Saturday, December 9, 2017

[Foot Fit Go Tri] Race Diary: Ironman Thailand 70.3 ไม่ไตรไม่รู้

ห่างหายจากการวิ่ง เราหนีไปไตรมา :)

วันนี้พูดได้แล้วว่า.. IM 70.3 IRONMAN FINISHER เลยอยากมาเล่าให้ฟังค่ะ



ย้อนกลับไปประมาณสองปีพี่ๆเพื่อนๆในแก๊งค์วิ่งเริ่มหันไปเล่นไตร จากที่วิ่งกันมาจนเบื่อ เราที่หมดใจหมดไฟกับการวิ่ง เพราะผ่านสนามวิ่งมาพอสมควร จำตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้ แต่น่าจะ 5 full marathon, 9 half marathon และอีกหลายสิบ mini marathon พยายามตั้งเป้าเพิ่มระยะ ในใจอยากไปลอง ultra แบบใครๆดูบ้าง แต่.. ด้วยอาการบาดเจ็บที่รุนแรงมาก จนทำให้ไม่สามารถวิ่งได้เหมือนเคย หนักสุดก็แทบจะเดินไม่ได้และใช้ชีวิตลำบากเลยทีเดียว ปล่อยร่างกายให้เยียวยาตัวเอง ไปพร้อมๆกับการห่างหายจากการวิ่ง และเมื่อพอเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ก็ตั้งใจกับตัวเองว่า จะไม่กลับไปผิดพลาดเหมือนเดิมที่วิ่งเยอะจนลืมดูแลว่าตัวเองไม่ไหว ลืมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และตั้งใจไว้เลยว่า จะไม่บ้าวิ่งอีกแล้ว

ตั้งแต่ช่วงที่ยังวิ่ง ได้รู้จักพี่ๆที่เค้าเป็น Ironman บ้าง ตอนนั้นรู้สึกประหลาดใจ ไอพวกทนุษย์บ้าทำไมอึดกันขนาดนั้น ตอนนั้นไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับไตรกีฬาหรือมนุษย์เหล็กเลย แต่ก็เคยมีความฝัน “วันหนึ่งฉันอยากเป็น Ironman” เพราชอบรอยสักเท่ห์ๆที่พี่ๆเค้าสักกันไว้ที่น่อง แต่...เราก็ยืนยันหนักแน่นมั่นคง ว่ายังไงก็จะไม่ไปไตร เพราะแม่เคยบอกไว้ว่าแค่นี้ก็พอแล้ว บวกกับไม่เคยคิดว่าจะซื้อจักรยานเพราะมันจะกลายเป็นจักรบาน ความคิดที่จะเล่นไตรจึงไม่เคยมีในหัว และฝันที่อยากเป็น Ironman คงไม่มีวันเกิดขึ้นได้

ตัดกลับมาที่ต้นปี 2017 เมื่อชีวิตมันเซ็งจนถึงจุดที่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอมาก เราก็เลยต้องหาอะไรทำเพื่อสร้างพลังให้ตัวเองอีกครั้ง เพื่อนๆคงใช้จุดจิตใจอ่อนแอของเรา จัดการป้ายยาซะมันเดินไปซื้อจักรยานแบบงงๆ ไม่ซื้อธรรมดานะ มันซื้อรถ Time Trial สำหรับแข่งไตรเลยจ้า ซื้อทั้งที่ไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับจักรยาน พร้อมประกาศมุ่งมั่นว่า ‘บบจะโกไตรไปเป็นคนเหล็ก’ ซึ่ง ณ ตอนนั้นก็ปั่นจักรยานเป็นแค่ระดับเด็กขี่เสือภูเขาหรือจักรยานแม่บ้านเท่านั้น

สมัยเพิ่งเริ่มหัดขี่จักรยาน

หลังจากวันที่มีจักรยานในครอบครอง ก็เริ่มฝึกขี่ ครั้งแรกมันไม่ง่ายเพราะมันไม่ใช่เฟสสัน! เรียกว่าเริ่มต้นใหม่จากศูนย์กับจักรยาน แต่โชคดีที่ได้โค้ชดีเลยทำให้พัฒนาการเร็วมาก เร็วแบบว่าแค่สองเดือนหลังจากซื้อคันแรก เสือหมอบคันที่สองก็ถือกำเนิดมา

เริ่มลองเล่นไตรครั้งแรกกับงาน Tri Dash ว่าย 800 ปั่น 20 วิ่ง 5 เป็นการลงสนามครั้งแรกหลังจากปั่นจักรยานมาแค่ 2 เดือนงานนี้ทำให้รู้ว่า ว่ายน้ำห่วยมากกก จากคนที่ว่ายน้ำเป็นมาทั้งชีวิต พอจะมาเล่นกีฬาจริงจังทำให้รู้ว่าที่ผ่านมาว่ายผิดว่ะ และยังอ่อนหัดกับจักรยานนัก ยังไม่เข้าใจรถ ยังเปลี่ยนเกียร์ไม่เป็น ปั่นเป็นหนูถีบจักร จบงานนั้นทำให้เรียนรู้จุดอ่อนของตัวเอง เริ่มมาตั้งสติและตั้งใจฝึกจักรยานมากขึ้น

Roackman Tri ระยะ Olympic ครั้งแรก

จาก
Dash เราก็ไปสู่สนามระยะ Olympic (ใช่ค่ะเราข้าม sprint ไปเลย) กับงาน Rockman ว่าย 1,500 ปั่น 40 วิ่ง 10 งานนี้เป็นการว่าย open water ครั้งที่ 2 ในชีวิต ก่อนจะถึงวันแข่ง ลองไปเรียน open water เพื่อลองว่ารอดไหม จากงานนี้ทำให้รู้ว่า จุดอ่อนที่แท้จริงของตัวเองคือการว่ายน้ำ ถึงกับมีคำพูดติดปากเลยทีเดียวว่า “อย่าให้บิ๋มได้ขึ้นจากน้ำ” เพราะมันว่ายช้า แต่มันจะมาไล่ทุกคนที่จักรยานและวิ่งได้เสมอ

จบงานนั้นแบบสบายๆ แต่ก็ยังมีความนอยเรื่องการว่ายน้ำอยู่มาก แล้วขบวนการป้ายยาก็เริ่มทำงานกันหนักมากอีกครั้ง ทุกคนยืนยันว่ายังไงเราก็จบ 70.3 แน่นอน สุดท้ายเลยตัดสินใจสมัคร 70.3 ที่ภูเก็ต เพราะตั้งใจว่าจะใช้เป็นสนามตัดสินใจว่าจะไปต่อหรือไม่กับระยะ full 70.3 Ironman คือสนามที่ต้องว่าย 1,900 ปั่น 90 วิ่ง 21 สนามที่คนเล่นไตรหลายคนยังลังเลที่จะสมัคร แต่ฉันกับชีวิตที่เล่นไตรมาแค่ 4 เดือนจ่ายหมื่นสองไปและคงถอนตัวไม่ทันแล้ว

Race week
1 สัปดาห์ก่อนแข่งไม่ได้ซ้อมเลย ไม่ได้ตั้งใจ taper แต่ชีวิตวุ่นวายมาก จนทำให้ไม่สามารถซ้อมได้ 2 วันก่อนเดินทางอยู่ดีๆก็เริ่มนอย กลัวว่ายน้ำไม่ได้ เครียดจนกินข้าวไม่ลงกันเลยทีเดียว

Bike check-in ยังชิลๆ


2 วันก่อนแข่งบินไปภูเก็ตเพื่อเตรียมตัว และรู้สึกตัดสินใจถูกที่เดินทางตั้งแต่วันศุกร์ (แข่งวันอาทิตย์) เพราะมีเวลาได้ดูทาง กิน นอนอย่างเต็มที่ มีเวลาได้ลองรถหลังจากประกอบและลองลงไปว่ายน้ำ รู้สึกชินพื้นที่ขึ้นมานิดนึง ยังรู้สึกว่ามาเที่ยวเล่นอยู่จนกระทั่งถึงเวลา bike check-in เริ่มรู้สึกว่าเอาจริงแล้วหรอวะ ...


Race day



Swim
รู้ว่าคือจุดอ่อนของตัวเอง เลยตัดสินใจหาครูว่ายน้ำ ช่วยได้มาก ว่ายดีขึ้น จากที่ไม่เคยรู้จักคำว่าจับน้ำก็เริ่มทำได้ ว่ายน้ำเป็นสิ่งที่ซ้อมน้อยที่สุด ว่ายแค่สัปดาห์ละครั้ง บางทีก็สองสัปดาห์ครั้ง เพราะช่วงฝนตกและการประจำเดือนเป็นอุปสรรคในการซ้อม (จริงๆคือข้ออ้าง) มั่นใจว่างานนี้อย่างน้อยต้องทันคัทออฟแน่นอน ก่อนแข่งลงไปซ้อมว่ายวันเสาร์ยังว่ายได้สบายใจ แต่แล้ว .. เช้าวันอาทิตย์เดินไปขอหมวกว่ายน้ำสีขาว สำหรับคนที่ต้องการ special attention เพราะคิดว่าใส่ไว้จะอุ่นใจมากกว่า ลงวอร์มก่อนปล่อยตัว แต่ดันลงวอร์มก่อนฟ้าสาง เลยทำให้ว่ายไม่ได้เลย ทำยังไงก็ไม่ได้ เดินกลับขึ้นมาที่หาด ยืนร้องไห้ พยายามสงบตัวเอง ยืนทำสมาธิสวดมนต์ เดินไปต่อแถวปล่อยตัวกลุ่ม 46+ พยายามพูดคุยกับคนอื่นให้ลืมๆว่านอย ถึงเวลาปล่อยตัว อยู่แทบท้ายสุด ดีที่คนไม่เยอะไม่ตีกันแล้ว ลงน้ำ 200 เมตรแรก พานิคตามเคย หาจังหวะหายใจไม่ได้ว่ายไม่ได้ ว่ายกบรัวๆ สุดท้ายเกาะพี่ผชคนนึงไป ว่ายข้างเค้าไปในเพซเดียวกันเลยว่ายรอด เจอแมงกระพรุน แสบดีแต่พอขึ้นจากน้ำมารีบเลยลืมว่าแสบ ว่ายดีกว่าที่คิด แต่ช้ากว่าที่ซ้อม ขึ้นจากน้ำมาเอาจักรยานดันเป็นตะคริวเลยต้องนั่งยืดแปบนึง จบที่ 1,900 m : 58.42 mins




Bike
เป็นสิ่งที่มั่นใจรองลงมาจากวิ่ง เพราะช่วงที่ผ่านมาเน้นหนักไปทางปั่น การซ้อมของเราคือการปั่นยาวทุกเสาร์ และซ้อมบนเทรนเนอร์อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง สลับระหว่างซ้อมโปรแกรมกับซ้อมปั่น zone 2 ช่วงแรกที่พื้นฐานจักรยานยังไม่ดี ก็ซ้อมแต่ zone 2 วนไป หาทุกวิถีทางทำให้สามารถอยู่บนจักรยานได้อย่างน้อย 2 ชม. 2 เดือนก่อนแข่งเป็นช่วงเห่อขึ้นเขา เลยปั่นขึ้นเขาใหญ่ 3 รอบ 3 วีคก่อนแข่งซ้อมยาวสุด 104 โลในงานแข่งจักรยาน LRT แก่งกระจาน และ 2 สัปดาห์ก่อนแข่งยังไปปั่นแข่งในงาน Bangkok Bank Cycling Fest 1 สัปดาห์ก่อนแข่งยังไปปั่นวนรอบอ่างเก็บน้ำบางพระอยู่ เรียกได้ว่า ในจำนวน 3 กิจกรรม เราให้เวลากับการซ้อมปั่นมากที่สุดแล้ว

สั่งใจสั่งขาตัวเองให้ปั่น ต้องไม่เข็น
วิวสวย ณ โลที่ 60

ตอนแรกที่เพื่อนชวนสมัครงานนี้บอกว่าทางปั่นตรงๆ ยาวๆ แต่พอประกาศเส้นทางแข่งเท่าแหละ หัวใจจะวาย ตอนยังไม่เห็นทางคิดว่าเนินก็น่าจะปั่นได้เพราะขึ้นเขามาบ้าง นอยกับทางตั้งแต่ขับรถดู ขนาดนั่งรถยังร้องตลอดทางว่า ‘เหี้ยๆๆๆๆ’ กลัวมากถึงขั้นนั่งเงียบในรถ จำชื่อนี้ไว้จนตาย ในทอน ตรีสรา นอยเพราะเคยแต่ขึ้นเขาด้วยหมอบ ไม่ใช่ TT 

ภาพตะกายเนิน
credit photo: emaphotofactory.com

คุณคนข้างๆออกไปลองปั่นให้และกลับนั่งบรีฟว่าเส้นทางเป็นยังไง พร้อมบอกว่า เข็นเถอะ .. (อ้าวเห้ย!) แต่ก็ตั้งเป้าไว้ในใจ ว่าจะไม่เอาขาแตะพื้นเสียชื่อโค้ชไม่ได้ ปั่นขึ้นทุกเนินแบบสบายๆในขณะที่หลายคนลงเข็น มีเสียงเพื่อนโค้ชที่เข็นอยู่ตะโกนไล่หลังมา ‘โค้ชดีเว้ยย ขึ้นเขาพริ้วเลย’การปั่นขึ้นทำให้แซงมาได้หลายคน ตั้งใจจะไม่ลงเข็นแต่ต้องยอมลงเข็นลงเขาเพราะเจ้าหน้าที่ถึงกับยกมือไหว้ เพื่อความปลอดภัย ปั่นปลิวๆมาตลอดทางกินเจลทุก 30 นาที จน 10 โลสุดท้ายต่อสู้กับตัวเองหนักมาก ขาไม่ไปแล้ว แต่ใจสั่งว่ามึงต้องไป มึงต้องไป พอกลับเข้าประตูลากูน่าเท่านั้นแหละไม่รู้พลังมาจากไหน ปั่นบี้มากับผชอีกคนที่พยายามไล่เค้ามาตลอดทาง สุดท้ายทำเวลาได้ตามตั้งใจคือ sub 4  ปั่นได้ดีเกินคาดโค้ชสอนมาดีจริงๆ จบที่ 90km : 3.52hr




Run
เราซ้อมวิ่งสัปดาห์ละ 1ครั้ง ซ้อมบริค ลงมาวิ่ง 5 โลหลังปั่นยาวประมาณ 3 ครั้งก่อนแข่ง ถือว่าวิ่งน้อยมากแต่ก็วิ่งอยู่เรื่อยๆ การวิ่งเป็นวิ่งที่ถนัดที่สุดแต่ที่ทำให้ไม่มั่นใจคือไม่ได้ซ้อมยาวเลย วิ่งยาวสุด 15โล 4 วีคก่อนแข่งเท่านั้น และหลังจากนั้นวิ่งไม่เคยเกิน 10 โล เพราะหลังจากวิ่งทุกครั้งจะมีอาการตึงและเจ็บในจุดที่เคยบาดเจ็บเสมอเลยไม่อยากวิ่งเร็วและไม่อยากวิ่งเยอะกลัวสภาพจะแย่ก่อนแข่ง ตั้งแต่บาดเจ็บแล้วกลับมาวิ่งอีกครั้งยังไม่เคยวิ่งเกิน 15 โลไม่รู้ว่าถ้าหลุด 15 โลไปแล้วสภาพจะเป็นอย่างไร บวกกับ 1 เดือนก่อนแข่งนั้น ทุกครั้งที่ไปวิ่งจะเป็นตะคริวทุกครั้ง


เส้นทางวิ่งวนในลากูน่า

ตามแผนคือจะค่อยๆวิ่งห้ามเร็ว และห้ามช้ากว่าเพซ 8 พอได้ลงมาวิ่งก็วิ่งแบบอารมณ์ดีเพราะมั่นใจว่ายังไงก็จบแน่ๆแล้ว ความโชคดีคือวันแข่งไม่มีแดดเลย ร้อนแบบทนได้ วิ่งไปเอาน้ำราดตัวไปไม่ร้อนก็ราดเพราะจะได้อารมณ์ดีสบายใจไม่เครียด ไล่เก็บคนตามทางวิ่งเช่นเคย ทำได้ตามที่ตั้งใจว่าจะไม่เดินเลย เหนื่อย เหนื่อยมาก เจลที่พกมา 4 ซองหล่นหายไป 2 ตอนไหนก็ไม่รู้ แพลนที่ต้องกินทุก 30 นาทีเลยรวนๆ สิ่งที่สะกดจิตตัวเอง
ตลอด 21 โลคือการท่องประโยคนี้ในหัว ‘มึงทำได้บิ๋ม มึงแค่ต้องไม่หยุด’ วนอยู่ในใจเหมือนคนบ้า เจอโค้ชปั่นมา ดีใจมากกกกก มีพลังขึ้นนิดนึง แต่แล้ว.. ที่โล 18 ปีศาจมา ตะคริวขึ้นสองขา พอขยับแขนเพื่อยืดตัว ตะคริวเกาะไหลและอกซีกขวาทันนี้ ตอนนั้นใจเสียแล้ว อีกแค่ 3 โล ไม่เอาดิวะ เลยกลับไปสะกดจิตตัวเองเหมือนเดิม รู้ตัวว่าหยุดไม่ได้ ถ้าหยุดคือจบ วิ่งต่อไม่ได้แล้ว ท่องวนไปเรื่อย ‘มึงทำได้บิ๋ม’ กลับตัวสุดท้ายก่อนเข้าเส้น เจอโค้ชจอดรออยู่เลยตะโกนบอกว่า ‘จบแล้วววว ไปรอเลยยยย’ จบที่ 21 km : 2.27 hrs

ตอนวิ่งร่าเริ่งมาก .. รอดแน่แล้ว

ระหว่างแข่งมีความคิดมากมายวิ่งเข้ามาตีกันในหัว ตั้งแต่ฉันมาทำอะไรที่นี่ เหนื่อยไหมสิ่งที่เธอทำอยู่ ทำไปแล้วได้อะไร อะไรพาให้ฉันมาทำสิ่งนี่อยู่ตรงนี้ แข่งจบแล้วเราจะโพสเฟสบุคว่าอะไรดีนะ นึกยิ้มกับตัวเองว่าเราทำอีกสิ่งที่ challenge ตัวเองได้แล้ว แต่ก็นึกสมเพชตัวเองที่ทำไมต้องเหนื่อยพิสูจน์ตัวเองว่าแนเป็นคนแกร่งทั้งๆที่ข้างในช่างเปราะบาง



แต่..นาทีก่อนถึงเส้นชัย หลังจากอยู่ในสนามแข่งมา 7.30 ชม. นาทีนั้นไม่คิดอะไรเลย นอกจากว่า ‘กูจบแล้ววววว’ ตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง มีคนตะโกนเชียร์ตลอดทาง ร้องโว้ยๆๆๆๆไปตลอดทางเช่นกัน จะได้กินข้าวแล้วว ไม่ต้องกินเจลแล้ววว

เล่นไตรสนุกไหม .. เล่นมาแค่สองงาน ซ้อมมั่วๆมาประมาณ 6 เดือน ตอบได้ว่าสนุกดีนะ เพราะมันต้องซ้อมสามอย่างเลยเลือกทำให้ไม่เบื่อได้ วันที่ขี้เกียจปั่น เราก็จะหนีไปวิ่ง วันที่ไม่อยากว่าย เราก็ไปปั่น แต่การสลับแบบนี้ทำได้เพราะเราไม่มีตารางซ้อมที่แน่นอน แค่รู้ว่าใน 1 สัปดาห์จะต้องทำอะไรบ้าง วันที่สะดวกก็ไปทำแค่นั้น ตามสไตล์บิ๋มบิ๋มตั้งแต่สมัยวิ่ง ไม่ชอบการมีโค้ช มีกฎเกณฑ์ยังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น มันเลยไม่ค่อยไปไหนได้ไกลไง

พอจบระยะ 70.3 ความคิดที่จะลง full Ironman ก็หายไป บางคนก็บอกว่าเราเพิ่มระยะเร็วไปอาจทำให้เบื่อเร็ว น่าจะค่อยเป็นค่อยไป แต่เราคิดว่ามันไม่ได้อยู่ที่การเพิ่มระยะช้าหรือเร็ว แต่เป็นความเหนื่อยจากการซ้อม และเวลาที่ต้องทุ่มเทไปกับการซ้อมที่ทำให้เรายังไม่อยากหันมาเอาจริงเอาจังกับไตรกีฬามากกว่า นับถือคนทำงานออฟฟิศที่สามารถเอาจริงเอาจังกับการเล่นกีฬาได้ 

แต่ถ้าใครกำลังเบื่อกับการวิ่ง หรือการทำกิจกรรมอย่างเดียว อยากให้ลองดูนะ มันท้าทายดี อย่างน้อยก็สักครั้งในชีวิตให้เอาไว้โม้ได้ เชื่อเหอะว่าคุณทำได้ เราลองมาแล้ว J จริงๆ ือการทำกิจกรรมอย่างเดียว อยากให้ลองดูนะ มันท้าทายดี และบอกได้เลยว่า ไตรกีฬานี่ไม่มีแต้มบุญเก่า ซ