Tuesday, May 21, 2013

[Race Diary] จันทบุรี มินิ-ฮาล์ฟ มาราธอน ครั้งที่ 12 - 19.05.13



งานจันทบุรีครั้งนี้ เป็นงานวิ่งที่ตัดสินใจว่าฉันจะไปอย่างไม่ลังเล ด้วยที่อยากวิ่งฮาล์ฟเพื่อเป็นการซ้อมวิ่งยาวไปในตัว ครั้นจะหาสนามฮาล์ฟใน กทม. ก็ไม่ค่อยมีจัด และจันทบุรีก็ไม่ได้ไกลเกินความสามารถ จึงตกลงปลงใจ ไปค่ะ ฉันจะไป



แม้จะเป็นงานที่ตั้งใจว่าจะไป แต่กลับไม่มีการเตรียมตัวเตรียมการใดๆทั้งสิ้น มีเพียงการจองโรงแรมล่วงหน้าสองอาทิตย์ วิ่งก็ยังไม่ได้สมัคร เส้นทางก็ไม่ศึกษา วิ่งที่ไหน ปล่อยตัวกี่โมงยังไง เส้นทางเป็นแบบไหนไม่ได้สนใจอะไรเลย เพราะช่วงที่ผ่านมายุ่งมาก และดราม่ามากถึงมากที่สุด (ฮา) มีเพียงแต่การพุดคุยกับพี่ๆที่ได้เคยผ่านสนามนี้กันมาแล้ว บ้างว่า โอ๊ยย จันท์ ทางเรียบ ไม่มีอะไรเลย สบายบางท่านว่า จันท์หรอ เป็นทางขึ้นเนิน ลงเนินตลอดฟังขัดกันนะคะ ดิฉันประมวลแทบไม่ถูก เลยเอาผลมาหาค่าเฉลี่ย คิดตกผลึกได้ว่า มันคงเป็นทางเรียบที่มีเนิน แต่ก็ช่างมันไม่มีเวลาคิด ไม่มีเวลานอยด์ เวลาซ้อมจริงๆจังๆเพื่อเตรียมตัวให้พร้อมก็ไม่มี ได้แต่บอกตัวเองเบาๆในใจว่า เอาน่ะ..บางทีเราก็ไม่ต้องรู้บ้างก็ได้ว่าทางข้างหน้าเราจะเจออะไร ก็เลือกแล้ว มันจะเจออะไรก็ถือว่าเป็นความตื่นเต้นที่ต้องยอมรับ..ก็เท่านั้น

วันเสาร์ ออกเดินทางนัดแก๊งค์สาวอึดไว้  7 โมง กว่าจะได้ล้อหมุนกันก็ 8 กว่าๆ ทริปนี้ฉันรับหน้าที่ขับ ออกตัวไปได้แค่มอเตอร์เวย์ ฝนฟ้าก็มีที่ท่าไม่เป็นใจกับทริปนี้เสียแล้ว ฝนตกตลอดทางจนไปถึงเมืองจันท์ก็ยังตก นั่งคิดวิเคราะห์กันแล้วคาดว่า วันพรุ่งนี้น่าจะต้องวิ่งท่ามกลางสายฝนแน่ๆ และแล้วก็เป็นดังนั้น อ้อ..ทริปนี้เราพักกันที่โรงแรม Inn Chan โรงแรมใหม่ใจกลางเมือง ข้ามถนนก็ถึงทุ่งนาเชย สำหรับใครที่สนใจไปงานวิ่งที่จันท์ปีหน้า ขอแนะนำโรงแรมนี้เลยค่ะ

ณ ท่าเรือไปฟาร์มปูนิ่ม
และเพื่อให้การมาวิ่งต่างเมืองคุ้มค่ามากที่สุดพวกเราจึงบัญญัติศัพท์ใหม่ของไลฟ์สไตล์นี้ว่า ‘Runtertainment’ ไหนๆก็ถ่อกันมาขนาดนี้ จะให้เสียทีมาวิ่งอย่างเดียวได้อย่างไร จึงเปิดประเดิมทริปด้วยมื้อเที่ยงแรก ณ ฟาร์มปูนิ่ม เรียกว่ามื้อแรกก็จัดเต็มจนคุ้มค่าการเดินทางมาแล้วจริงๆ

จัดการมื้อเที่ยงเสร็จขับรถกลับเข้าตัวเมืองเพื่อมาสมัครวิ่ง แถมชอปปิ้งให้เรียบร้อย คนยังไม่เยอะมาก เพราะฉันคว้า bib เบอร์ 1 ของรุ่นมาได้ จึงคิดเอาไว้ในใจว่า งานนี้คนน่าจะไม่เยอะ และความหวังรางวัลน่าจะไม่ริบหรี่นะเออ (เหลิงเบาๆเลยนะนี่) คงเหลือแค่การเตรียมกายเตรีมใจให้พร้อมเท่านั้นแล

ณ บริเวณจัดงาน จุดปล่อยตัว และเส้นชัย
เมื่อผู้หญิงรวมตัวกัน มีหรือที่จะมุ่งมั่นตั้งใจเก็บตัวเตรียมตัวเพื่อศึกวันรุ่งขึ้น ในเมื่อจะต้องใช้พลังงานเยอะ เราก็จัดการโหลดพลังกันให้เต็มที่ ถามพนักงานดรงแรมว่าตลาดโต้รุ่งกลางคืนนั้นอยู่หนใด นางว่าอยู่ใกล้ๆข้างหลังโรงแรมนี่เอง พวกเราจึงตกลงกันว่า มื้อเย็นจะฝากท้องไว้ที่นั่น แต่เมื่อไปถึงที่หมาย กลับรุ้สึกว่ามันยังไม่ใช่ตลาดที่ฉันเคยมาเมื่อสี่ ห้าปีที่แล้ว แม้จะได้ของกินกันเต็มไม้เต็มมือ แต่เมื่อรู้สึกว่ายังผิดที่หมาย ความรู้สึกจึงยังไม่สุด ตกลงปลงใจว่าเราจะตามล่าตลาดที่ว่าให้ได้ สุดท้ายจึงโทรขอคำปรึกษาเพือ่นเจ้าถิ่นที่เคยพามา ได้ความว่าจะให้เด็ดต้องไป ตลาดซุ้ยสอบถามเส้นทางเรียบร้อย ไม่รอช้า จัดไป และเมื่อไปถึงพวกนางถึงกับตาวาว ร้องกันเกรียวกราวว่ามันต้องอย่างนี้ถึงจะสุด!

ลองเสื้อผ้า จัดพรอพ เติมไกลโคเจนให้พร้อมแล้วเข้านอน ด้วยความแปลกที่เลยนอนดึกไปหน่อย แถมยังนอนไม่ค่อยหลับ เริ่มรู้สึกว่าลางไม่ค่อยดีแล้ว จะต้องนอนไม่พอแน่ๆ แต่ก็ตื่นทันเวลา ตีสี่ลุกมาอาบน้ำ เปิดม่านฟ้าร้อง ฝนตก แย่ล่ะสิไม่เคยซ้อมเวอร์ชั่นฝนตกซะด้วย แต่งตัว กินกล้วย ดื่มน้ำเต้าหู้ แทะบัตเตอร์เค้กไปสองคำ โปะซันบลอค (ยังคงโปะปลอบใจว่าเดี่ยวฝนมันจะหยุดตก) เข้าห้องน้ำเสร็จสรรพ ยัดเจลลงกระเป๋า เอาเป็นว่าพร้อมมาก แต่แล้ว..ก็ตกม้าตาย

ทะเลสาปบริเวณสวนสาะธรณะสมเด็จฯ มีเส้นทางให้วิ่งรอบบึง ดูชิลมาก

ด้วยความใจร่ม ไหนๆก็เลือกโรงแรมใกล้จุดปล่อยตัว ห่างแค่คนละฝั่งทะเลสาป นางเลยชิลมาก แถมจำเวลาปล่อยตัวผิดคิดว่า 5.45 ทั้งที่จริงๆปล่อยตัว 5.30 ก่อนหน้านั้นสิบนาทีนางเพิ่งออกจากห้อง คิดว่านิดเดียวถึง ที่ไหนได้ มันเดินลัดไม่ไดต้องอ้อมรอบใหญ่ ซวยล่ะที่นี้ ตัดสินใจวิ่งไปเพราจะได้วอร์มไปในตัว พอเข้าใกล้งานมากขึ้น ก็ได้ยินเสียงพิธีกรกล่าวว่าเอาล่ะจะปล่อยแล้ว ขอเชิญประธานขึ้นกล่าว ตอนนั้นขาขวิด แต่ยังใจชื้น เอาน่ะ กว่าประธานจะกล่าวจบ ฉันน่าจะไปถึงทันพอดี แต่ แต่..ประธานกล่าวสั้นๆ ยังไม่ทันพูดอะไร พี่แกพูดว่า เอาเถอะครับ วิ่งกันเถอะเอ๊า..ฉันล่ะ รอฉันด้วย

อีก 200 เมตร จะถึงจุดปล่อยตัว แต่เค้าปล่อยตัวกันไปแล้ว ฉันเลยวิ่งผ่านจุดปล่อยตัวเป็นคนสุดท้าย พร้อมสายตาหลายสิบคู่ที่มองเป็นตาเดียวว่า นางนี้มาจากไหนหนอ ได้ยินเสียงตะโกนว่า น้องบิ๋ม สู้เค้าหน่อยหันไปมอง โปรตุ้มนั่นเอง สู้ค่ะสู้ แต่ตอนนี้นางรั้งท้ายเลยค่ะ แล้วจะไปไล่ทันเค้าอย่างไร

1 กิโลแรกก็จังหวะเสียซะแล้ว เพราะพยายามไล่ตามให้ทันเพื่อเกาะกลุ่มไว้ แต่ก็ต้องยั้งตัวเองว่าทางยังอีกไกล จนกระทั่งผ่านจุดให้น้ำแรก เริ่มตามเข้ามาเกาะกลุ่มทัน มองไปข้างหน้าไกลๆ เห็นว่านักวิ่งน้อย และไม่ค่อยมีผู้หญิง ยิ้มกระหย่องในใจ วิ่งดีๆได้ถ้วยแน่กรู และแล้วอะไรก็ไม่รุ้ดลใจ พาลคิดถึงชอตที่ตัวเองวิ่งออกจากจุดปล่อยตัว อ่าวเฮ้ย..ฉันไม่ได้เช็คอินนี่หว่า ซึ่งอาจหมายความว่าจะพลาดรางวัลถ้าเค้าไม่เชื่อว่าเราวิ่งออกจากจุดปล่อยตัวไม่ได้จ๊ะเอ๋แอบโกงระหว่างทาง พอระลึกได้ดังนั้น ก็สมาธิหลุดทันที ทำไมหนอ ชีวิตฉันมีแต่เรื่องตลกวะพักนี้

ส่วนหนึ่งขอเส้นทางวิ่ง ที่ถ่ายระหว่างขับรถกลับกทม. ฝนยังตกไม่หยุดเลย
ถึงจุดให้น้ำที่สอง เลยถามน้องที่บริการ ณ จุดนั้นว่า น้องคะ มีปากกาขีดให้พี่มั๊ย เค้าลืมขีดเช็คอินให้พี่อ่ะค่ะ (แหนะ..ยังไปโทษคนอื่น) น้องนักเรียนหัวเกรียนมองหน้าฉัน งง คงจะนึกในใจป้านี่มันพูดอะไรวะไม่เข้าใจ แล้วเด็กน้อยก็สั่นหัวให้รู้ว่าไม่มีครับป้า ตอนนั้นรู้สึกเฟลมาก จนถึงขั้นต้องล้วงหยิบมือถือออกจากตูดมาโพสต์เฟสบุค (นี่คือที่มาของเรื่องที่ใครหลายคนแซวว่า วิ่งไปโพสต์ไป ชิลมาก) เพราะอยากระบาย และทิ้งไว้เป็นหลักฐานเผื่อกรรมการถาม จะได้มีหลักฐานยืนยัน ฮา..

วิ่งไปเรื่อยๆปนความรู้สึกใจเสียเรื่องเช็คอิน แต่ก็บอกตัวเองไว้ว่าทำให้ดีที่สุด รางวัลไม่ต้อง ความภูมิใจสำคัญกว่า (นางมั่นใจมากว่านางได้ถ้วย) เส้นทางวิ่งถนนดีมากค่ะ เรียบ แต่เป็นเนิน (ตามที่ประมวลผลไว้ไม่มีผิด) ขึ้นโหดๆบ้าง ขึ้นลงเบาๆแบบไม่ทันสังเกตบ้าง แต่ที่เลวร้ายกว่าเนิน ฉันว่าคือโค้งมากกว่า โค้งตลอดเวลา แทบจะโค้งตลอด 18 กม.ที่วิ่งกันเลยทีเดียว เรียกว่าโค้งจนเจ็บ และปวดเข้า จึงต้องคอยเปลี่ยนวิ่งซ้ายที ขวาทีตามลุงๆผู้เจนสนาม นอกจากโค้งก็คงเป็นเรื่องฝน ตอนแรกก็ปรอยๆ แล้วเปลี่ยนมาครึ้มๆ คิดดังๆคนเดียวในใจ ท้าทายฟ้าดินว่า ตกมาสิ ตกมาเลย ไหนๆก็จะเล่นตลกกับชีวิตชั้นขนาดนี้แล้ว ปล่อยให้ฝนตกลงมาอีกจะเป็นไรไป(เห็นไหมนางดราม่าได้ตลอดจริงๆ) และแล้วฟ้าคงได้ยิน (ที่เรื่องแบบนี้น่ะได้ยินชัดเชียว) จัดลงมาเต็มๆ ฉ่ำกันเลยทีเดียว

เกือบถึงจุดกลับตัวที่ 10.5 วิ่งแซงลุงคงนึง ลุงแกบอกว่า หนูติดแล้วมั๊งเนี่ย วิ่งดีมาก เลยหันไปบอกแกว่า หนูไม่ได้เช็คอิน ก็กลัวเค้าจะไม่ให้รางวัลค่ะ ลุงบอกว่า ไม่เป็นไร เดี๋ยวเป็นพยานให้ เพราะเห็นหนูวิ่งมาตลอดหันไปยิ้มให้ลุง ขอบคุณแล้วจากลุงมา 



ทางโค้งลาดเอียงที่พบเจอได้ตลอด 18 กม โค้งนี้ยังถือว่าเด็กๆ
แม้จะเอาโทรศัพท์เก็บไว้ข้างหลัง แต่ดันลืมปิดเสียงแอพที่คอยรายงานการวิ่ง จนทำให้ฉันได้ยินเรื่อยๆว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไร ก็อายเหมือนกันนะ วิ่งๆไป จะมีเสียงออกจากตูดทุกๆ 1 กิโล เลยต้องพยายามวิ่งให้ทิ้งช่วงจากผู้คน ก็กลัวเค้าจะตกใจกัน ฟังเสียงพี่แอพรายงาน 10 กม.แรก ทำได้ที่ 1.01 ชม. ถือว่าดีมากเลยทีเดียว และคง pace ไม่ให้หลุดตกไปที่ 7 ได้ดีมาก แต่ก็หวั่นว่าจะไปตกม้าตายโลที่ 18 เช่นที่เคยมา วิ่งไปเรื่อยๆไม่ค่อยเหนื่อยมาก คาดว่าน่าจะเป็นเพราะฝนทำให้อากาศเย็นสบาย ฝนมันวิ่งง่ายกว่าร้อนตามที่เค้าบอกจริงๆ พูดได้เลยว่า ไม่เหนื่อยเลย จะมีก็แค่ล้าขาเท่านั้น

ถึงโลที่ 14 หยิบเจลออกมาบีบเข้าปาก espresso อร่อยมาก ตามน้ำไปแก้วโตๆ แล้วก็เหยาะๆไปสักพัก ขึ้นเนินลงเนินเข้าโค้งไปเรื่อย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่วิ่งแบบไม่เดินเลย นอกจากที่จุดรับน้ำที่หยุดดื่ม 15 วิ พลังเยอะมาก และยิ่งเมื่อเจลทำงาน ยิ่งรู้สึกว่าฟิตสุดๆ โลที่ 17 บอกตัวเองว่าอีก 5 โล โลที่ 18 บอกตัวเองว่าอีก 4 โล ยังไหวอยู่ ขาเลยไม่หยุด จนเห็นป้ายบอกทางว่ากำลังจะกลับเข้าสู่เมือง ประมวลร่างกายตัวเอง เริ่มเจ็บขา เจ็บเข่า แต่อีกแค่ 2 กิโลเท่านั้น อธิษฐานในใจ ให้หนูทำได้เถอะนะคะวันนี้ แล้วก็ใส่แรงทั้งหมดที่มี วิ่งไล่แซงขึ้นมาเรื่อยๆจนเข้าเส้นชัย ยื่นมือไปรับป้ายรางวัลที่ 3 อย่างสวยงาม

จบฮาล์ฟมาราธอนครั้งนี้ด้วยความรู้สึกที่มีความสุขมากที่สุด ฉันทำได้แล้ว ระยะทางจาก endo และ Nike+ บอกว่า 22.54 (นี่ยังไม่รวมที่วิ่งมาจากโรงแรม ซึ่งรวมแล้วน่าจะวิ่งไปเกือบ 24 โล) ใช้เวลารวม 2.12 ชม. avg. pace 5.52 fastest pace 4.02 (ช่วงสองกิโลสุดท้าย) และ pace ช้าสุดคือ 6.54 (ตอนกิโลที่ 15)

อีกหนึ่งรางวัลการันตีความ อึด ถึก ทน
สรุปความได้ว่า..งานนี้จัดได้ดีค่ะ ตั้งแต่มีป้ายติดบอกทางว่างานจัดตรงไหนให้เห็นอยู่ทั่วเมือง น้ำมีทุก 2 กิโลตรงเป๊ะๆ และไม่มีคำว่าน้ำหมด แต่เสียที่ไม่มีเกลือแร่แจก จัดการจราจรกั้นรถได้ดีมากๆ เจ้าหน้าที่พร้อมใจกันทำงาน และประสานงานกันได้ดีมาก ป้ายบอกระยะก็ตรงมาก sequence ของงานก็จัดได้ดี ไม่เอ้อระเหย เอาเป็นว่า ประทับใจมากกับงานนี้ เป็นงานที่จัดแบบร่วมมือร่วมใจไม่ต้องใช้ organizer เจ้าใหญ่แต่ดันจัดได้ดีกว่าเสียอีก

เม้าท์เพิ่มเติมบันทึกไว้เตือนตัวเองอีกนิด ฮาล์ฟนี้ดูจะเป็นการวิ่งระยะไกลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดของฉันนับตั้งแต่วิ่งฮาล์ฟมา  วิเคราะห์และประมวลผลแล้วพอจะมองออกว่า น่าจะเป็นเพราะการซ้อมที่ดี ซึ่งการซ้อมที่ดีในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการลงคอร์ทตามสูตรอย่างบีบคั้นกดดัน แต่เป็นการวิ่งตามใจฉันแต่จับจังหวะการวิ่งของตัวเองได้เป็นอย่างดี รู้จักตัวเองว่าความเร็วเท่าใดจะสามารถวิ่งได้นานเท่าใด และถ้าร่างกายในขณะนั้นจะยังสามารถมีพลังวิ่งได้เท่าใด แบ่งแรงครึ่งหลังให้เร็วกว่าครึ่งแรกได้อย่างสวยงาม งานนี้ไม่มีคำว่าเดิน เพราะบรรลุกับคำว่า 'จิตสั่งกาย' ได้อย่างถ่องแท้

ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่อยากจะเม้าท์ รุ่นอายุนี้มีคนขึ้นรับรางวัลเพียง 3 คน แปลว่าไม่มีคนได้ที่ 4 และที่ 5 แปลว่ารุ่นอายุนี้มีลงวิ่งกันสามคน? แปลว่าถ้าฉันวิ่งช้ากว่านี้ก็ยังได้รางวัล? โถ..แล้วทำไมพี่ไม่บอก น้องจะได้ไม่จัดเต็ม 

อีกครั้ง..ที่ฉันทำได้
ฮาล์ฟมาราธอนนี้เป็นงานวิ่งแรกที่มีอะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นกับฉันเป็นครั้งแรก ทั้งวิ่งตากฝนครั้งแรก วิ่งโดยไม่มี armband ครั้งแรกเพราะฝนตกเลยต้องเอาโทรศัพท์ยัดเข้ากระเป๋ากางเกงที่ด้านหลัง แล้วก็ค้นพบว่าการไม่ใช้ armband มันวิ่งสบายมากๆ วิ่งตูดตุงเป็นครั้งแรก เพราะยัดของเยอะมาก ทั้งมือถือ เจล หูฟัง และเงิน แต่งตัวไปวิ่งไปเป็นครั้งแรกเพราะมาถึงจุดปล่อยตัวช้าจึงต้องวิ่งไปใส่หใดไป เซ็ตผมไป กดเปิดแอพไป เป็นการวิ่งครั้งแรก ที่ไม่หวังให้มีใครรอที่เส้นชัยอีกต่อไป และเป็นการวิ่งครั้งแรก..ที่ฉันวิ่งเพื่อตัวฉันเองจริงๆเสียที