมปนเปกันในหัว ทั้งตื่นเต้น ทั้งกังวล จนบอกไม่ได้ว่าก่อนปล่อยตัว ฉันรู้สึกอะไร และคิดอะไรอยู่ พยามสงบสติตัวเอง สวดภาวนา และยิ้ม บอกตัวเองว่า วันนี้มาถึงแล้ว..เธอต้องทำได้’ สัญญาณปล่อยตัวดัง ถึงเวลาสร้างเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่อีกเรื่องให้ตัวเองแล้วสินะ

แผนวิ่งวันนี้ จบมาราะอนภายใน 5 ชั่วโมงกว่า:10 กม.แรก 1.15 ชม. 20 กม. 2.30 25 กม. ไม่เกิน 3 ชม. และ 35 กม. ที่ 4.15 ชม. แผนนี้อ้างอิงจากสภาพตัวเองตอนซ้อม ..ดีกว่าแผนได้ แต่ห้ามแย่กว่านะจ๊ะ


ช่วง 2 กิโลแรกของการวิ่ง วิ่งเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ pace อยู่ที่ 6.4 – 6.5 จึงพยายามบอกให้ตัวเองช้าลงเพราะตั้งใจไว้ว่า จะไม่วิ่งเร็วเกิน 7 ในช่วงแรก แต่ท้ายที่สุด กลับกลายเป็นว่า วิ่งเกาะอยู่ที่ 6.4-6.5 ไปตลอดระยะ 20 กิโลแรกเลย พยายามดึงตัวเองให้ช้าลง แต่เมื่อสังเกตตัวเองแล้วรู้สึกว่าไม่เหนื่อย และร่างกายสดมาก จึงปล่อยตัวเองให้วิ่งไปตามที่ร่างกายพาไป ..บนทางยกระดับ ทางดูกว้างไกล ฟ้ากลางดึกมืดมาก รอบตัวเงียบสงัด จะได้ยินก็แต่เสียงลมหายใจและฝีเท้าของนักวิ่ง นักวิ่งระยะมาราธอนมีจำนวนไม่น้อย แต่ก็ไม่เยอะจนทำให้รู้สึกหนาแน่น ยิ่งระยะกิโลมากขึ้นเท่าไหร่ เพื่อนร่วมทางก็เบาบางลงทุกที ทุกคนเริ่มมีจังหวะของตัวเอง นานๆครั้งจะมีพี่ที่รู้จักวิ่งมาเพื่อทักทาย แล้วก็ผ่านไป

ก่อนออกเดินทาง

กว่าจะผ่าน 10 กิโลแรกรู้สึกว่ามันยาวนานมาก เหงามาก และง่วงมาก บีบเจลซองแรกเข้าปาก รส Espresso ในเวลาที่ง่วงและเริ่มเหนื่อยแบบนี้ก็อร่อยดีแฮะ ก้มมองดูนาฬิกา (จริงๆดูตลอดเวลาที่วิ่ง) ทำเวลาได้ดีกว่าที่ซ้อมและที่ตั้งใจไว้ 10km – 1.08 ชม. ถือว่าน่าพอใจ นึกครึ้มในใจว่าถ้าประคองจังหวะนี้ไปเรื่อยๆ คงเข้าเส้นชัยก่อนแวลาที่ตั้งเป้าไว้เป็นแน่ แต่นางมารบนไหล่ก็บอกว่า ..หึหึ..นี่แค่สิบโลย่ะ อย่านิ่งนอนใจ ชั้นยังเกาะไหล่แกอยู่ แล้วเรามาดูกันสักโลที่ 30..


กิโลที่ 12 ร่างกายเริ่มออกอาการ เจ็บสะโพกขวา และเข่าซ้าย อาการเดิมที่เป็นๆหายๆแวะมาทักทาย ต้องรีบเจรจากับตัวเอง อย่าเพิ่งเป็นอะไร อย่าไปคิดถึงมัน และบอกตัวเองว่า..วันนี้ไม่ใช่วันซ้อม เราทุ่มเทมาเพื่อวันนี้แค่ไหน ดังนั้น วิ่งไปใส่ให้เต็ม ใส่ให้หมดที่มี เจ็บก็จะจบลงที่วันนี้ (จริงๆไม่ควรคิดแบบนี้นะ มันไม่ควรต้องเจ็บ แต่ตอนนั้นต้องคิดเพื่อปลุกระดมตัวเอง)

แวะกินน้ำทุกจุดให้น้ำ ทำตามที่ได้รับคำแนะนำมาว่า เมื่อมองเห็นจุดให้น้ำ ให้หยุดเดินก่อนประมา 30 ม. เพื่อเป็นการพักกล้ามเนื้อไปในตัว และเมื่อไปถึงน้ำเราจะได้ไม่ต้องพักเหนื่อยก่อนดื่ม ทุกจุดให้น้ำจึงทำแบบนี้ พักเดินดื่มจนถึงถุงขยะใบสุดท้ายที่วางไว้ แล้วจึงวิ่ง ทางยกระดับบรมราชชนนีช่างยาวเหลือเกิน ยาวจนรู้สึกว่ามันไม่มีที่สิ้นสุดหรืออย่างไร วิ่งไปอีกพักใหญ่ถึงทางลงบรมราชชนนี ทางลงยังลาดยาวขนาดนี้ ขาขึ้นขำทำอย่างไรวะ โหดร้ายจัง

ลงมาวิ่งทางหลวง ก็ยังไม่เห็นจุดกลับตัวอยู่ดี แต่เริ่มเห็นนักวิ่งวิ่งสวนทางกลับมากันเรื่อยๆ เห็นป้ายพุทธมณฑลสาย 3 ก็แล้ว ทำไมยังไม่กลับตัว ไหนพี่พิธีกรบอกว่าลงไปวิ่งข้างล่างทดแทนเส้นหน้าลานพระรูปที่ตัดออกไปแค่ 3 กิโล โกหกหนูชัดๆ.. แต่การที่เห็นคนวิ่งสวนทางมา มันทำให้กำลังใจดีขึ้นเยอะนะ อย่างน้อยก็รู้สึกว่า จะได้กลับตัวแล้วโว๊ย..และแล้วก็ถึงศาลายา หลอกให้วิ่งมาไกลจัง กลับตัว ใจชื้นขึ้นเล็กน้อย รอดมาได้ครึ่งทางแล้ว ทำเวลาได้ 2.17 ชม. ดีกว่าแผนที่วางไว้ สำรวจร่างกายยังดีอยู่ พยายามเร่งขึ้นหน่อยแต่ก็ทำไม่ได้มากเพราะใจยังคงพะวงกลัวเจ็บ กลัวไม่จบ..เจอคนที่รู้จักวิ่งสวนกันเรื่อยๆ ทักทายกัน กำลังใจดีขั้นมาก มองดูนักวิ่งคนอื่นๆ ทุกคนถึงจะช้าแต่ไม่มีใครหยุด เราไมได้เหนื่อยคนเดียว ดังนั้นอย่างอแง วิ่งไป วิ่งไป

ขากลับขึ้นทางยกระดับ เป็นครั้งแรกที่เริ่มทะเลาะกับตัวเอง ตอนนั้นน่าจะกินโลที่ 23 มั๊ง..กิโลที่ 23 แต่กลับต้องตะกายขึ้นทางลอยฟ้า พยายามวิ่งขึ้นเบาๆ แล้วก็ตัดสินใจเดินไปสัก 20 วินาทีเพราะอยากเก็บแรงไว้ใช้ข้างบนมากกว่า วิ่งไปเรื่อยๆ อยู่ดีๆก็ปวดฝ่าเท้าขวาเหมือนจะเป็นตะคริว จึงพยายามไม่คิดถึงมัน แล้วมันก็จากไป..เจอป้ายบอกระยะบอก 26 กม. แต่การ์มินบอก 24 หายไปสองกิโล โอเค ไม่เป็นไร จะได้วิ่งน้อยลง ฮา..

วิ่งช้าแต่วิ่งไม่หยุดมาเรื่อยๆ พอเห็นโรงพยายาลเจ้าพระยา เห็นเซ็นทรัลปิ่นเกล้า เห็นป้ายทางแยกสิรินธร ใจเริ่มชื้นขึ้น ฉันกลับมาแล้ว อีกนิดเดียวแล้วสินะ..กิโลเมตรที่ 34 แล้วเป้าหมายข้างหน้าคือสะพานพระรามแปด อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น ปวดเท้า ปวดขาจังเลย แต่ฉันหยุดไม่ได้

ที่สะพานพระรามแปด..จริงอย่างที่นิชคุณว่า มาราธอนจะทำให้คุณได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามที่สุด เป็นการมองท้องฟ้า มองสะพาน ด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า ยิ้มคนเดียว หัวเราะทั้งน้ำตาคนเดียว ทุกอย่างใกล้จะจบลงแล้วสินะ..

บนสะพานพระรามแปด

ลงจากสะพาน เริ่มวิ่งสนุกขึ้น ความรู้สึกตอนนั้นคือ มันไม่มีอะไรจะทรมานไปมากกว่านี้แล้ว จริงอย่างที่เคยได้ยินมาจริงๆ ว่าถ้าสามารถผ่านกิโลเมตรที่ 35 ไปได้ เราจะหลุดลอยแล้ว ถ้าถามว่าฉันเจอปีศาจไหม จะบอกว่าไม่เจอก็ไม่ถูกซะทีเดียว ตลอดทางยาวไกลที่วิ่งมา ท้อสุดๆตอนที่ต้องวิ่งเข้าท่าพระจันทร์ ตอนนั้นเริ่มทะเลาะกับตัวเองว่า จะเดินไหม แต่ก็เอาชนะใจตัวเองมาได้ 


เห็นป้าย 500 เมตรสุดท้ายของมาราธอน ก้มมองนาฬิกา ยังเหลืออีก 6 นาทีก่อนจะครบ 5 ชั่วโมง ต้องทำได้สิ เจอพี่ๆกองเชียร์ตะโกนเรียกให้กำลังใจ มันเหมือนได้พลังสุดท้ายให้กับตัวเอง ตัดสินใจเร่งเข้าเส้นชัย วินาทีที่เท้าเหยียบ check point และสัญญาณดัง ก้มมองนาฬิกา 4.59.36 ดีใจมาก..มันจบแล้ว..ฉันทำได้แล้ว

ถามว่ารู้สึกอย่างไรวินาทีแรกหลังพิชิตมาราธอนได้..โลกหยุดหมุนค่ะ ความคิดที่อยู่ในหัวตอนนั้นมีอยู่อย่างเดียวเลย ..มันจบแล้ว..มันจบแล้ว..เดินไปรับเสื้อ Finisher ก็ยัง งง อยู่ มีสติอีกครั้งก็ตอนเจอเพื่อน แล้วเพื่อนเข้ามากอด..น้ำตาไหล..บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอะไร ทุกความรู้สึกตีกันและผสมปนเป

ฉันคือนักวิ่งมาราธอน

พูดได้เต็มปากแล้วว่าฉันเป็นนักวิ่งมาราธอน มาราธอนแรกสำเร็จผ่านไปได้ด้วยดีกว่าเป้าที่ตั้งไว้ ตั้งเป้าไว้ 5-5.15 ชม. ทำได้ 4.59.36 ชม. ลำดับที่ 14 จากทั้งหมด 37 คนในกลุ่มอายุ..ถือว่าฉันพอใจ

ผลงานมาราธอนแรก

การวิ่งมาราธอนสอนอะไรฉันมากมาย ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่วินาทีที่เหยียบเส้นชัย แต่มันคือระหว่างทางก่อนที่คุณจะได้พิชิตมาราธอน

..มาราธอนสอนให้ฉันมีวินัย
..มาราธอนสอนให้ฉันเอาชนะใจตัวเอง
..มาราธอนทำให้ฉันเปลี่ยนความบ้าในตัว เปลี่ยนใจที่กล้าของตัวเองมาสร้างเรื่องราวใหม่ให้กับชีวิต
..มาราธอนทำให้ฉันได้พิสูจน์ว่า ไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้หากฉันตั้งใจ
..และมาราธอนทำให้ผู้หญิงที่เคยคิดว่าตัวเองไม่มีค่า กลับมารู้สึกภูมิใจในตัวเองอีกครั้ง

เชื่อเถอะว่า ฉันทำได้ ทุกคนก็ทำได้ ไม่ได้ชวนให้ทุกคนต้องวิ่งมาราธอน แต่ทุกคนเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ชนะใจตัวเองได้ และมีชีวิตใหม่ได้

ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้ตลอดระยะทางก่อนที่จะพิชิตมาราธอน ขอบคุณครอบครัวของฉันที่แม้จะไม่เคยเข้าใจเรื่องบ้าๆที่ฉันทำอยู่ แต่ก็รู้ว่าอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ ขอบคุณแก๊งค์นางฟ้า (เอาน่ะใช้ชื่อนี้ไป) ที่มีกำลังใจให้เสมอ และขอบคุณ ทุกกำลังใจที่เป็นแรงใจให้ฉันทำเรื่องบ้าๆนี้สำเร็จ :)

มาราธอนนี้ ไม่ใช่มาราธอนสุดท้ายแน่นอน..