’ชีวิตฉันเปลี่ยนไป
ตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะวิ่ง’
หากจะถามว่าเตรียมตัวกับการวิ่งมาราธอนในครั้งนี้นานไหม
ถ้าตอบตามหลักการก็คงต้องบอกว่า 3 เดือน แต่อันที่จริงแล้ว
คงต้องพูดว่าวิ่งฝึกซ้อม สะสมมาตลอดปีดีกว่า เดี๋ยวจะมีคนเข้าใจผิดคิดว่า
ถึงจะไม่เคยวิ่งเลย แต่ถ้าตั้งใจซ้อมจริงๆ 3 เดือนก็ไปมาราธอนได้
สถิติการวิ่งเฉลี่ยของฉัน
อยู่ที่สัปดาห์ละ 5 วัน วันละ 10 กม.
เดือนละไม่ต่ำกว่า 200 กม. วิ่งมาเป็นเวลารวม 1 ปี 2 เดือน 362 วัน
ดังนั้นถือว่าพอมีพื้นฐานการวิ่งสะสมเป็นที่พอใช้ได้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ถ้าให้เล่าคร่าวๆถึงการเตรียมตัวเพื่อวิ่งมาราธอนในครั้งนี้
ขอเล่าแค่ช่วงระยะเวลา 3 เดือนแล้วกัน
ฉันก็คงเหมือนกับอีกหลายๆคน
ที่วางตารางซ้อมให้กับตัวเองซะดิบดี 12 สัปดาห์ต่อไปนี้ ชีวิตจะเปลี่ยนไป
จะมีระเบียบแบบแผน แล้วตารางซ้อม เอามาจากไหน? จัดเอง คิดเองค่ะ
โดยอ้างอิงจากตารางที่หาได้ตามอินเทอร์เน็ตและนำมาปรับให้เข้ากับตัวเองมากที่สุด
..คือ คิดเองว่ามันเข้ากับตัวเอง.. แล้วคุณจะรู้ได้อย่างไรว่าการซ้อมแบบไหนเหมาะกับตัวเองมากที่สุด..
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้จากการวิ่งค่ะ การวิ่งจะสอนให้คุณรู้จักตัวเอง
รู้จักสังเกตตัวเอง ฟังเสียงร่างกายของตัวเอง ฉันเชื่อว่าสำหรับนักวิ่งทุกคนแล้ว
ทุกเช้าที่ลืมตาตื่นมา ความคิดแรกที่มักจะแว่บเข้ามาในหัวคือ..เช้านี้
เราบาดเจ็บที่ส่วนไหนของร่างกายหรือเปล่า เจ็บขามั๊ย
ปวดเข่าหรือเปล่านี่..เหมือนที่สาวสวยนักวิ่งคนหนึ่งเคยได้บอกไว้
และฉันเห็นด้วยกับเธอมากที่สุด คือ สิ่งที่เราเรียนรู้จากการวิ่งคือ
เราจะสนใจแต่ตัวเอง จนไม่มีเวลาไปสนใจคนอื่น เราจะไม่ใส่ใจเรื่องของคนอื่น
ไม่เม้าท์ ไม่นินทา เพราะลำพังสนใจแต่ตัวเองก็หมดวันแล้ว
ซ้อมยาว 15 กม. |
สัปดาห์แรกของตาราง
ฉันก็ทำมันไม่ได้เสียแล้ว เพราะตอนนั้นเกิดอาการบาดเจ็บที่บริเวณเข่า
ทำให้ไม่สามารถวิ่งซ้อมตามระยะ และตามความเร็วที่ตัวเองตั้งใจได้
บวกกับตารางงานวิ่งที่ได้สมัครไว้
ทำให้แผนการซ้อมต้องปรับเพื่อให้ลงตัวกับการวิ่งในงานต่างๆ แต่ก็ยังพยายามรักษาตารางการวิ่งยาวสัปดาห์ละครั้งให้ได้
แม้จะวิ่งระยะฮาล์ฟได้สบายๆในทุกสนาม แต่การต้องวิ่งซ้อมระยะยาวๆในสวนลุมพินี
มันไม่ง่ายเลย มันน่าเบื่อ มันท้อ มันร้อน และพร้อมจะเลิกตลอดเวลา
เย็นวันศุกร์บางทีก็อยากเฮฮาปาร์ตี้ แต่ก็มีภาระหน้าที่ต้องไปซ้อมวิ่งแต่เช้ามืดในวันเสาร์
ถามว่ามีเกเรมั๊ย.. มีค่ะ และบ่อยด้วย แต่ก็ต้องชดใช้กรรมตัวเอง ด้วยการวิ่งเย็นเสาร์
หรือเช้าวันอาทิตย์แทน ด้วยความเป็นจริงของชีวิต
บอกได้เลยว่าซ้อมให้ตรงตามตารางมันยากมาก สุดท้ายที่พอทำได้ดีที่สุด คือ คงตารางวิ่งยาว
แม้จะมีข้ามขั้นไปบ้าง จาก 22 กม. สัปดาห์ก่อน ขึ้นมาเป็น 30 –
32 – และ 35 กม.เลยเพราะซ้อมไม่ทันแล้ว
สภาพหลังซ้อมก็ไม่ได้น่าอภิรมย์เสมอไป |
ตลอดช่วงเวลาของการซ้อม
ทะเลาะกับตัวเองทุกครั้ง มีคำถามกับตัวเองทุกวัน ‘ฉันกำลังทำอะไร’
แต่เมื่อตั้งใจลั่นวาจาไว้แล้ว จะถอยหลังก็ดูเป็นคนขี้แพ้ไปหน่อย
และด้วยนิสัย ที่ไม่ยอมให้มครดูถูกง่ายๆ แม้จะเบื่อ จะหน่ายกับการซ้อมแค่ไหน
ก็ต้องทำ..อย่าให้ใครเขาเย้ยหยัน
จะถือว่าฉันโชคดีก็ได้
ในทุกครั้งที่เริ่มท้อ งอแง โยเย ที่สวนลุมจะมีกำลังใจให้ฉันเสมอ
การได้เห็นหลายๆคนซ้อมและพยายาม มันเป็นแรงบันดาลใจที่ดี เราไม่ได้เหนื่อยคนเดียว
เรามีเพื่อนร่วมทำสิ่งบ้าๆด้วยกันตั้งหลายคน ทุกคนเหนื่อยเหมือนกัน
แต่ก็ยังไม่มีใครถอดใจนี้..แล้วฉันจะยอมแพ้ได้อย่างไร
No pain No Gain นะจ๊ะ |
ช่วงพีคสุดของการซ้อม
คงเป็นระยะ 30 – 32 – และ 35 กิโล หลายคนถอดใจ
ซ้อมไม่จบระยะนี้ ฉันก็เป็นคนหนึ่งที่เกือบจะถอดใจไปหลายครั้ง มันเบื่อจริงๆนะ
ที่ต้องรีบเข้านอนเพื่อไปถึงสวนลุมก่อนตีห้าเพื่อจะวิ่งยาวให้เสร็จก่อนแดดจะร้อน ทุกครั้งที่ต้องซ้อมวิ่งยาวๆ
อยู่กับตัวเอง 3-4 ชั่วโมงมันเคว้งสุดใจ มันปวด
มันทรมานระบมกล้ามเนื้อแต่ก็ยังต้องทำ ถามว่าเคยท้อไหม เคยค่ะ และบ่อยด้วย ถึงขั้นนอนร้องไห้ก็บ่อย ถึงขั้นไม่อยากใส่รองเท้าวิ่งก็บ่อย ถึงขั้นเมื่อรุ้ว่าวันนี้ต้องวิ่งเท่าไหร่แล้วหดหู้ก็เคย มันคือทัณฑ์ทรมานที่เลือกเอง อย่างที่มูราคามิ
นักเขียนชื่อดังบอกเอาไว้จริงๆ..และความสุขใจ มันก็เกิดขึ้นตอนชนะใจตัวเองได้นี่แหละ
สองสัปดาห์ก่อนลงสนาม
ฉันป่วย ซึ่งถือว่าเป็นอาการป่วยที่แย่ที่สุดตั้งแต่วิ่งมา ตลอดชีวิตการวิ่งกว่า 1
ปี น้อยครั้งที่จะไม่สบายค่ะ อย่างมากก็ป่วยกระแดะ แปบๆหาย แต่คราวนี้ไม่ใช่
เป็นหนักถึงขั้นนอนซมและต้องเจาะเลือดเพื่อตรวเช็คให้แน่ใจว่าไม่เป็นไข้เลือดออกหรืออะไรที่แย่กว่านั้น
อาการป่วยก็เรื่องหนึ่ง
แต่การทำให้ร่างกายกลับมาฟิตหลังจากหายป่วยเป็นเรื่องยากกว่า พอตั้งใจจะทำตัวเองให้ฟิตทันโค้งสุดท้าย
ชีวิตก็ไม่มีอะไรแน่นอนอีกครั้ง.. หนึ่งสัปดาห์ก่อนวันลงสนาม ฉันมีเหตุให้ต้องไปทำงานต่างจังหวัดเกือบทั้งสัปดาห์
ซึ่งแปลว่า โอกาสที่จะได้วิ่งในช่วงโค้งสุดท้ายนั้นน้อยเต็มที
ซ้อม 32 Km |
หลังจากได้วิ่งระยะยาว
35 กิโลเมตร อีก 3 สัปดาห์ต่อมาฉันแทบไม่ได้วิ่งเลยจึงรู้สึกพะวงมาก แต่ก็มีคำแนะนำและกำลังใจดีๆจากพี่หลายๆคนที่บอกว่า
ไม่เป็นไร ไม่ต้องกังวล มันอยู่ที่ช่วงเวลาที่ผ่านมาต่างหาก
การวิ่งในช่วงโค้งสุดท้าย มันไม่ช่วยอะไรแล้ว หรือแปลง่ายๆว่า
ทำบุญตอนนี้ไปก็ไม่ได้อะไร มันเป็นเรื่องของผลบุญที่ทำสั่งสมมาต่างหาก
ฮา..เมื่อได้ยินได้ฟัง เข้าใจตามนั้น จึงปล่อยเลยตามเลย เอาเป็นว่าเตรียมร่างกายให้กินอิ่มนอนหลับ
น่าจะเป็นการเตรียมตัวที่ดีที่สุดที่จะทำได้
32 Km ครั้งที่ 2 เวลาดีขึ้นเยอะแฮะ |
35 Km ครั้งแรกและครั้งเดียว ดีใจน้ำตาแทบไหล |
ชีวิตนักวิ่ง
ไม่ได้ง่ายเลยนะคะ นอกจากจะซ้อมวิ่ง ยังมีอีกหลายอย่างที่เราจะต้องซ้อมค่ะ
ซ้อมกิน
- ฉันจะซ้อมกินก่อนวิ่งในทุกสนาม เพื่อดูว่ากินอะไรให้พลังเยอะสุด
ข้าศึกไม่บุก และวิ่งสบายสุด ของแบบนี้ต่างกรรมต่างวาระ ต่างคนต่างสไตล์จริงๆ ที่กินแล้วปลื้ม
ก็จะมีเนยถั่ว บัตเตอร์เค้ก กล้วยน้ำว้า ชอคโกแลต
แต่ที่ไม่แนะนำเลยเพราะทำร้ายนักวิ่งมาเยอะ คือ นมค่ะ เชื่อเถอะค่ะ นมทีไร
มันบุกแน่ ฮา
ซ้อมเสื้อผ้า
- ถ้าหมายมั่นว่าจะใส่ตัวไหนในวันวิ่งจริง ให้ลองใส่ไปซ้อมวิ่งยาวดูสักครั้ง
ถ้าไม่มีปัญหาไม่สบายตัว ก็ถือว่าผ่านค่ะ
วิ่งมันทุกที่ที่วิ่งได้ จะไปทำงานไปวิ่งต่างถิ่นก็ต้องวิ่ง |
วิ่งมาราธอน
ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากค่ะ
ถ้าผู้หญิงแบบฉันที่ไม่เคยคิดจะออกกำลังกาย ขี้เมา งอแงยังทำได้ ใครๆก็ทำได้
การวิ่งมาราธอน ไม่ได้ยาก แต่ช่วงเวลาก่อนจะพาตัวเองพิชิตมาราธอนได้นั้น
มันยากยิ่งกว่าค่ะ
จากที่ได้เล่าถึงบันทึกระหว่างที่วิ่งมาราธอนครั้งแรก
ได้ทิ้งท้ายเอาไว้ว่ามาราธอนสอนอะไรให้กับฉันมากมาย
อันที่จริงบทเรียนหรือข้อคิดต่างๆที่ได้
ล้วนได้มากจาการฝึกซ้อมตลอดระยะทางก่อนที่ทุกอย่างจะสิ้นสุดลง
ดังที่ได้เกริ่มไปตั้งแต่ต้นเรื่อง ว่าชีวิตฉันเปลี่ยน ตั้งแต่ตัดสินใจจะวิ่ง
วันซ้อมวิ่งยาว กำลังใจมีมากมายที่สวนลุม |
เรื่องราวก่อนถึงวันพิชิตมาราธอนของฉันอาจจะไม่สนุก
ไม่มีอะไรตื่นเต้น อ่านพอผ่านๆไป แต่ฉันได้ฝากแรงบันดาลใจไว้กับตัวหนังสือทั้งหมดนี้..
วันนี้ฉันมีรูปแบบชีวิตใหม่
วันนี้ฉันหลุดออกจากวงจรลดความอ้วนเดิมๆที่ติดอยู่มาเกือบครึ่งชีวิต
วันนี้ฉันลืมตาตื่นมาและทำสิ่งดีๆเพื่อให้ฉันในวันพรุ่งนี้นึกขอบคุณ
วันนี้..ฉันเป็นฉันคนเดิม พร้อมหัวใจดวงใหม่ที่แข็งแรงขึ้น
เสื้อยืดธรรมดา แต่มันเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ทั้งเสีัยงหัวเราะ และน้ำตา |
อยากให้ทุกคนเชื่อว่าทุกคนมีคุณค่าในตัวเอง
มีพลังมากกว่าที่ตัวเองคิด หากคุณยังไม่เชื่อว่ตัวคุณทำได้
หากคุณยังไม่กล้าที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนตัวเอง หรือทำเพื่อตัวเอง
หรือสร้างเรื่องราวให้ตัวเองเอาไว้เล่าให้ลูกให้หลานฟัง ก็ไม่มีใครที่จะทำทุกสิ่งที่ฉันว่ามาให้คุณได้ทั้งนั้น
หลายคนชื่นชมฉัน
หลายคนทึ่งในสิ่งที่ฉันทำ..อย่ามัวแต่ชื่นชม อย่ามัวแต่บอกว่าคนนู้นคนนี้เก่งจัง
คุณก็ทำได้เช่นกัน
ถ้าคุณคิดจะทำ..ฉันพิสูจน์แล้วว่าโลกนี้มันไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้
ถ้าเราจะตั้งใจซะอย่าง
เกิดมาทั้งที
ลองทำอะไรให้ตัวเองโคตรภูมิใจสักครั้งดูไหม
สุดยอดมากครับ ทุกเหตุการณ์ย่อมมีเรื่องราว อ่านไปมีแอบน้ำตาซึม
ReplyDeleteยินดีด้วยนะครับ และขอบคุณมากสำหรับเรื่องราวดีๆ ที่เป็นแรงบัลดาลใจให้กับกระผม ซึ่งผมเชื่อว่าเป็นแรงบัลดาลใจให้กับคนอื่นๆอีกมากมายครับ
ขอบคุณมากนะคะ :)
Deleteเจ๋งมากเลยครับ...
ReplyDeleteผมยังไม่ถึงจุดนั้นเลย ได้แค่ฮาฟ
หวังว่าจะถึงในเร็ววัน
ค่อยเป็นค่อยไปค่ะ เส้นชัยรอ และมีไว้สำหรับทุกคนเสมอ แค่คิดจะเริ่ม..ก็ถึงเส้นชัยไปกว่าครึ่งแล้ว :)
Deleteเขียนดี อ่านสนุก เห็นถึงคราบเหงื่อและความตั้งใจจริง
ReplyDeleteชีวิตฉันเปลี่ยนไป ตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะวิ่ง....ใช่ที่สุดเลยครับ
ReplyDeleteอ่านบทความของคุณบิ๋มแล้วนึกถึงการซ้อมของตัวเองเหมือนกันครับ...ด้วยการงาน ด้วยภาระหน้าที่ในครอบครัว การซ้อมไม่ได้ดั่งใจไปตามตารางที่วางไว้...สนามซ้อม ที่เหมาะสม ปลอดภัยที่สุดที่หาได้ 1 รอบ ประมาณ 550 เมตร..วันซ้อมยาวที่มากที่สุด 33 กม. ต้องวิ่ง 60 รอบ...เหนื่อยล้า น่าเบื่อหน่าย...ที่ผ่านมาได้เพราะเป้าหมายที่แจ่มชัดนั่นเองครับ.....แล้วเจอกันอีกนะครับ "สหายนักวิ่ง"
ลืมบอก...วิ่งเสร็จ ใส่เสื้อเขียวๆ ตัวนี้กลับบ้านรู้สึกตัวเองโคตรเท่ห์เลยครับ (ชาวบ้านเค้าไม่เห็นรู้เรื่องสักหน่อย) 555
ReplyDeleteตามอ่านมาตลอดตั้งแต่เริ่มวิ่งแค่ 2 km ตอนนี้ลงฮาล์ฟได้แล้วครับ
ReplyDeleteขอบคุณมากนะคะ :)
Deleteเวลาที่เราวิ่งได้ระยะทางมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ มันสะใจและภูมิใจดีเนอะ