Tuesday, November 19, 2013

เรื่องเล่าก่อนพิชิตมาราธอนแรก



ชีวิตฉันเปลี่ยนไป ตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะวิ่ง

หากจะถามว่าเตรียมตัวกับการวิ่งมาราธอนในครั้งนี้นานไหม ถ้าตอบตามหลักการก็คงต้องบอกว่า 3 เดือน แต่อันที่จริงแล้ว คงต้องพูดว่าวิ่งฝึกซ้อม สะสมมาตลอดปีดีกว่า เดี๋ยวจะมีคนเข้าใจผิดคิดว่า ถึงจะไม่เคยวิ่งเลย แต่ถ้าตั้งใจซ้อมจริงๆ 3 เดือนก็ไปมาราธอนได้ 

สถิติการวิ่งเฉลี่ยของฉัน อยู่ที่สัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 10 กม. เดือนละไม่ต่ำกว่า 200 กม. วิ่งมาเป็นเวลารวม 1 ปี 2 เดือน 362 วัน ดังนั้นถือว่าพอมีพื้นฐานการวิ่งสะสมเป็นที่พอใช้ได้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ถ้าให้เล่าคร่าวๆถึงการเตรียมตัวเพื่อวิ่งมาราธอนในครั้งนี้ ขอเล่าแค่ช่วงระยะเวลา 3 เดือนแล้วกัน

ฉันก็คงเหมือนกับอีกหลายๆคน ที่วางตารางซ้อมให้กับตัวเองซะดิบดี 12 สัปดาห์ต่อไปนี้ ชีวิตจะเปลี่ยนไป จะมีระเบียบแบบแผน แล้วตารางซ้อม เอามาจากไหน? จัดเอง คิดเองค่ะ โดยอ้างอิงจากตารางที่หาได้ตามอินเทอร์เน็ตและนำมาปรับให้เข้ากับตัวเองมากที่สุด ..คือ คิดเองว่ามันเข้ากับตัวเอง.. แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าการซ้อมแบบไหนเหมาะกับตัวเองมากที่สุด.. นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้จากการวิ่งค่ะ การวิ่งจะสอนให้คุณรู้จักตัวเอง รู้จักสังเกตตัวเอง ฟังเสียงร่างกายของตัวเอง ฉันเชื่อว่าสำหรับนักวิ่งทุกคนแล้ว ทุกเช้าที่ลืมตาตื่นมา ความคิดแรกที่มักจะแว่บเข้ามาในหัวคือ..เช้านี้ เราบาดเจ็บที่ส่วนไหนของร่างกายหรือเปล่า เจ็บขามั๊ย ปวดเข่าหรือเปล่านี่..เหมือนที่สาวสวยนักวิ่งคนหนึ่งเคยได้บอกไว้ และฉันเห็นด้วยกับเธอมากที่สุด คือ สิ่งที่เราเรียนรู้จากการวิ่งคือ เราจะสนใจแต่ตัวเอง จนไม่มีเวลาไปสนใจคนอื่น เราจะไม่ใส่ใจเรื่องของคนอื่น ไม่เม้าท์ ไม่นินทา เพราะลำพังสนใจแต่ตัวเองก็หมดวันแล้ว

ซ้อมยาว 15 กม.

สัปดาห์แรกของตาราง ฉันก็ทำมันไม่ได้เสียแล้ว เพราะตอนนั้นเกิดอาการบาดเจ็บที่บริเวณเข่า ทำให้ไม่สามารถวิ่งซ้อมตามระยะ และตามความเร็วที่ตัวเองตั้งใจได้ บวกกับตารางงานวิ่งที่ได้สมัครไว้ ทำให้แผนการซ้อมต้องปรับเพื่อให้ลงตัวกับการวิ่งในงานต่างๆ แต่ก็ยังพยายามรักษาตารางการวิ่งยาวสัปดาห์ละครั้งให้ได้ แม้จะวิ่งระยะฮาล์ฟได้สบายๆในทุกสนาม แต่การต้องวิ่งซ้อมระยะยาวๆในสวนลุมพินี มันไม่ง่ายเลย มันน่าเบื่อ มันท้อ มันร้อน และพร้อมจะเลิกตลอดเวลา เย็นวันศุกร์บางทีก็อยากเฮฮาปาร์ตี้ แต่ก็มีภาระหน้าที่ต้องไปซ้อมวิ่งแต่เช้ามืดในวันเสาร์ ถามว่ามีเกเรมั๊ย.. มีค่ะ และบ่อยด้วย แต่ก็ต้องชดใช้กรรมตัวเอง ด้วยการวิ่งเย็นเสาร์ หรือเช้าวันอาทิตย์แทน ด้วยความเป็นจริงของชีวิต บอกได้เลยว่าซ้อมให้ตรงตามตารางมันยากมาก สุดท้ายที่พอทำได้ดีที่สุด คือ คงตารางวิ่งยาว แม้จะมีข้ามขั้นไปบ้าง จาก 22 กม. สัปดาห์ก่อน ขึ้นมาเป็น 30 – 32 – และ 35 กม.เลยเพราะซ้อมไม่ทันแล้ว

สภาพหลังซ้อมก็ไม่ได้น่าอภิรมย์เสมอไป

ตลอดช่วงเวลาของการซ้อม ทะเลาะกับตัวเองทุกครั้ง มีคำถามกับตัวเองทุกวัน ฉันกำลังทำอะไร’ แต่เมื่อตั้งใจลั่นวาจาไว้แล้ว จะถอยหลังก็ดูเป็นคนขี้แพ้ไปหน่อย และด้วยนิสัย ที่ไม่ยอมให้มครดูถูกง่ายๆ แม้จะเบื่อ จะหน่ายกับการซ้อมแค่ไหน ก็ต้องทำ..อย่าให้ใครเขาเย้ยหยัน

จะถือว่าฉันโชคดีก็ได้ ในทุกครั้งที่เริ่มท้อ งอแง โยเย ที่สวนลุมจะมีกำลังใจให้ฉันเสมอ การได้เห็นหลายๆคนซ้อมและพยายาม มันเป็นแรงบันดาลใจที่ดี เราไม่ได้เหนื่อยคนเดียว เรามีเพื่อนร่วมทำสิ่งบ้าๆด้วยกันตั้งหลายคน ทุกคนเหนื่อยเหมือนกัน แต่ก็ยังไม่มีใครถอดใจนี้..แล้วฉันจะยอมแพ้ได้อย่างไร

No pain No Gain นะจ๊ะ
ช่วงพีคสุดของการซ้อม คงเป็นระยะ 30 – 32 – และ 35 กิโล หลายคนถอดใจ ซ้อมไม่จบระยะนี้ ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่เกือบจะถอดใจไปหลายครั้ง มันเบื่อจริงๆนะ ที่ต้องรีบเข้านอนเพื่อไปถึงสวนลุมก่อนตีห้าเพื่อจะวิ่งยาวให้เสร็จก่อนแดดจะร้อน ทุกครั้งที่ต้องซ้อมวิ่งยาวๆ อยู่กับตัวเอง 3-4 ชั่วโมงมันเคว้งสุดใจ มันปวด มันทรมานระบมกล้ามเนื้อแต่ก็ยังต้องทำ ถามว่าเคยท้อไหม เคยค่ะ และบ่อยด้วย ถึงขั้นนอนร้องไห้ก็บ่อย ถึงขั้นไม่อยากใส่รองเท้าวิ่งก็บ่อย ถึงขั้นเมื่อรุ้ว่าวันนี้ต้องวิ่งเท่าไหร่แล้วหดหู้ก็เคย มันคือทัณฑ์ทรมานที่เลือกเอง อย่างที่มูราคามิ นักเขียนชื่อดังบอกเอาไว้จริงๆ..และความสุขใจ มันก็เกิดขึ้นตอนชนะใจตัวเองได้นี่แหละ

สองสัปดาห์ก่อนลงสนาม ฉันป่วย ซึ่งถือว่าเป็นอาการป่วยที่แย่ที่สุดตั้งแต่วิ่งมา ตลอดชีวิตการวิ่งกว่า 1 ปี น้อยครั้งที่จะไม่สบายค่ะ อย่างมากก็ป่วยกระแดะ แปบๆหาย แต่คราวนี้ไม่ใช่ เป็นหนักถึงขั้นนอนซมและต้องเจาะเลือดเพื่อตรวเช็คให้แน่ใจว่าไม่เป็นไข้เลือดออกหรืออะไรที่แย่กว่านั้น อาการป่วยก็เรื่องหนึ่ง แต่การทำให้ร่างกายกลับมาฟิตหลังจากหายป่วยเป็นเรื่องยากกว่า พอตั้งใจจะทำตัวเองให้ฟิตทันโค้งสุดท้าย ชีวิตก็ไม่มีอะไรแน่นอนอีกครั้ง.. หนึ่งสัปดาห์ก่อนวันลงสนาม ฉันมีเหตุให้ต้องไปทำงานต่างจังหวัดเกือบทั้งสัปดาห์ ซึ่งแปลว่า โอกาสที่จะได้วิ่งในช่วงโค้งสุดท้ายนั้นน้อยเต็มที

ซ้อม 32 Km

หลังจากได้วิ่งระยะยาว 35 กิโลเมตร อีก 3 สัปดาห์ต่อมาฉันแทบไม่ได้วิ่งเลยจึงรู้สึกพะวงมาก แต่ก็มีคำแนะนำและกำลังใจดีๆจากพี่หลายๆคนที่บอกว่า ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล มันอยู่ที่ช่วงเวลาที่ผ่านมาต่างหาก การวิ่งในช่วงโค้งสุดท้าย มันไม่ช่วยอะไรแล้ว หรือแปลง่ายๆว่า ทำบุญตอนนี้ไปก็ไม่ได้อะไร มันเป็นเรื่องของผลบุญที่ทำสั่งสมมาต่างหาก ฮา..เมื่อได้ยินได้ฟัง เข้าใจตามนั้น จึงปล่อยเลยตามเลย เอาเป็นว่าเตรียมร่างกายให้กินอิ่มนอนหลับ น่าจะเป็นการเตรียมตัวที่ดีที่สุดที่จะทำได้


32 Km ครั้งที่ 2 เวลาดีขึ้นเยอะแฮะ

และเมื่อมาถึงวันลงสนามจริง สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ มีสติ เท่านั้นจริงๆ มีสติกับทุกก้าว ทุกลมหายใจ เมื่อวิ่งได้สบายก็อย่าเพลิน อย่าเหลิง เมื่อเริ่มวิ่งไม่ไหว ฉันใช้วิธีตั้งสติ นับเลขไปเรื่อยๆ จะ 1-8 หรือ 1-100 ก็นับไป ใจลอยจำไม่ได้ว่านับถึงไหน ไม่เป็นไร ก็นับใหม่จาก 1 อีกครั้ง.. ในวันวิ่งจริง มันคือผลบุญที่ทำมาตลอดช่วงเวลาของการซ้อมจริงๆนะคะ แต่ก็อย่างว่า อะไรก็เกิดขึ้นได้ในวันลงสนาม มีพี่ๆหลายคนที่ได้ซ้อมด้วยกันมาตลอด และฟอร์มดีเรื่อยมา แต่ก็ต้องมาพลาดท่าให้กับอาการบาดเจ็บ หรือ ตะคริวในวันวิ่งจริง ดังนั้น ไม่ใช่ว่าคุณซ้อมได้ดีแล้ว คุณจะย่ามใจได้ 

35 Km ครั้งแรกและครั้งเดียว ดีใจน้ำตาแทบไหล

ชีวิตนักวิ่ง ไม่ได้ง่ายเลยนะคะ นอกจากจะซ้อมวิ่ง ยังมีอีกหลายอย่างที่เราจะต้องซ้อมค่ะ

ซ้อมกิน -  ฉันจะซ้อมกินก่อนวิ่งในทุกสนาม เพื่อดูว่ากินอะไรให้พลังเยอะสุด ข้าศึกไม่บุก และวิ่งสบายสุด ของแบบนี้ต่างกรรมต่างวาระ ต่างคนต่างสไตล์จริงๆ ที่กินแล้วปลื้ม ก็จะมีเนยถั่ว บัตเตอร์เค้ก กล้วยน้ำว้า ชอคโกแลต แต่ที่ไม่แนะนำเลยเพราะทำร้ายนักวิ่งมาเยอะ คือ นมค่ะ เชื่อเถอะค่ะ นมทีไร มันบุกแน่ ฮา

ซ้อมเสื้อผ้า - ถ้าหมายมั่นว่าจะใส่ตัวไหนในวันวิ่งจริง ให้ลองใส่ไปซ้อมวิ่งยาวดูสักครั้ง ถ้าไม่มีปัญหาไม่สบายตัว ก็ถือว่าผ่านค่ะ 

วิ่งมันทุกที่ที่วิ่งได้ จะไปทำงานไปวิ่งต่างถิ่นก็ต้องวิ่ง

วิ่งมาราธอน ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากค่ะ ถ้าผู้หญิงแบบฉันที่ไม่เคยคิดจะออกกำลังกาย ขี้เมา งอแงยังทำได้ ใครๆก็ทำได้ การวิ่งมาราธอน ไม่ได้ยาก แต่ช่วงเวลาก่อนจะพาตัวเองพิชิตมาราธอนได้นั้น มันยากยิ่งกว่าค่ะ 

จากที่ได้เล่าถึงบันทึกระหว่างที่วิ่งมาราธอนครั้งแรก ได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่ามาราธอนสอนอะไรให้กับฉันมากมาย อันที่จริงบทเรียนหรือข้อคิดต่างๆที่ได้ ล้วนได้มากจาการฝึกซ้อมตลอดระยะทางก่อนที่ทุกอย่างจะสิ้นสุดลง ดังที่ได้เกริ่มไปตั้งแต่ต้นเรื่อง ว่าชีวิตฉันเปลี่ยน ตั้งแต่ตัดสินใจจะวิ่ง

วันซ้อมวิ่งยาว กำลังใจมีมากมายที่สวนลุม

เรื่องราวก่อนถึงวันพิชิตมาราธอนของฉันอาจจะไม่สนุก ไม่มีอะไรตื่นเต้น อ่านพอผ่านๆไป แต่ฉันได้ฝากแรงบันดาลใจไว้กับตัวหนังสือทั้งหมดนี้..

วันนี้ฉันมีรูปแบบชีวิตใหม่ วันนี้ฉันหลุดออกจากวงจรลดความอ้วนเดิมๆที่ติดอยู่มาเกือบครึ่งชีวิต วันนี้ฉันลืมตาตื่นมาและทำสิ่งดีๆเพื่อให้ฉันในวันพรุ่งนี้นึกขอบคุณ วันนี้..ฉันเป็นฉันคนเดิม พร้อมหัวใจดวงใหม่ที่แข็งแรงขึ้น

เสื้อยืดธรรมดา แต่มันเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ทั้งเสีัยงหัวเราะ และน้ำตา

อยากให้ทุกคนเชื่อว่าทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง มีพลังมากกว่าที่ตัวเองคิด หากคุณยังไม่เชื่อว่ตัวคุณทำได้ หากคุณยังไม่กล้าที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเอง หรือทำเพื่อตัวเอง หรือสร้างเรื่องราวให้ตัวเองเอาไว้เล่าให้ลูกให้หลานฟัง ก็ไม่มีใครที่จะทำทุกสิ่งที่ฉันว่ามาให้คุณได้ทั้งนั้น

หลายคนชื่นชมฉัน หลายคนทึ่งในสิ่งที่ฉันทำ..อย่ามัวแต่ชื่นชม อย่ามัวแต่บอกว่าคนนู้นคนนี้เก่งจัง คุณก็ทำได้เช่นกัน ถ้าคุณคิดจะทำ..ฉันพิสูจน์แล้วว่าโลกนี้มันไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้ ถ้าเราจะตั้งใจซะอย่าง
เกิดมาทั้งที ลองทำอะไรให้ตัวเองโคตรภูมิใจสักครั้งดูไหม

9 comments:

  1. สุดยอดมากครับ ทุกเหตุการณ์ย่อมมีเรื่องราว อ่านไปมีแอบน้ำตาซึม

    ยินดีด้วยนะครับ และขอบคุณมากสำหรับเรื่องราวดีๆ ที่เป็นแรงบัลดาลใจให้กับกระผม ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นแรงบัลดาลใจให้กับคนอื่นๆอีกมากมายครับ

    ReplyDelete
  2. เจ๋งมากเลยครับ...
    ผมยังไม่ถึงจุดนั้นเลย ได้แค่ฮาฟ
    หวังว่าจะถึงในเร็ววัน

    ReplyDelete
    Replies
    1. ค่อยเป็นค่อยไปค่ะ เส้นชัยรอ และมีไว้สำหรับทุกคนเสมอ แค่คิดจะเริ่ม..ก็ถึงเส้นชัยไปกว่าครึ่งแล้ว :)

      Delete
  3. เขียนดี อ่านสนุก เห็นถึงคราบเหงื่อและความตั้งใจจริง

    ReplyDelete
  4. ชีวิตฉันเปลี่ยนไป ตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะวิ่ง....ใช่ที่สุดเลยครับ
    อ่านบทความของคุณบิ๋มแล้วนึกถึงการซ้อมของตัวเองเหมือนกันครับ...ด้วยการงาน ด้วยภาระหน้าที่ในครอบครัว การซ้อมไม่ได้ดั่งใจไปตามตารางที่วางไว้...สนามซ้อม ที่เหมาะสม ปลอดภัยที่สุดที่หาได้ 1 รอบ ประมาณ 550 เมตร..วันซ้อมยาวที่มากที่สุด 33 กม. ต้องวิ่ง 60 รอบ...เหนื่อยล้า น่าเบื่อหน่าย...ที่ผ่านมาได้เพราะเป้าหมายที่แจ่มชัดนั่นเองครับ.....แล้วเจอกันอีกนะครับ "สหายนักวิ่ง"

    ReplyDelete
  5. ลืมบอก...วิ่งเสร็จ ใส่เสื้อเขียวๆ ตัวนี้กลับบ้านรู้สึกตัวเองโคตรเท่ห์เลยครับ (ชาวบ้านเค้าไม่เห็นรู้เรื่องสักหน่อย) 555

    ReplyDelete
  6. ตามอ่านมาตลอดตั้งแต่เริ่มวิ่งแค่ 2 km ตอนนี้ลงฮาล์ฟได้แล้วครับ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอบคุณมากนะคะ :)
      เวลาที่เราวิ่งได้ระยะทางมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ มันสะใจและภูมิใจดีเนอะ

      Delete