Monday, November 21, 2016

[Foot Fit Journey] บ้านป่าบงเปียง .. เพียงเขาและเรา

มีโอกาสได้ไปเที่ยวบ้านป่าบงเปียง ซึ่งฉันไม่เคยรู้จักมักคุ้นกับสถานที่นี้ ไม่เคยแม้กระทั่งจะเคยได้ยินชื่อเลยเสียด้วยซ้ำ แต่เมื่อได้รู้จัก ได้พบ ได้สัมผัส ฉันคงไม่สามารถลบสถานที่แห่งนี้ออกจากภาพความทรงจำไปได้

บันทึกความทรงจำครั้งนี้เกิดขึ้น เพราะคนรอบข้างหลายคนที่ได้เห็นภาพที่ฉันนำมาอวด ล้วนตื่นตาและมีมาถามกันอยู่เนืองๆว่า ที่นี่คือที่ไหน ไปอย่างไร และขอให้ฉันช่วยแนะนำแผนการเดินทาง แม้จะมีคนเล่าเรื่องสถานที่แห่งนี้ไว้มากมาย แม้ฉันจะไม่ถนัดนักในการเขียน แต่ฉันก็ยินดีที่จะเป็นอีกหนึ่งแรงแบ่งปันความงดงามของที่แห่งนี้ในแบบของฉัน





สรุปสำหรับคนขี้เกียจอ่าน

1. บ้านป่าบงเปียงเป็นหมู่บ้านเล็กๆอยู่ในอำเภอแม่แจ่ม ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ ถ้าไปดอยอินทนนท์ถูก ก็ไปบ้านป่าบงเปียงได้
2. บ้านป่าบงเปียงเป็นหมู่บ้านเล็กๆที่ชาวบ้านมีอาชีพหลักในการทำนาข้าวขั้นบันไดและปลูกข้าวโพด การท่องเที่ยวและบ้านพักโฮมสเตย์เป็นรายได้เสริมสำหรับชาวบ้าน
3. ไปเที่ยวได้ทั้งปี อยากดูนาข้าวขั้นบันไดสวยงามเขียวขจีต้องไปช่วง กันยายน ตุลาคม
4. ถ้าอยากเห็นดาวเต็มท้องฟ้า ให้เลือกไปค้างคืนในคืนเดือนมืด หรือข้างแรม
5. เลือกไม่ค้างคืนก็ได้ เข้าหมู่บ้านไปถ่ายรูป นั่งเล่นแล้วกลับ แนะนำให้กลับก่อนมืดเพราะถ้ามืดแล้วจะลำบากมาก
6. แต่ช่วงเวลาที่สวย คือ ช่วงพระอาทิตย์ตก ถ้าไม่ค้างคืนอาจะพลาด หรือรีบดูและรีบกลับให้ทัน
7. ขับรถส่วนตัวไปได้ แต่ต้องจอดที่ลานจอดรถของที่ทำการแถวน้ำตกห้วยทรายเหลือง รถส่วนตัวขับเข้าไปในหมู่บ้านไม่ได้
8. มีบริการรถรับส่งเข้าหมู่บ้าน มีเบอร์ติดต่ออยู่ที่ลานจอดรถ
9. บ้านพักราคาคืนละ 500 บาทต่อคน ราคานี้รวมอาหารเย็น อาหารเช้าด้วย
10. บ้านพักมีประมาณ 6 หลัง แนะนำให้ติดต่อจองบ้านพักก่อนแล้วค่อยจัดการจองอย่างอื่น เบอร์บ้านทุกหลังสามารถหาได้จาก google
11. เรานอนบ้านพี่วีรศักดิ์ 093-074-2686 พี่เขามี Line ด้วย add จากเบอร์ได้เลย
12. เหมาะสำหรับคนชอบถ่ายรูปวิว หรือคนที่ชอบถ่ายรูปฮิปสะเต้อ
13. เหมาะสำหรับชอบธรรมชาติ หรือใครที่อยากหาที่อยู่เงียบๆหนีความวุ่นวายของเมือง หนีเรื่องวุ่นวายของชีวิต หรือจะแค่อยากลองไปอยู่ใกล้กับธรรชาติและมีชีวิตเรียบง่าย ลำบากขั้นปานกลาง
14. มีสัญญาณโทรศัพท์และอินเตอร์เน็ต ความแรงของสัญญาณขึ้นอยู่กับเครือข่าย เราใช้ดีแทค .. อย่าถามเลยว่าเป็นอย่างไร

บ้านป่าบงเปียงอยู่แห่งหนใด

บ้านป่าลงเปียงเป็นหมู่บ้านเล็กๆในอำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ ถ้าใครนึกไม่ออกว่าแม่แจ่มอยู่ที่ไหน ก็ลองนึกถึงดอยอินทนนท์ดู อาจจะฟังคุ้นหูข้นมาบ้าง บ้านป่างปงเบียงนี้อยู่ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์นั่นเอง เราจะต้องเข้าไปในอุทยานฯ จนถึงด่านตรวจที่สอง จะมีป้ายบอกทางให้แยกไปแม่แจ่ม

แล้วดอยอินทนนท์อยู่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ไหม? สำหรับเรา เราถือว่าไม่ไกลนะ เพราะใช้เวลาไม่เกิน 2 ชม.เราก็มาถึงดอยอินทนนท์แล้ว แม้จะเจอปัญหารถติดตรงหางดง และแวะทานข้าวระหว่างทาง เรียกว่าเดินทางแบบไม่รีบ อยากแวะก็แวะ


น้ำตกวชิรธาร สถานที่ท่องเที่ยวทางผ่าน
แวะเที่ยวก่อนไปบ้านป่าบงเปียง หรือจะแวะขากลับก็ได้


เที่ยวบ้านป่าบงเปียง

ไปเที่ยวได้ทั้งปีมั๊ย เราว่าไปได้ทั้งปี แต่ก็ต้องถามว่า คุณอยากไปเห็นอะไรล่ะ ถ้าอยากเห็นวิถีชีวิตชาวนา ดำนาขั้นบันได้ ให้ไปช่วงเริ่มดำนา หรือช่วงเข้าหน้าฝน ช่วงนี้ก็จะได้ภาพผืนน้ำในท้องนา สะท้อนกับท้องฟ้า


ถ้าอยากเห็นนาข้าวขั้นบันไดสีเขียวขจี ก็ไปช่วงสิงหาคม กันยายน ซึ่งเป็นช่วงนาขั้นบันไดสวยที่สุด ตระการตาที่สุด แต่ก็จะต้องทนได้กับความเฉอะแฉะของฝนที่ต้องเจอ


บางส่วนที่ยังเขียวอยู่

ถ้าอยากเห็นนาข้าวสีทอง ตัดกับสีฟ้าของทองฟ้า ก็ไปช่วงตุลาคม หรือช่วงออกพรรษา


นาข้าวสีทอง กับชาวบ้านที่กำลังเก็บเมล็ดข้าวเปลือก

ฉันไปช่วงสิ้นเดือนตุลาคม ข้าวสุกเกือบหมดแล้ว และชาวบ้านก็เริ่มเกี่ยวข้าวแล้ว ซึ่งในตอนแรกเราจะไปต้นเดือนพ.ย. แต่พี่เจ้าของบ้านได้แนะนำว่า ช่วงนั้นน่าจะเกี่ยวข้าวจนเกือบหมดแล้วล่ะ

แล้วถ้าใครเป็นคนที่หลงเสน่ห์ของดวงดาว อีกเคล็ดลับในการเลือกวันเดินทางที่ได้จากคนข้างๆคือ ถ้าอยากเห็นดาวเต็มทองฟ้า ให้เลือกไปค้างคืนในคืนเดือนมืด หรือข้างแรม แล้วคุณจะเพ้อกับดาวนับล้านดวงไปเลยทีเดียว

แล้วเดินทางไปยังไงล่ะ

ด้วยความที่ยังรักสบายจึงเลือกการใช้เงินแก้ปัญหา เราเช่ารถจากเชียงใหม่ขับเที่ยวเอง ถ้าถามว่าขับยากไหม คงต้องบอกว่าถ้าพอขับขึ้นเขาขึ้นดอยมาบ้าง ก็ไม่ยากค่ะ รถอะไรก็ขับไปได้เพราะดอยอินทนนท์ถนนหนทางดีแล้ว แต่ถ้ามือใหม่หัดขับเลยอันนี้ไม่แนะนำ

อย่างที่บอกไปข้างต้น การเดินทางไปบ้านป่าบงเปียงสามารถขับรถไปได้ โดยไปได้สองทางด้วยกัน คือ ทางดอยอินทนน์ และทางแม่แจ่ม เราขอเล่าจากวิธีการไปของเรา ซึ่งเราเลือกไปทางดอยอินทนนท์ จากตัวเมืองเชียงใหม่ให้มุ่งหน้าไปทางจอมทอง ไปทางเดียวกับการไปดอยอินทนนท์ จะขับแวะขึ้นไปเที่ยวบนดอยก่อน แล้วค่อยลงกลับมานอนที่ป่าบงเปียงก็ได้ มันไม่ได้ไกลกันมาก แผนการเดินทางของเราคือ เราออกจากเชียงใหม่ประมาณเก้าโมงกว่าๆ ขับขึ้นดอยอินทนนท์ก็สิบเอ็ดโมงกว่า ขับลงมาเพื่อไปแม่แจ่มแต่เห็นว่ายังหัววันเลยขับไปเที่ยวแม่แจ่มก่อน แม่แจ่มทางโหดมาก มันเป็นเส้นทางที่ไปแม่ฮ่องสอนได้ โค้งกันแบบว่าจิตแข็งก็ต้องเมา


ทางขับเข้าไปน้ำตกห้วยทรายเหลือง

หลังจากวิ่งมาทางแม่แจ่ม จากด่านตรวจที่สองของอุทยานแล้ว ให้สังเกตป้าย “น้ำตกห้วยทรายเหลือง” เพราะเราจะต้องเข้าไปทางนั้น ป้ายไม่ใหญ่ แต่ก็ไม่ได้เล็กจนมองไม่เห็น แต่ทางที่ดีอย่าขับเร็วนัก เพราะถ้าเลยแล้วจะต้องเลยไปไกล มันไม่มีทางให้กลับรถ หรือถ้าเลยแล้ว แนะนำให้ไปขับรถเล่นเลยจ่ะ

มาถึงน้ำตกหัวยทรายเหลืองแล้ว จะมีลานจอดรถ และทางเดินไปน้ำตก แต่! ตรงนั้นยังไม่ใช่ที่จอดรถสำหรับที่จะเข้าป่าบง-เปียงค่ะ จอดแล้วไปเดินดูน้ำตกได้ สวยงามตามท้องเรื่องนะ มันจะต้องขับเลยเข้ามาอีกนิดนึง แล้วจะเห็นที่ทำการเจ้าหน้าที่ พร้อมป้ายเขียนบอกว่า รถรับจ้างเข้าบ้านป่างบงเปียง ฉันไม่ได้โทรเบอร์ตามป้ายนั้น เพราะจองบ้านพักไว้จึงได้นัดแนะกับพี่เจ้าของบ้านให้ออกมารับ แต่ถ้าใครไม่ได้พักค้างแรม แต่กังวลว่าจะมีรถเข้าไปไหม ฉันสังเกตเห็นพี่คนหนึ่งเค้าจดรถอยู่ตรงนั้น น่าจะรอรับนักท่องเที่ยว เพราะเค้าก็เป็นคนโทรตามพี่เจ้าของบ้านให้ในขณะที่มือถือเราไม่มีสัญญาณ


ไม่ได้ถ่ายภาพไว้สภาพถนนไว้ จึงของอนุญาตยืมภาพจากเว็บที่เราอ่านเป็นข้อมูล
เครดิตตามภาพเลย

แล้วถ้าอยากขับรถเข้าไปในหมู่บ้านเองล่ะ ขับได้ไหม รถเรา 4WD เลยนะ? แนะนำว่าอย่าดีกว่า ถ้ารถคุณไม่ใช่กระบะ 4WD แบบว่าลุยถึงไหนถึงกันไม่เสียดายรถจริงๆ ตอนที่เราไปคือสิ้นเดือนตุลาคม เรียกว่าไม่ใช่หน้าฝนแล้ว แต่ทางเข้าหมู่บ้าน ระยะทางแค่ 2 กม. ยังใช้เวลากว่า 30 นาที เพราะเป็นทางโคลนเละ เละมากๆจริงๆ และจะต้องเป็นคนที่ชินทางหรือมีสกิลในการขับสูงพอดู คุยกับพี่คนขับได้ความว่า หน้าฝนก็เละกว่านี้มาก เละแบบว่าไม่ต้องไปไหนกันเลยทีเดียว แต่ทางที่เราใช้เข้ามาในหมู่บ้านนี้ก็ไม่ใช่ทางหลัก ทางหลักจะเป็นอีกเส้นทาง ที่มีระยะทางกว่า 40 กม. เลยไม่ค่อยนิยมแม้จะทางดีกว่าแต่ก็ไกล จึงมักใช้เส้นทางลัดนี้ให้นักท่องเที่ยวเข้าหมู่บ้าน

ที่พักหลักร้อยวิวหลักล้าน

ที่พักจะเป็นลักษณะโฮมสเตย์ แต่เราจะไม่ได้อยู่รวมกับเจ้าของบ้าน จะเป็นบ้านที่ทำไว้สำหรับต้อนรับนักท่องเที่ยวมากกว่า บ้านพักที่บ้านป่าลงเปียงมีไม่กี่หลัง น่าจะสัก 6 หลังได้มั๊ง ดังนั้นเมื่อคิดจะไปเที่ยวและพักค้างคืนที่นี่ สิ่งแรกที่ต้องทำคือ ควรจองที่พักให้ได้ก่อน แล้วค่อยไปจัดการจองอย่างอื่น



ที่พักตั้งเรียงรายกัน

บ้านพักราคาคืนละ 500 บาทต่อคน ซึ่งราคานี้รวมอาหารเย็น อาหารเช้าด้วยนะ แม้บ้านจะเป็นแค่กระต๊อบ หลังคามุงจาก ไม่มีไฟฟ้า มีมุ้ง และนอนบนพื้นไม้ มีฟูกและผ้าห่มสะอาดพร้อม มีห้องน้ำที่จัดเป็นสัดส่วนและถือว่าไม่น่าขนลุกสักเท่าไหร่ มันไม่ได้ลำบากเลยถ้าเทียบกับการนอนเต็นท์ แต่ถ้าใครที่ติดความสบายก็ไม่แนะนำ เพราะคุณจะพาลไม่สบอารมณ์กับสิ่งอำนวยความสะดวกที่ไม่มีจนลืมความสวยงามรอบตัวไปเปล่าๆ


อันนี้ไม่ใช้บ้านพัก นาจะเป็นที่พักช่วงทำนา

เรานอนบ้านพี่วีรศักดิ์ ซึ่งพี่เขามีบ้านสองหลังด้วยกัน หลังที่เรานอนเป็นหลังเล็ก อีกหลักจะใหญ่กว่า นอนได้หลายคน แต่ไม่ค่อยได้เจอหน้าพี่เขาเท่าไหร่นะ เจอแค่ตอนไปรับ และแว่บมาดูบ้างช่วงค่ำว่าขาดเหลืออะไรไหนแค่นั้น สงสัยคงอยากให้ความเป็นส่วนตัวกับลูกค้า (เบอร์ติดต่อพี่วีรศักดิ์  093-074-2686 พี่เขามี Line ด้วยนะฮะ)


บ้านพักของเรา
เพื่อนบ้านแวะมาทักทาย

นอกจากวิวและนาขั้นบันได มีอะไรให้ทำอีกไหม

ไม่มีค่ะ สถานที่นี้ไม่เหมาะกับคนที่ชอบกิจกรรมและอยู่เฉยๆไม่ได้ ชีวิตที่นี่ slow life มาก กิจกรรมที่ดูจะสนุกที่สุดคือ การเดินไปตามร่องนาขั้นบันไดแล้วถ่ายรูป ถ้าคนที่ชอบถ่ายรูปก็คงจะเป็นสวรรค์เลยทีเดียว เราถ่ายไปมาก็ร้อนและเหนื่อย เพราะพอเดินลึกมากกลับรู้สึกว่ามันน่ากลัว โดยเฉพาะแมลงต่างๆที่เยอะพสมควร (อ้อ.. อย่าใส่ขาสั้นนะคะ พยายามใส่กางเกงขายาวจะดีกว่า เข้าป่า ขึ้นเขา แมลงเยอะและยุงดุค่ะ ที่นี่มีคุ่นตัวแสบด้วย) และหลังจากลื่นตกร่องนาไปสองรอบเลยยิ่งเกร็ง กลับไปนั่งนิ่งๆที่บ้านที่กว่า ฝากไว้สำหรับคนที่จะไปพักบ้านพี่วีรศักดิ์ ช่วงบ่ายพระอาทิตย์จะส่งเข้าหน้าบ้านพอดี เลยทำให้อยู่ที่บ้านไม่ได้เพราะแดดร้อนมาก


สภาพทางเดินตามนาขั้นบันไดที่เราเดินเล่นไปเรื่อย
ครั้งแรกที่ได้จับรวงข้าว
ถ่ายรุปเบื่อก็นั่งหายใจทิ้ง

อาหารการกินที่เจ้าบ้านเตรียมให้เป็นอย่างไร

มื้อเย็นเป็นกับข้าวง่ายๆประมาณสามอย่าง ที่เราได้มาเป็นผัดผัก หมูทอด และไข่เจียว อิ่มแน่นสำหรับสองคน ใครใคร่ติดอาหาร น้ำพริก หรือขนมนมเนยไปก็ตามสบาย เครื่องดื่มต่างๆก็เอาไปได้เจ้าบ้านไม่ติดอะไร มื้อเย็นวันนั้นเป็นอาหารมื้อที่โรแมนติคที่สุดในชีวิตสำหรับเรา กินข้าวใต้ดาวนับล้าน ร้านหรูร้านไหนก็คงให้ไม่ได้




กินข้าวกับวิวนี้

มื้อเช้าเป็นข้าวผัดหมูสับโปะไข่ดาว ใส่มาเต็มชั้นปิ่นโต ทำเอาจุกเลยทีเดียว แถมยังมีบริการโอวันติน และกาแฟร้อนด้วยนะ เบรคฟาสกับวิวพระอาทิตย์ขึ้นพร้อมทะเลหมอกนี่ก็ฟินจริงๆ




อาหารเช้า
ตื่นมากินข้าวเช้ากับวิวนี้

ที่ว่าวิวหลักล้านน่ะ มันเป็นยังไง

ก็แบบนี้ ..










ใครชอบธรรมชาติ หรือใครที่อยากหาที่อยู่เงียบๆหนีความวุ่นวายของเมือง หนีเรื่องวุ่นวายของชีวิต หรือจะแค่อยากลองไปอยู่ใกล้กับธรรชาติและมีชีวิตเรียบง่าย ลำบากขั้นปานกลางเราแนะนำลองไปที่นี่ดู บางทีคุณอาจจะหลงมนต์เสน่ห์ความเรียบง่ายและความสวยงามของธรรมชาติตรงหน้าอย่างเราก็เป็นได้

ดีใจที่เราออกเดินทางในครั้งนี้ เพราะมันทำให้เรารู้ว่า ของดียังมีอยู่ไม่ไกลตัวเราเลย เมืองไทยยังมีอะไรให้เราออกไปค้นหาอีกเยอะ

[การเดินทางครั้งนี้เกินขึ้นระหว่างวันที่ 29-31 ต.ค. 2559]


Saturday, November 12, 2016

[Foot Fit Journey] สอยดาวประมาณไหน

ไหนๆก็ไม่มีเรื่องวิ่งมาให้เม้าท์ เราเปลี่ยนสายมาเล่าเรื่องเที่ยวแทนแล้วกัน อันที่จริงในช่วงปีที่ผ่านมา มีโอกาสเดินทางไปหลายที่ที่ไม่เคยไป แต่ก็นั่นแหละ ไฟในการเล่าเรื่องมันจะลุกโชนตอนกำลังเดินทาง พอกลับมาก็มักมอด และหมักดองทุกอย่างไว้ตามเคย .. 

เค้าว่ากันว่า เราควรลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ พาตัวเองไปเจอสิ่งใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ อย่างน้อยก็ปีละครั้ง  หรือ บางก็ว่า “Life begins when you get out of your comfort zone” ฉันก็เห็นดีเห็นงามกับทั้งสองแนวคิดนี้แหละ ทุกวันนี้ก็ยึดคติพวกนี้นี่แหละในการใช้ชีวิต เลยพยายามสะกดจิตตัวเองให้ลองอะไรใหม่ๆอยู่เสมอ ไม่สิ.. จริงๆก็ไม่ได้เป็นคนชอบหาอะไรใหม่ๆทำตลอดเพราะไม่ใช่คนขี้เบื่อ แต่ออกแนวโรคจิตชอบท้าทายตัวเองมากกว่า อยากรู้ว่า ‘หน้าอย่างฉันจะทำได้ไหมนะ’ การเดินทางครั้งนี้จึงเกิดขึ้น ...




เตรียมตัวประมาณไหน

ภูสอยดาวเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน ไม่เคยมีข้อมูลในหัว จะว่าโดนเพื่อนป้ายยาก็ไม่ใช่ โดนเพื่อนหลอกไปก็ไม่เชิงเพราะนางยืนกรานว่า “กูไม่หลอกใครเข้าป่านะเว้ย” ตัดสินใจไปจากแค่ว่าหันไปบอกคนข้างๆว่าเขามีทริปนี้กัน คนข้างๆดันบอกว่าเออไป อยากไป .. อ่าว .. ไปก็ไปวะ

เนื่องด้วยไม่เคยเดินป่า หรือไปใช้ชีวิตในป่าอย่างจริงจัง ถ้าไม่นับสมัยละอ่อนตอนเป็นเนตรนารีวัยใส จึงทำให้ไม่มีไอเดียว่าจะต้องเตรียมอะไร พรอพที่มีล่ะพอมั๊ย หรือจะต้องจัดกระเป๋ายังไง และ ชีวิตมันจะเป็นแบบไหนอยู่ในหัวเลย มีหารีวิวอ่านบ้าง แต่ก็เห็นว่าคนที่เค้าไปกันมาไม่ได้ลำบากอะไรกันนักหนานี่หว่า บ้างคนลุคไม่ได้ดูสมบุกสมบัน ฟรุ้งฟริ้งกระดิ่งแมวเค้ายังพิชิตยอดภูสำเร็จ แล้วระดับนักวิ่งมาราธอน 5 สนาม (ยัง..ยังกล้าเรียกตัวเองว่านักวิ่ง) แบบฉันจะไม่รอดได้อย่างไร

รองเท้าที่เลือกมาเดินทริปนี้ และได้ทิ้งไว้ที่นี่เรียบร้อย

เลือกรองเท้าวิ่งเทรลของ New Balance ที่ซื้อไว้สมัยไปงานโคลัมเบียเทรลปีแรก และเป็นการวิ่งเทรลครั้งแรกของเรามาใส่เพราะคิดว่าด้วยดอกยางของนางแล้ว นางน่าจะตอบโจทย์ทริปนี้ได้ดีที่สุด แต่.. ระดับอีบิ๋มไปไหนไม่มีอุปสรรค หรือปัญหาเนี่ยมันเหมือนจะไปไม่ถึง ยังไม่ครึ่งทางดี ระหว่างก้าวขึ้นบันไดรู้สึกแปลกๆที่แหมือนเหยียบอะไรหนึบๆเลยก้มลงไปดู นั่นไง.. พื้นรองเท้าหลุดค่ะ!! อะไรของแกร๊.. ซื้อมานี่หยิบพี่มาใส่สองครั้งเองนะ พี่ทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง แล้วชีวิตที่เหลือของฉันจะอยู่อย่างไร .. ด้วยความที่มันเผยอออกมานิดเดียว เลยตัดส่วนที่มันหลุดออก ด้วยโลจิคที่ว่า มันจะได้ไม่ไปดึงส่วนที่เหลือออกมาด้วย (คนข้างๆฉลาดเสมอ) ตัดออกแล้วก็เดินต่ออย่างสบายใจนะ แต่สบายได้ไม่นานคราวนี้พี่เค้าหลุดทั้งแผ่นสองข้างเลยจ่ะ

จัดกระเป๋าตามที่ได้รับบรีฟว่าต้องเจอฝน แบ่งเป็นสองกระเป๋า ยกให้ลูกหาบใบนึงติดตัวแบกเองใบนึง พยายามไม่เอาอะไรติดตัวมากเพราะรู้ว่าระหว่างทางมันจะกลายเป็นภาระ ซึ่งการพยายามแพคไลท์เนี่ย สุดท้ายก็สร้างภาระนะ เพราะหิว แล้วก็จะเริ่มเกิดการถกเถียงว่า ทำไมไม่พกนู่นมา ทำไมไม่พกนี่มา ดังนั้นขอบันทึกไว้ตรงนี้ว่า เข้าป่าครั้งใด จงเตรียมเสบียงไป 'เหลือมักดีกว่าหิวแล้วพาลเสมอ'

ครั้งนี้เราไปกับ Trekkingthai ซึ่งเป็นครั้งแรกของเรา การจัดการของที่นี่ทำได้ดีนะ ก่อนไปมีการส่งรายละเอียดมาบรีฟ พอใกล้วันก็มีการโทรมาบรีฟสิ่งที่เราควรรู้อีกครั้งเพื่อความชัวร์ว่าเธอได้รับสารแน่แล้ว วันเดินทางก็ไม่วุ่นวาย มาถึงรายงานตัว เตรียมพร้อมขึ้นรถ ซึ่งทุกอย่างจัดการไว้อย่างเป็นระบบแล้ว แม้กระทั่งการระบุที่นั่งบนรถตู้ ซึ่งอันนี้เราว่าโอเคนะ (เรื่องระบุที่นั่งมารู้ตอนขึ้นรถ ตอนแรกคิดว่าใครตะครุบที่ได้ก่อนก็ได้ไป) สำหรับเราที่นั่งบนรถสำคัญมาก เพราะเป็นคนเมารถระดับแอ๊ดว๊านซ์ที่ใครก็คาดไม่ถึง เอาเป็นว่า บีทีเอสพี่ก็เมา โชคดีได้ที่นั่งแถวหน้า เลยไม่รู้ว่าถ้าได้ที่นั่งไม่ดีนี่จะขอเปลี่ยนที่ได้ไหม

ทางเดินประมาณไหน

หลับสนิทแบบไม่รู้เรื่อง ตื่นมาอีกทีรถก็มาจอดที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาวแล้ว ลงไปล้างหน้าล้างตา จัดการแพคกระเป๋าที่จะให้ลูกหาบขนขึ้น เสร็จแล้วทางคณะก็จัดมื้อเช้าไว้ให้ที่ร้านอาหารน่ารักๆตรงทางเดินขึ้น รับห่อข้าวสำหรับพกติดตัวไว้เป็นมื้อเถียง รับน้ำดื่มคนละสองขวด นั่งคุยกันไปเรื่อยรอเวลาเดินขึ้นภู กว่าจะได้เริ่มเดินกันจริงๆก็เกือบเก้าโมงเข้าไปแล้ว

ระยะการเดินทั้งหมดประมาณ 6.5 กม. สำหรับคนที่ผ่านการวิ่งระยะฟูลมาราธอนมาแล้ว ตัวเลขแค่นี้แบบ จิ๊บ จิ๊บมาก 6.5 นี่คือระยะวิ่งเล่นปกติประจำวันเลยนะ เลยไม่รู้สึกว่ามันจะหนักหนาอะไร แต่หล่อนลืมนึกไปไง 6.5 แนวดิ่งนะแกร๊

การเดินช่วงเริ่มต้นยังเป็นการเดินเกาะกลุ่มกันอยู่ ด้วยความที่ยังไม่ค่อยสนิทสนมกับใคร เลยเดินก้มหน้าก้มตาคุยกันไปกับคนข้างกันสองคน ประเดิมเส้นทางก็เป็นบันไดให้ไต่หลายสิบขั้น หลังจากนั้นก็เป็นการเดินเลาะไปตามน้ำตก ค่อยๆไต่ขึ้นสลับลง เดินไปไม่ถึง 500 เมตรดีก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้ว แต่ก็ยังคึกคักเดินจ้ำตัวปลิวได้อยู่ จนกระทั่งมาถึงเนินส่งญาติ...

มรณะสมชื่อ

ก่อนเดินเคยอ่าน และรับบรีฟมาคร่าวๆว่าเนินส่งญาติคือพีคสุดของทริปนี้ เพราะเป็นช่วงที่จะต้องไต่ขึ้นเขา เป็นทางชันตลอด แต่ไม่คิดว่าพี่แกจะพีคจริงไง ทั้งที่มันเป็นช่วงต้นของการเดินน่าจะยังมีแรงอยู่เยอะ แต่พอมาถึงตรงนี้แทบกรีดร้องกันเลยทีเดียว เริ่มเสียมือให้กับการเดินทง จากเดินสองขา กลายมาเป็นมนุษย์สี่ขาซะงั้น และความเจ็บปวดอีกอย่างของคนขาสั้นคือ บางทีมันก้าวไม่ถึงไง ขั้นหินมันไกลไปก็ต้องก้าวขายาวๆ แต่มันยาวได้แค่เท่าที่แม่ให้มาเลยรู้สึกว่าเป็นการตะกายที่ใช้พลังงานเยอะมากกกกก ทุ่มสุดตัวจนผ่านช่วงเนินนี้มาได้แวะพักทันทีเลยค่ะ

สภาพทางเดินส่วนใหญ๋

ตั้งแต่เนินเสือโคร่งไปก็เป็นทางขึ้นตลอดเลยจริงๆ ขึ้นแบบเละๆนั่นแหละ ตั้งแต่เนินมรณะไปจนถึงยอด เรารู้สึกว่ามันเป็นระยะทางที่ไกลมาก เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึง ขึ้นเท่าไหร่ก็ไม่สุด มองไม่เห็นยอดไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลยทีเดียว ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยมากแล้ว อยากให้มันจบๆซะที

กินข้าวกันประมาณไหน

เรามีนัดพักกินข้าวเที่ยงกันที่เนินเสือโคร่ง จริงๆก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือตรงไหน แต่เห็นคนอื่นและน้องสต๊าฟที่เป็นคนนำเค้าแวะกิน ก็เลยแวะกินไปกับเค้าด้วย พอแกะห่อข้าวออกมาจะกินเท่านั้นแหละ ฝนตกห่าใหญ่เลยคุณเอ๊ย คือ .. มันเป็นโมเม้นต์ที่ยากจะอธิบายจริงๆนะ แบบทำไมฟ้าฝนใจร้ายกับกูจัง จะไม่กินก็ไม่ได้เพราะแกะแล้ว จะให้เดินต่อไปก่อนแล้วค่อยกินก็ไม่ไหวเพราะหิวมาก การนั่งกินข้าวบนโขดหินเล็กๆกลางป่า ตักข้าวไปก็เอามือบังถุงไปกลัวน้ำฝนลงข้าว ต้องก้มหน้าก้มตากินเพราะถ้าเงยหน้าฝนจะเข้าหน้า  คือ โรแมนติกมากนะ แต่ตอนนั้นถามตัวเองเลยว่า “นี่ทำไมกูต้องพาตัวเองมาลำบากแบบนี้” ข้าวหมูกระเทียมไข่ต้มมื้อนี้เป็นหมูกระเทียมที่อร่อยที่สุดในโลก พูดเลย!



ครัวบนดอย

ออริจินัล สโลว์ ไลฟ์คาเฟ่

นอกจากมื้อเที่ยงในวันขาขึ้นแล้ว มื้ออื่นๆบนดอยนี่อุดมสมบูรณ์มาก จนแทบลืมไปเลยว่าใช้ชีวิตกันอยู่ในป่า การใช้เงินแก้ปัญหา มากับคณะมันก็ดีแบบนี้แหละ ดังนั้น สำหรับใครที่รักธรรมชาติ แต่ยังไม่อยากลำบากกระทั่งต้องหุงหาอาหารเอง แนะนำเลยค่ะ จงใช้เงินแก้ปัญหา

มีอะไรประมาณไหน

เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปๆมาๆก็ขึ้นมาถึงที่หมาย ที่รุู้ว่าถึงแล้วคือเจอป้ายผู้พิชิตนั่นเอง แต่ด้านบนเต็มไปด้วยหมอกที่ลงจัดจนไม่เห็นอะไรเลย คลำทางจนไปถึงจัดกางเต้นท์ วันนี้จบแล้ว จัดแจงนั่งพัก พอหมอกเริ่มจางจึงได้เริ่มเดินสำรวจพื้นที่

หมอกลงจัดในวันที่ขึ้นมาถึง

เดินเล่นบนลานสน

บนภูสอยดาวมีลานสน ซึ่งไฮไลท์ก็คงจะเป็นทุ่งดอกหงอนนาคที่สวยงามฟรุ้งฟริ้ง เป็นแบ็คกรานด์ถ่ายรูปสำหรับเหล่าฮิปเตอร์ พวกเราก็พากันเดินสำรวจลานสน ไปจนถึงเส้นเขตแดนไทย - ลาว ก็ไม่นาเชื่อ ว่าเรามากันถึงชายแดนไทยเลยรึนี่

ดอกหงอนนาค

หลักเขตแดนไทย - ลาว

กิจกรรมบนยอดดอยไม่มีอะไรมาก จั่วและจั่วอย่างเดียว พักจากจั่วเราก็เดินไปน้ำตก ตอนขาลงก็โหดใช้ได้เลยทีเดียว แทบจะต้องไต่เขาใช้สกิลขั้นสูงเพื่อลงไป แต่ขากลับมันเดินง่ายมากเลยคุณเอ๊ย อยู่ดีๆก็โผล่จากหุบเขาขึ้นมาบนลานกางเต้นท์แบบงงๆ นี่ก็คิดนะ ว่าตอนเดินลงเขาพาเราไปเดินลำบากทำไม
จากนั้นก็ไปเดิน hiking บนยอดเขาสวยๆ เดินวนรอบได้วิวตระการตาทะเลหมอกสวยงาม ลมเย็นตีหน้าแสนสบาย อยากจะขึ้นมาปิกนิกบนนี้แทบทุกวัน

น้ำตกสายทิพย์

ทางลงไปน้ำตก



ใช้ชีวิตประมาณไหน

บนยอดภูสอยดาวมีห้องน้ำให้อาบน้ำ แต่ไม่มีน้ำให้ ใครใคร่ใช้น้ำ จะต้องเดินไปตักน้ำเองที่ลำธาร เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งชาเลนจ์เลยทีเดียว เพราะทางที่เดินไปลำธารนั้นแฉะและเละมากไง ไหนจะต้องแบกน้ำมาทีละถังสองถัง เดินเหยียบย่ำบนพื้นเละๆ คุณเอ๊ย ถ้าไม่ติดว่าเดินลุยฝนตากฝนมาทั้งวัน อย่าได้หวังว่าฉันจะอาบน้ำเลย และเพื่อเป็นการประหยัดแรงี่ต้องเดินไปตักน้ำ เราจึงมี 'ภารกิจขันเดียว' ไม่ว่าคุณจะทำธุระอะไร จงใช้น้ำแค่ขันเดียวเท่านั้น

นอนเต็นท์สองคืน ชีวิตในป่ามันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ บางทีการลำบากมั่งมันก็ดี จะแย่ก็แค่แมลงและแมงทั้งหลายนั่นแหละ แมลงบนนี้เขาเรียกว่าตัวคุ่น หน้าตามันล้ายๆยุง แต่โดนแล้วมันคันมากกกก นี่ก็โดนมาจนต้องไปหาหมอกันเลยทีเดียว โดนไปครั้งเดียวเกือบทั้งขาบอกเลยว่าเข็ดมาก


เต๊นท์หนาแน่นเพราะไฮซีซั่น


สภาพหน้าเต๊นท์

สรุปแล้ว..ภูสอยดาวประมาณไหน

ก็ประมาณนี้ ..

อาทิตย์ตกที่ภูสอยดาว

อาทิตย์ตกที่ภูสอยดาว

ดอกหงอนนาคยามอาทิตย์อัสดง

ภูสอยดาวก็ประมาณนี้
วิวระหว่างเดินลง

เรื่องเล่าขาลงไม่มีอะไรมาก เดินลงกันสบายๆ มีลื่นไถลบ้างพอเป็นพิธี ทีเป็นไฮไลท์ก็เห็นจะเป็นสภาพเมารถที่แสนน่าเวทนา คนอะไรอ้วกได้ตั้งแต่ยังไม่ลงเขา ยันพิษณุโลก เบ็ดเสร็จสามชั่วโมงที่เอาถุงพลาสติกทัดหู ถือว่าครั้งนี้เป็นการเมารถที่พีคสุด กลัวตัวเองที่สุด และสมเพชตัวเองที่สุดเลยจริงๆ





จบทริปนี้ที่ได้มาคือประสบการณ์ใหม่ มิตรภาพใหม่ และความรักครั้งใหม่ .. หลงรักเขาเข้าแล้วสิเรา J


[การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นวันที่ 9 11 ก.ย. 2559]