Saturday, November 12, 2016

[Foot Fit Journey] สอยดาวประมาณไหน

ไหนๆก็ไม่มีเรื่องวิ่งมาให้เม้าท์ เราเปลี่ยนสายมาเล่าเรื่องเที่ยวแทนแล้วกัน อันที่จริงในช่วงปีที่ผ่านมา มีโอกาสเดินทางไปหลายที่ที่ไม่เคยไป แต่ก็นั่นแหละ ไฟในการเล่าเรื่องมันจะลุกโชนตอนกำลังเดินทาง พอกลับมาก็มักมอด และหมักดองทุกอย่างไว้ตามเคย .. 

เค้าว่ากันว่า เราควรลองทำอะไรที่ไม่เคยทำ พาตัวเองไปเจอสิ่งใหม่ๆ สถานที่ใหม่ๆ อย่างน้อยก็ปีละครั้ง  หรือ บางก็ว่า “Life begins when you get out of your comfort zone” ฉันก็เห็นดีเห็นงามกับทั้งสองแนวคิดนี้แหละ ทุกวันนี้ก็ยึดคติพวกนี้นี่แหละในการใช้ชีวิต เลยพยายามสะกดจิตตัวเองให้ลองอะไรใหม่ๆอยู่เสมอ ไม่สิ.. จริงๆก็ไม่ได้เป็นคนชอบหาอะไรใหม่ๆทำตลอดเพราะไม่ใช่คนขี้เบื่อ แต่ออกแนวโรคจิตชอบท้าทายตัวเองมากกว่า อยากรู้ว่า ‘หน้าอย่างฉันจะทำได้ไหมนะ’ การเดินทางครั้งนี้จึงเกิดขึ้น ...




เตรียมตัวประมาณไหน

ภูสอยดาวเป็นอย่างไร อยู่ที่ไหน ไม่เคยมีข้อมูลในหัว จะว่าโดนเพื่อนป้ายยาก็ไม่ใช่ โดนเพื่อนหลอกไปก็ไม่เชิงเพราะนางยืนกรานว่า “กูไม่หลอกใครเข้าป่านะเว้ย” ตัดสินใจไปจากแค่ว่าหันไปบอกคนข้างๆว่าเขามีทริปนี้กัน คนข้างๆดันบอกว่าเออไป อยากไป .. อ่าว .. ไปก็ไปวะ

เนื่องด้วยไม่เคยเดินป่า หรือไปใช้ชีวิตในป่าอย่างจริงจัง ถ้าไม่นับสมัยละอ่อนตอนเป็นเนตรนารีวัยใส จึงทำให้ไม่มีไอเดียว่าจะต้องเตรียมอะไร พรอพที่มีล่ะพอมั๊ย หรือจะต้องจัดกระเป๋ายังไง และ ชีวิตมันจะเป็นแบบไหนอยู่ในหัวเลย มีหารีวิวอ่านบ้าง แต่ก็เห็นว่าคนที่เค้าไปกันมาไม่ได้ลำบากอะไรกันนักหนานี่หว่า บ้างคนลุคไม่ได้ดูสมบุกสมบัน ฟรุ้งฟริ้งกระดิ่งแมวเค้ายังพิชิตยอดภูสำเร็จ แล้วระดับนักวิ่งมาราธอน 5 สนาม (ยัง..ยังกล้าเรียกตัวเองว่านักวิ่ง) แบบฉันจะไม่รอดได้อย่างไร

รองเท้าที่เลือกมาเดินทริปนี้ และได้ทิ้งไว้ที่นี่เรียบร้อย

เลือกรองเท้าวิ่งเทรลของ New Balance ที่ซื้อไว้สมัยไปงานโคลัมเบียเทรลปีแรก และเป็นการวิ่งเทรลครั้งแรกของเรามาใส่เพราะคิดว่าด้วยดอกยางของนางแล้ว นางน่าจะตอบโจทย์ทริปนี้ได้ดีที่สุด แต่.. ระดับอีบิ๋มไปไหนไม่มีอุปสรรค หรือปัญหาเนี่ยมันเหมือนจะไปไม่ถึง ยังไม่ครึ่งทางดี ระหว่างก้าวขึ้นบันไดรู้สึกแปลกๆที่แหมือนเหยียบอะไรหนึบๆเลยก้มลงไปดู นั่นไง.. พื้นรองเท้าหลุดค่ะ!! อะไรของแกร๊.. ซื้อมานี่หยิบพี่มาใส่สองครั้งเองนะ พี่ทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง แล้วชีวิตที่เหลือของฉันจะอยู่อย่างไร .. ด้วยความที่มันเผยอออกมานิดเดียว เลยตัดส่วนที่มันหลุดออก ด้วยโลจิคที่ว่า มันจะได้ไม่ไปดึงส่วนที่เหลือออกมาด้วย (คนข้างๆฉลาดเสมอ) ตัดออกแล้วก็เดินต่ออย่างสบายใจนะ แต่สบายได้ไม่นานคราวนี้พี่เค้าหลุดทั้งแผ่นสองข้างเลยจ่ะ

จัดกระเป๋าตามที่ได้รับบรีฟว่าต้องเจอฝน แบ่งเป็นสองกระเป๋า ยกให้ลูกหาบใบนึงติดตัวแบกเองใบนึง พยายามไม่เอาอะไรติดตัวมากเพราะรู้ว่าระหว่างทางมันจะกลายเป็นภาระ ซึ่งการพยายามแพคไลท์เนี่ย สุดท้ายก็สร้างภาระนะ เพราะหิว แล้วก็จะเริ่มเกิดการถกเถียงว่า ทำไมไม่พกนู่นมา ทำไมไม่พกนี่มา ดังนั้นขอบันทึกไว้ตรงนี้ว่า เข้าป่าครั้งใด จงเตรียมเสบียงไป 'เหลือมักดีกว่าหิวแล้วพาลเสมอ'

ครั้งนี้เราไปกับ Trekkingthai ซึ่งเป็นครั้งแรกของเรา การจัดการของที่นี่ทำได้ดีนะ ก่อนไปมีการส่งรายละเอียดมาบรีฟ พอใกล้วันก็มีการโทรมาบรีฟสิ่งที่เราควรรู้อีกครั้งเพื่อความชัวร์ว่าเธอได้รับสารแน่แล้ว วันเดินทางก็ไม่วุ่นวาย มาถึงรายงานตัว เตรียมพร้อมขึ้นรถ ซึ่งทุกอย่างจัดการไว้อย่างเป็นระบบแล้ว แม้กระทั่งการระบุที่นั่งบนรถตู้ ซึ่งอันนี้เราว่าโอเคนะ (เรื่องระบุที่นั่งมารู้ตอนขึ้นรถ ตอนแรกคิดว่าใครตะครุบที่ได้ก่อนก็ได้ไป) สำหรับเราที่นั่งบนรถสำคัญมาก เพราะเป็นคนเมารถระดับแอ๊ดว๊านซ์ที่ใครก็คาดไม่ถึง เอาเป็นว่า บีทีเอสพี่ก็เมา โชคดีได้ที่นั่งแถวหน้า เลยไม่รู้ว่าถ้าได้ที่นั่งไม่ดีนี่จะขอเปลี่ยนที่ได้ไหม

ทางเดินประมาณไหน

หลับสนิทแบบไม่รู้เรื่อง ตื่นมาอีกทีรถก็มาจอดที่อุทยานแห่งชาติภูสอยดาวแล้ว ลงไปล้างหน้าล้างตา จัดการแพคกระเป๋าที่จะให้ลูกหาบขนขึ้น เสร็จแล้วทางคณะก็จัดมื้อเช้าไว้ให้ที่ร้านอาหารน่ารักๆตรงทางเดินขึ้น รับห่อข้าวสำหรับพกติดตัวไว้เป็นมื้อเถียง รับน้ำดื่มคนละสองขวด นั่งคุยกันไปเรื่อยรอเวลาเดินขึ้นภู กว่าจะได้เริ่มเดินกันจริงๆก็เกือบเก้าโมงเข้าไปแล้ว

ระยะการเดินทั้งหมดประมาณ 6.5 กม. สำหรับคนที่ผ่านการวิ่งระยะฟูลมาราธอนมาแล้ว ตัวเลขแค่นี้แบบ จิ๊บ จิ๊บมาก 6.5 นี่คือระยะวิ่งเล่นปกติประจำวันเลยนะ เลยไม่รู้สึกว่ามันจะหนักหนาอะไร แต่หล่อนลืมนึกไปไง 6.5 แนวดิ่งนะแกร๊

การเดินช่วงเริ่มต้นยังเป็นการเดินเกาะกลุ่มกันอยู่ ด้วยความที่ยังไม่ค่อยสนิทสนมกับใคร เลยเดินก้มหน้าก้มตาคุยกันไปกับคนข้างกันสองคน ประเดิมเส้นทางก็เป็นบันไดให้ไต่หลายสิบขั้น หลังจากนั้นก็เป็นการเดินเลาะไปตามน้ำตก ค่อยๆไต่ขึ้นสลับลง เดินไปไม่ถึง 500 เมตรดีก็เริ่มรู้สึกเหนื่อยแล้ว แต่ก็ยังคึกคักเดินจ้ำตัวปลิวได้อยู่ จนกระทั่งมาถึงเนินส่งญาติ...

มรณะสมชื่อ

ก่อนเดินเคยอ่าน และรับบรีฟมาคร่าวๆว่าเนินส่งญาติคือพีคสุดของทริปนี้ เพราะเป็นช่วงที่จะต้องไต่ขึ้นเขา เป็นทางชันตลอด แต่ไม่คิดว่าพี่แกจะพีคจริงไง ทั้งที่มันเป็นช่วงต้นของการเดินน่าจะยังมีแรงอยู่เยอะ แต่พอมาถึงตรงนี้แทบกรีดร้องกันเลยทีเดียว เริ่มเสียมือให้กับการเดินทง จากเดินสองขา กลายมาเป็นมนุษย์สี่ขาซะงั้น และความเจ็บปวดอีกอย่างของคนขาสั้นคือ บางทีมันก้าวไม่ถึงไง ขั้นหินมันไกลไปก็ต้องก้าวขายาวๆ แต่มันยาวได้แค่เท่าที่แม่ให้มาเลยรู้สึกว่าเป็นการตะกายที่ใช้พลังงานเยอะมากกกกก ทุ่มสุดตัวจนผ่านช่วงเนินนี้มาได้แวะพักทันทีเลยค่ะ

สภาพทางเดินส่วนใหญ๋

ตั้งแต่เนินเสือโคร่งไปก็เป็นทางขึ้นตลอดเลยจริงๆ ขึ้นแบบเละๆนั่นแหละ ตั้งแต่เนินมรณะไปจนถึงยอด เรารู้สึกว่ามันเป็นระยะทางที่ไกลมาก เดินเท่าไหร่ก็ไม่ถึง ขึ้นเท่าไหร่ก็ไม่สุด มองไม่เห็นยอดไม่เห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์เลยทีเดียว ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยมากแล้ว อยากให้มันจบๆซะที

กินข้าวกันประมาณไหน

เรามีนัดพักกินข้าวเที่ยงกันที่เนินเสือโคร่ง จริงๆก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือตรงไหน แต่เห็นคนอื่นและน้องสต๊าฟที่เป็นคนนำเค้าแวะกิน ก็เลยแวะกินไปกับเค้าด้วย พอแกะห่อข้าวออกมาจะกินเท่านั้นแหละ ฝนตกห่าใหญ่เลยคุณเอ๊ย คือ .. มันเป็นโมเม้นต์ที่ยากจะอธิบายจริงๆนะ แบบทำไมฟ้าฝนใจร้ายกับกูจัง จะไม่กินก็ไม่ได้เพราะแกะแล้ว จะให้เดินต่อไปก่อนแล้วค่อยกินก็ไม่ไหวเพราะหิวมาก การนั่งกินข้าวบนโขดหินเล็กๆกลางป่า ตักข้าวไปก็เอามือบังถุงไปกลัวน้ำฝนลงข้าว ต้องก้มหน้าก้มตากินเพราะถ้าเงยหน้าฝนจะเข้าหน้า  คือ โรแมนติกมากนะ แต่ตอนนั้นถามตัวเองเลยว่า “นี่ทำไมกูต้องพาตัวเองมาลำบากแบบนี้” ข้าวหมูกระเทียมไข่ต้มมื้อนี้เป็นหมูกระเทียมที่อร่อยที่สุดในโลก พูดเลย!



ครัวบนดอย

ออริจินัล สโลว์ ไลฟ์คาเฟ่

นอกจากมื้อเที่ยงในวันขาขึ้นแล้ว มื้ออื่นๆบนดอยนี่อุดมสมบูรณ์มาก จนแทบลืมไปเลยว่าใช้ชีวิตกันอยู่ในป่า การใช้เงินแก้ปัญหา มากับคณะมันก็ดีแบบนี้แหละ ดังนั้น สำหรับใครที่รักธรรมชาติ แต่ยังไม่อยากลำบากกระทั่งต้องหุงหาอาหารเอง แนะนำเลยค่ะ จงใช้เงินแก้ปัญหา

มีอะไรประมาณไหน

เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปๆมาๆก็ขึ้นมาถึงที่หมาย ที่รุู้ว่าถึงแล้วคือเจอป้ายผู้พิชิตนั่นเอง แต่ด้านบนเต็มไปด้วยหมอกที่ลงจัดจนไม่เห็นอะไรเลย คลำทางจนไปถึงจัดกางเต้นท์ วันนี้จบแล้ว จัดแจงนั่งพัก พอหมอกเริ่มจางจึงได้เริ่มเดินสำรวจพื้นที่

หมอกลงจัดในวันที่ขึ้นมาถึง

เดินเล่นบนลานสน

บนภูสอยดาวมีลานสน ซึ่งไฮไลท์ก็คงจะเป็นทุ่งดอกหงอนนาคที่สวยงามฟรุ้งฟริ้ง เป็นแบ็คกรานด์ถ่ายรูปสำหรับเหล่าฮิปเตอร์ พวกเราก็พากันเดินสำรวจลานสน ไปจนถึงเส้นเขตแดนไทย - ลาว ก็ไม่นาเชื่อ ว่าเรามากันถึงชายแดนไทยเลยรึนี่

ดอกหงอนนาค

หลักเขตแดนไทย - ลาว

กิจกรรมบนยอดดอยไม่มีอะไรมาก จั่วและจั่วอย่างเดียว พักจากจั่วเราก็เดินไปน้ำตก ตอนขาลงก็โหดใช้ได้เลยทีเดียว แทบจะต้องไต่เขาใช้สกิลขั้นสูงเพื่อลงไป แต่ขากลับมันเดินง่ายมากเลยคุณเอ๊ย อยู่ดีๆก็โผล่จากหุบเขาขึ้นมาบนลานกางเต้นท์แบบงงๆ นี่ก็คิดนะ ว่าตอนเดินลงเขาพาเราไปเดินลำบากทำไม
จากนั้นก็ไปเดิน hiking บนยอดเขาสวยๆ เดินวนรอบได้วิวตระการตาทะเลหมอกสวยงาม ลมเย็นตีหน้าแสนสบาย อยากจะขึ้นมาปิกนิกบนนี้แทบทุกวัน

น้ำตกสายทิพย์

ทางลงไปน้ำตก



ใช้ชีวิตประมาณไหน

บนยอดภูสอยดาวมีห้องน้ำให้อาบน้ำ แต่ไม่มีน้ำให้ ใครใคร่ใช้น้ำ จะต้องเดินไปตักน้ำเองที่ลำธาร เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งชาเลนจ์เลยทีเดียว เพราะทางที่เดินไปลำธารนั้นแฉะและเละมากไง ไหนจะต้องแบกน้ำมาทีละถังสองถัง เดินเหยียบย่ำบนพื้นเละๆ คุณเอ๊ย ถ้าไม่ติดว่าเดินลุยฝนตากฝนมาทั้งวัน อย่าได้หวังว่าฉันจะอาบน้ำเลย และเพื่อเป็นการประหยัดแรงี่ต้องเดินไปตักน้ำ เราจึงมี 'ภารกิจขันเดียว' ไม่ว่าคุณจะทำธุระอะไร จงใช้น้ำแค่ขันเดียวเท่านั้น

นอนเต็นท์สองคืน ชีวิตในป่ามันก็ไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะ บางทีการลำบากมั่งมันก็ดี จะแย่ก็แค่แมลงและแมงทั้งหลายนั่นแหละ แมลงบนนี้เขาเรียกว่าตัวคุ่น หน้าตามันล้ายๆยุง แต่โดนแล้วมันคันมากกกก นี่ก็โดนมาจนต้องไปหาหมอกันเลยทีเดียว โดนไปครั้งเดียวเกือบทั้งขาบอกเลยว่าเข็ดมาก


เต๊นท์หนาแน่นเพราะไฮซีซั่น


สภาพหน้าเต๊นท์

สรุปแล้ว..ภูสอยดาวประมาณไหน

ก็ประมาณนี้ ..

อาทิตย์ตกที่ภูสอยดาว

อาทิตย์ตกที่ภูสอยดาว

ดอกหงอนนาคยามอาทิตย์อัสดง

ภูสอยดาวก็ประมาณนี้
วิวระหว่างเดินลง

เรื่องเล่าขาลงไม่มีอะไรมาก เดินลงกันสบายๆ มีลื่นไถลบ้างพอเป็นพิธี ทีเป็นไฮไลท์ก็เห็นจะเป็นสภาพเมารถที่แสนน่าเวทนา คนอะไรอ้วกได้ตั้งแต่ยังไม่ลงเขา ยันพิษณุโลก เบ็ดเสร็จสามชั่วโมงที่เอาถุงพลาสติกทัดหู ถือว่าครั้งนี้เป็นการเมารถที่พีคสุด กลัวตัวเองที่สุด และสมเพชตัวเองที่สุดเลยจริงๆ





จบทริปนี้ที่ได้มาคือประสบการณ์ใหม่ มิตรภาพใหม่ และความรักครั้งใหม่ .. หลงรักเขาเข้าแล้วสิเรา J


[การเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นวันที่ 9 11 ก.ย. 2559]

No comments:

Post a Comment