Friday, August 23, 2013

[Review] วิ่งปลิวๆ กับ Mizuno Wave Spacer AR4



คิดมาพักใหญ่แล้วค่ะ ว่าอยากได้รองเท้าเบาๆไว้สำหรับแข่งสักคู่หนึ่ง แต่ก็ยังลังเลชั่งใจหนักเพราะส่วนตัวก็มองว่ามันไม่ได้จำเป็น เราไม่ใช่นักกีฬา ไม่มีความจำเป็นใดๆเลยที่จะต้องเสียเงินซื้อรองเท้าเพื่อใส่สำหรับแข่ง ลำพังรองเท้าที่ใส่วิ่งทุกวัน มันก็พาเราไปวิ่งแข่งมาได้หลายสนาม ดังนั้น จะซื้อทำไมไอรองเท้าวิ่ง

แต่กิเลสก็เพิ่มขึ้นทุกวันกับการมองหารองเท้าพื้นบางสักคู่ เนื่องด้วยความตั้งใจที่อยากปรับเปลี่ยนท่าวิ่ง ด้วยการลง mid foot แทนที่ลงส้นเท้าอย่างที่เคยๆมา ซึ่งการจะปรับท่าวิ่งนี้ รองเท้าวิ่งเดิมที่ใช้อยู่ทุกวัน Asics GEL Kayano 18 ไม่สามารถทำได้ เพราะด้วยการออกแบบของรองเท้าที่มีการรองรับการกระแทกที่ดีแล้วนั้น ประมาณนั้น

เดิมทีก็ได้เล็งรองเท้าพื้นบาง หรือรองเท้าแบบ minimalist ที่เค้าเรียกกันนั้นไว้หลากหลายคู่ ที่มาวินเข้ามาใน wish list ก็มี Asics Tarther, NewBalance Minimus และ Mizuno Wave Ronin5 และ WaveSpacerAR4 ทำไมถึงเลือกมาเท่านี้ เอาตรงๆตอบแบบผู้หญิ๊ง ผู้หญิง เลือกจากรูปลักษณ์ที่ถูกใจอย่างเดียวเลยค่ะ ที่ short list มานี่ใช้ passion ล้วนๆ แต่ท้ายที่สุด ก็จบลงที่ Mizuno WaveSpacer AR4 ค่ะ เพราอะไร? ตอบได้ไม่ยาก เพราะคุณสมบัติผ่าน หน้าตาสวยถูกใจและราคารับได้ค่ะ (สู่ขอมาในราคา 3,180 บาท จากราคาเต็ม 5,300 บาทค่ะ ด้วยความอุปถัมภ์เรื่องส่วนลดจากคุณครูที่เคารพค่ะ)..ตัดสินใจง่ายดีไหม.. และแล้วสวยก็มีเนื้อคู่ใหม่ ที่ขอให้สมญานางว่า พิ้งกี้

เนื้อคู่ล่าสุดที่ไปสู่ขอมาค่ะ "น้องพิ้งกี้"

ข้อจำกัดของการใช้รองเท้าพื้นบาง หรือรองเท้าที่ออกแบบมาเพื่อให้เหมาะกับการใช้แข่งนั้น คือ ไม่ควรใช้เป็นรองเท้าที่ใส่ซ้อมทุกวันค่ะ ควรจะนำมาใส่ซ้อม สัก 2-3 วันก่อนการแข่งเพื่อให้ชินเท้าเท่านั้น เนื่องด้วยตัวรองเท้ารับแรงกระแทกได้น้อย หากใส่วิ่งทุกวันอาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บได้ อีกอย่าง รองเท้าประเภทนี้มีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าค่ะ หากใส่บ่อยๆ เกรงว่าอาจจะพังเร็ว คนหวงของอย่างฉัน (จริงๆงกค่ะ) เลยเลือกที่จะไม่ใส่บ่อยนะคะ ฝากเอาไว้อีกครั้ง..รีวิวนี้ เป็นความเห็นส่วนตัวล้วนๆ ที่ทำการรีวิวในแบบฉบับของผู้หญิงที่วิ่ง แต่ไม่ได้มีความรู้อะไรเยอะแยะมากมาย แค่เม้าท์มอยตามประสบการณ์ตรงที่ตัวเองได้ลองและได้สัมผัสนะคะ

ความรู้สึกแรก

วันแรกที่ได้นางมาก็เห่อตามระเบียบ แกะกล่องปุ๊บ เอาไปใส่วิ่งเล่นปั๊บเลยค่ะ แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เท้าได้ลองสวมเข้าไปในตัวรองเท้า เพราะได้ลองมาตั้งแต่ตอนซื้อแล้ว รู้สึกว่า มันบาง และเบามาก ไม่รู้สึกอึดอัดแน่นเท้า เหมือนรองเท้าทั้งสองรุ่นที่มีในครอบครอง (Asics GEL Kayano 18 และ New Balance 580v2) รู้สึกได้เลยว่า นี่สินะความรู้สึกของรองเท้าไร้ cushioning เท้ามันรู้สึกอิสระมาก อยากจะกระดิกเท้าในรองเท้าก็ทำได้สบาย มันไม่มีอะไรมาเป็นกรอบควบคุมเท้าเลยจริงๆ ซึ่งมันเป็นความรู้สึกพิเศษที่ทำให้ประทับใจมากๆ

ครั้งแรกของการสัมผัสโลกกว้าง

มีหมายเหตุนิดนึงว่า วันแรกที่ได้รองเท้ามานั้น ยังเป็นช่วงที่สวยบาดเจ็บชอกช้ำอยู่กับอาการที่หัวเข่าซ้ายที่ยืดยาวมากว่าเดือนนะคะ และนับตั้งแต่วันแรกที่ได้ลองใช้รองเท้าคู่นี้ มาจนถึงวันที่เขียนรีวิวก็เกือบ 1 เดือนพอดีค่ะ ดังนั้นการรีวิวนี้เป็นการรีวิวในขณะที่ยังบาดเจ็บ และจนถึงวันที่หายนะคะ
ครั้งแรกที่พาพิ้งกี้ไปโลดแล่นบนพื้นถนน อืม..มันบางจริงๆ ครั้งแรกที่ลองใส่ออกวิ่ง..เฮ้ยย มันเบาไป๊ เบาเหมือนไม่ใส่รองเท้าเลย ไม่ได้เว่อร์นะคะ มันรู้สึกแบบนั้นจริงๆ บางคนอาจจะบอกว่า มันมีรองเท้าที่เบากว่านี้อีก ถูกต้องค่ะ มันมี แต่โดยส่วนตัว รุ่นนี้คือรองเท้าที่เบาที่สุดที่เคยใส่มา ดังนั้น สวยรู้สึกวิเศษมากค่ะ ครั้งแรกที่ได้วิ่งกับ Wave Spacer AR4 มันปลิวตัวลอยมาก แต่ก็พยายามเรียกสติกลับมาเพราะเกรงว่าจะบาดเจ็บหากไม่ประมาณตนและมัวแต่สนุกกับความเบา

พิ้งกี้กับการลงสนาม

หลังจากได้รองเท้ามาไม่กี่วัน ก็พาเนื้อคู่ใหม่ไปลงสนามค่ะ สนามแรกที่พาไปออกงาน คือ Bangkok Post Int’l10km Run ค่ะ แม้จะเป็นการใส่ลงสนามครั้งแรก แต่ไม่มีปัญหาใดๆเลย ไม่ทำให้อาการบาดเจ็บแย่ลง แต่โดยส่วนตัว กลับรู้สึกว่า รองเท้าทำให้การลงทำให้ดีขึ้น เพราะเท้าเป็นอิสระมากขึ้น เบาขึ้น วิ่งได้ฉิวมาก 

กับผองเพื่อนเมื่อครั้งลงสนามครั้งแรก

 การวิ่งระยะไกล


ได้พาพิ้งกี้ไปใส่วิ่งในระยะฮาล์ฟมาราธอนเป็นครั้งแรก กับงาน 12 August Half Marathon ซึ่งงานนี้ Wave Spacer AR4 พิสูจน์ให้รู้สึกได้อย่างชัดเจนเลยว่า รองเท้าที่ดี ทำให้การวิ่งระยะไกลสนุกขึ้นจริงๆ เพราะปกติสำหรับการวิ่งระยะฮาล์ฟนี้กับรองเท้าสองคู่ที่ผ่านมา จะเกิดอาการร้อนเท้ามาก สักโลที่ 15 เป็นต้นไปจะรู้สึกไม่สบายเท้าแล้ว เท้าหนัก แต่อาการเหล่านั้นไม่เกิดกับรองเท้าคู่นี้เลย พิ้งกี้ทำหน้าที่ระบายความร้อนได้ดีมากค่ะ  สวยยังคงวิ่งได้ฉิว แม้จะรู้สึกเหนื่อย แต่ยังคงรู้สึกสบายเท้าอยู่มาก หรือพูดง่ายๆคือ ที่เหนื่อยเพราะร่างกายมันเหนื่อยจากการวิ่ง แต่รองเท้าไม่ได้เป็นตัวเพิ่มความเหนื่อย ไม่ได้เพิ่มภาระให้เลยจริงๆ รวมถึงตัวรองเท้าที่นิ่ม และบาง ทำให้สามารถขยายตัวตามเท้าที่ขยายขึ้นจากการวิ่งมาเป็นระยะเวลาหนึ่งได้ดีด้วยค่ะ

เนื้อคู่ที่ตามหา

รองเท้าคู่นี้เป็นรองเท้าที่กลับบ้านบอกแม่เลยค่ะ ว่า มันใช่เลย มันคือรองเท้าที่ตามหามานานอาจไม่สามารถพูดได้ว่า มันเป็นคู่แท้ที่ใช่ที่สุด เพราะอย่างไรก็คงจะต้องเปลี่ยนรองเท้าวิ่งอีกไม่วันใดก็วันหนึ่ง แต่ ณ ตอนนี้ บอกได้เต็มปากเลยว่า Mizuno Wave Spacer AR4 เป็นรองเท้าที่ไม่รู้สึกเสียดายที่ตัดสินใจซื้อเลยจริงๆ (ซึ่งความรู้สึกเสียดายเงิน เคยเกิดขึ้นกับ Kayano 18 ค่ะ)

Wave Spacer AR4 เหมาะกับใคร’ 

ถ้าคุณกำลังมองหารองเท้าน้ำหนักเบาสักคู่ และไม่ต้องการรองเท้าที่ออกแบบเพื่อรองรับการกระแทกอะไรมากมาย หรือไม่ได้ต้องการรองเท้าที่ได้รับการคิดค้นให้ใความพิเศษพิศดารอวกาศด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่สุดท้ายทำหน้าที่แค่บวกราคาให้มันแพงขึ้น เชื่อว่ารองเท้ารุ่นนี้ตอบโจทย์ค่ะ 

จับมาแปลงโฉมสักหน่อย ชมพู-เหลือง โดดเด่นขึ้นเป็นกอง
อย่างนี้ถึงสมกับการเป็นรองเท้าเนื้อคู่ของผู้หญิงอย่างฉัน

สำหรับนักวิ่งหน้าใหม่ ที่ยังไม่มั่นใจว่าตัวเองวิ่งถูกวิธีหรือไม่ หรือยังกลัวการบาดเจ็บอยู่ ไม่แนะนำนะคะ อย่างที่เกริ่นไปแต่ต้นว่า รองเท้าลักษณะนี้ไม่แนะนำให้ใช้เป็นรองเท้าวิ่งประจำ ถ้านำมาสลับใช้แม้ไม่ได้ลงแข่งก็พอไหวอยู่ค่ะ แต่เอนนี่เวย์..ส่วนตัวคิดว่า การเริ่มวิ่งจากรองเท้าพื้นระดับกลาง ค่อนไปทางบางแบบนี้ จะช่วยให้สามารถฝึกการลงเท้าได้อย่างอิสระ และถูกวิธีมากกว่าค่ะ (ความเห็นส่วนตัวนะคะ ถูกผิดหลักการหรือไม่ ไม่ทราบค่ะ)


ถ้าถามว่า ในยามที่พิ้งกี้หมดอายุขัย Mizuno Wave Spacer จะยังเป็นตัวเลือกอันดับต้นๆอยู่หรือไม่ ยืดอกตอบอย่างมั่นใจ “ซื้ออีกแน่นอนค่ะ!” อ้อ...และรักครั้งนี้ ทำให้เชื่อแล้วว่า รองเท้าวิ่ง Mizuno ดีจริงสมคำร่ำลือจ่ะ

Thursday, August 15, 2013

[Race Diary] 12 August Half Marathon Bangkok 2013 12.08.13



สมัครวิ่งงานนี้เพราะหวังจะเก็บระยะวิ่งสำหรับการซ้อมเพื่อลงมาราธอนปลายปีค่ะ ตอนที่สมัครไปก็ไม่รู้รายละเอียดอะไรเช่นเคย เพราะโดยปกติเป็นคนไม่ค่อยสนใจรายละเอียดใดๆ ถ้าคิดว่าจะไปวิ่งก็คือไป อะไรยังไงไม่ต้องศึกษา รู้เพียงอย่างเดียวว่าถ้าลงฮาล์ฟจะได้ BIB ที่พิมพ์ชื่อตัวเองนางเลยก้าวข้ามทุกข้อมูล ตัดสินใจลงฮาล์ฟเลยค่ะ

ตอนแรกก็สงสัยในใจ ว่าในกทม.จะให้วิ่งระยะฮาล์ฟ กับเส้นทางในเมืองขนาดนั้น เราจะไปวิ่งกันตรงไหน และก็ได้มารู้ทีหลังว่า สำหรับระยะ 21 กม.ในงานนี้นั้น เค้าให้เราวิ่ง 2 รอบในเส้นทางเดิมจ้า สมัครไปแล้วแต่ก็ยังลังเล จนกระทั่งขณะที่วิ่งอยู่ก็ยังลังเลว่าคิดดีแล้วหรือ

BIB ชื่อฉัน สิ่งจูงในที่สุดสำหรับฮาล์ฟสนามนี้

ก่อนวิ่งงานนี้ก็ยังนิสัยไม่ดีเหมือนเคย วันเสาร์ก่อนแข่ง เป็นเสาร์วิ่งยาวตามตารางซ้อม เสาร์นี้เหมือนกับเป็นเสาร์เริ่มต้นโปรแกรม ระยะจึงเบาๆเพียงแค่ 15 กม. ทำสำเร็จตามแผนแต่ก็เหนื่อยล้าแข้งขามากทีเดียว แถมคืนวันเสาร์ก่อนหน้าต้องไปงานแต่งงาน และดันเป็นงานเลี้ยงที่เรียกว่าจัดได้สุดจริงๆ แขกที่ไปงานอย่างดิฉันก็เลยสุดไปด้วย วันอาทิตย์หมดฤทธิ์ไปหนึ่งวันอีกตามเคย นิสัยเสียกับการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนแข่งจริงๆ แต่คราวนี้ไม่แย่เท่าไหร่ ใช้เวลาวันอาทิตย์ 1 วันก็ฟื้นร่างกายกลับมาได้
 
บรรยากาศก่อนการปล่อยตัว ณ เวลาตี5 กว่าๆ

งานนี้ปล่อยตัวเวลา 5.15 น. ถือว่าเป็นเวลาที่ดีสำหรับการวิ่งระยะฮาล์ฟในเมืองนะคะ ไม่สายไปจนนักวิ่งต้องทนร้อนกับแดด และต้องสู้กับการจราจรที่หนาแน่นขึ้นเรื่อยๆบนท้องถนน มาถึงศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์เวลา 4.45 คนเริ่มคึกคักแล้ว แต่เมื่อเช็คอินเข้าสู่การปล่อยตัวกลับพบว่านักวิ่งระยะฮาล์ฟมีไม่เยอะเท่าไหร่ ฟังตามประกาศได้ยินว่าประมาณ 600 กว่าคนเท่านั้น อาจเพราะปีนี้เป็นปีแรกที่งานนี้จัดวิ่งระยะฮาล์ฟ อีกอย่าง ส่วนตัวคิดว่าหลายคนถอดใจเพราะเห็นว่าเป็นการวิ่งวนเส้นทางเดิม 2 รอบ และถ้ายังวิ่งไม่โปร ทำเวลาได้ไม่ดีกับการวิ่งในเมืองขนาดนี้ มันเสี่ยงกับเรื่องจราจรอยู่มากเหมือนกัน

ปล่อยตัวออกวิ่งไปอย่างคึกคัก แต่เพียง 1 กม.แรกก็เกิดปัญหาซะแล้ว ด้วยความที่เลือกใส่กางเกงรัดรูปขาสั้น และยัดมือถือและเจลเอาไว้ในกระเป๋ากางเกงด้านหลัง (ซึ่งทำเป็นปกติกับกางเกงขายาว) แต่..การยัดของจนตุงตูดมันไม่เหมาะกับกางเกงเวอร์ชั่นขาสั้นค่ะ เพราะมันถ่วงมาก วิ่งไปน้องกางเกงก็พยายามไหลลงจะหลุดเอาตลอดเวลา น่ารำคาญใจเป็นอย่างมาก คนวิ่งตามก็คงคิดนางนี่ทำอะไรวิ่งไปดึงไปอยู่ได้ตลกจัง รำคาญใจอยู่พักใหญ่ จนมาถึงจุดให้น้ำแรกที่ 2.5 กม. ตัดสินใจเอาวะ ทนตุงทนถ่วงต่อไปไม่ไหวแล้ว จึงล้วงหยิบเอามือถือออกมาถือวิ่ง และถือไปอย่างนั้นจนครบ 21 โลจ่ะ นี่ถือเป็นบทเรียนของความผิดพลาดมากๆ ต่อไปนี้ถ้าจะเลือกหยิบกางเกงตัวไหนมาใส่วิ่ง คงจะต้องลองซ้อมความสามารถในการถ่วงหน่วงก่อนลงสนามนะนี่

ทางขึ้นสะพานยกระดับข้ามแยกศาลาแดง 'โหด ใช้ ได้'

ยังค่ะ ยังไม่จบเท่านั้น..สวยจะลงสนามวิ่งทั้งที ถ้ามันราบลื่นมันก็ไม่ใช่การวิ่งสไตล์ของสวยนะคะ นอกจากปัญหากางเกงหลุดแล้ว งานนี้ยังต้องต่อสู้กับปัญหาข้าศึกที่บุกมาไว้รู้จักเวร่ำเวลา แต่พร้อมจะตีทัพบุกทะลุให้เจ้าเมืองวอดวายกันเลยทีเดียว นี่ขนาดจัดการทัพแรกไปแล้วก่อนออกจากบ้านนะคะ ในระหว่างที่ต่อสู้กับแรงโน้มถ่วงของกางเกง สมองอีกซีกก็ต้องสู้กับความรู้สึกหน่วงๆแน่นๆที่เกิดขึ้นกับอวัยวะภายในไปพร้อมๆกัน อะไรกันไม่พ้น 5 กิโลแรกอุปสรรคขัดขวางจะเยอะอะไรขนาดนั้น 

ข้อดีของการเป็นนักวิ่งคือการได้เห็นวิวสวยๆที่คนทั่วไปจะไม่ได้สัมผัส

เชื่อไหมคะว่า ตลอดการวิ่ง 5 กิโลแรกนี้ ดิฉันคำนวนเส้นทางหาห้องน้ำตลอดเวลา พอจะผ่านตึกออฟฟิศตัวเอง ก็คิดว่า จะแวะไปขอพี่ยามที่คุ้นเคยเข้าห้องน้ำดีไหม แต่แล้วก็ยอมวิ่งผ่าน พอใกล้จะถึงอัมรินทร์พลาซ่า ก็ลังเลอยู่นานว่าจะวิ่งเข้าแมคโดนัลดีไหมแต่ก็กลัวห้องน้ำปิด อดทนกลั้นใจ ผ่านโรงพยาบาลตำรวจ ก็ยังไม่แน่ใจ ถ้าวิ่งเข้าไปจะหาห้องน้ำเจอไหม สุดท้ายเจอรถสุขาของงานจอดอยู่หน้า ร.ร. เตรียมอุดมศึกษา สถานศึกษาที่เรียนจบมาจึงไม่รอช้าวิ่งขึ้นไปทันที แต่ทุกอย่างก็ไม่ง่ายเช่นนั้นค่ะ เพราะห้องน้ำเต็ม สวยยืนบิดรออีกประมาณ 5 นาทีได้ โธ่...คิดแล้วก็ขำนะคะ เกิดมาชาตินึง ได้มากำจัดข้าศึกบนรถสุขาสาธารณะ แถมยังเป็นรถสุขาที่จอดอยู่หน้าโรงเรียนที่ดิฉันเรียนจบมาอีก 


เรื่องเล่าระหว่างทาง ขอบคุณพี่เสือค่ะ

หลังจากจัดการข้าศึกและกางเกงเสร็จเรียบร้อย ก็รู้สึกได้ถึงความเละเทะของการวิ่งในครั้งนี้ค่ะ เวลาล่วงเลยมากจนพลอยทำให้ตัวเองเฟล และคิดว่า ไม่เอาแล้วดีกว่างานนี้ ปล่อยไหลแล้ว เพราะรู้สึกไม่มีสมาธิ ไม่มีใจกับการวิ่งในวันนี้แล้ว ช่วงกิโลที่ 7 ต้องวิ่งขึ้นสะพานยกระดับข้ามแยกศาลาแดง ช่วงขาขึ้นเลือกที่จะเดิน เพราะต้องการเซฟพละกำลังและป้องกันอาการบาดเจ็บเพราะเพิ่งดีขึ้น และไม่อยากจะเจ็บอีกแล้ว ช่วงบนสะพานตอนนั้นเกิดการถกเถียงกับตัวเองในหัว บอกตัวเองว่า โอเค disfinish งานนี้ดีกว่า ให้วิ่งแบบนี้อีก 1 รอบคงไม่ไหวแล้ว ถนนรถเยอะมาก เหม็น และไม่สนุกเอาเสียเลย ลงสะพานข้ามแยกศาลาแดง เจออีก 1 สะพานคือไทย-เบลเยี่ยม อันนี้ไม่สาหัสเท่าสะพานแรก แต่ก็เลือกเดินเช่นกัน เซฟกล้ามเนื้อต้นขาตัวเองให้มากที่สุด พอหมดสะพาน กลับมาวิ่งอีกครั้ง อีกแค่ 2 โลบอกตัวเองว่านิดเดียว วิ่งไป เจอป้ายบอกระยะทางว่าอีก 1กม. รู้ว่ารอบแรกกำลังจะจบลง และเหลืออีก 1 รอบ เอาอย่างไรดี

ได้รูปถ่ายมุมนี้มาครั้งแรก แลต้นขาทรงพลังดีนะคะ

ตอนนั้นไม่รู้พลังมาจากไหน พอผ่านกลับมาที่หน้าศูนย์สิริกิติ์เพื่อวิ่งรอบที่สอง พลังมาล้นเหลือมาก เครื่องฟิตแล้ว รู้สึกตัวเลยว่าวิ่งได้ดีมาก อาจเป็นเพราะว่ารู้แล้วว่าเส้นทางข้างหน้าเป็นอย่างไร แอบยิ้มมุมปากกระหยิ่มยิ้มย่อง ให้กลุ่มนักวิ่ง 10 โล พวกเธอยังไม่รู้สินะจะเจออะไร ฉันเจอมาแล้วเฟ้ย แม้จะเป็นรอบสองแต่ก็แตกต่างจากรอบแรกโดยสิ้นเชิงค่ะ ปริมาณการจราตรหนาแน่นขึ้นมาก ถนนสุขุมวิท จากอโศกมุ่งหน้านานา รถหนาแน่นมาก รถติดมากเพราะกั้นรถงานวิ่งนี่แหละ ต้องวิ่งลุยบนถนนฝ่าดงรถไปนั่นแหละ เพียงแต่ครั้งนี้ ฉันวิ่งได้พริ้วกว่าเดิมมาก

บีบเจลเข้าปากในกิโลที่ 13 (มั๊ง) ช่วงหน้าธ.กรุงไทยสำนักงานใหญ่ 6 กิโลสุดท้าย ตั้งแต่ช่วงกิโลที่ 15 เป็นต้นไปรู้สึกว่าเป็นช่วงที่วิ่งได้สนุกมาก ไม่เหนื่อย ไม่งอแงแล้ว พร้อมจะวิ่งให้เข้าเส้นชัยโดยเร็วที่สุด มีเสียจังหวะบ้างช่วงข้ามแยกเพราะโดนกั้นไว้ให้รถไปก่อน เจอแบบนี้ถึง 3 แยกด้วยกันตอนที่กำลังวิ่งสนุกมันก็มีเซ็งนะคะ 

อีกหนึ่งฮาล์ฟ ที่ฉันพอใจ

สุดท้ายจบลงด้วยการชนะใจตัวเอง และถึงกับตกใจกับสถิติฮาล์ฟมาราธอนที่ดีที่สุดของตัวเอง 2.11 ชม. (อาจจะไม่ดีที่สุดเพราะงานนี้ไม่ถึง 21 กม. แต่เอาเถอะ อิอิ) ลำดับที่ 13 ของกลุ่มอายุ (เดี๋ยวนี้นางหลุด 1ใน 5 แล้วค่ะ มันเป็นอดีตไปหมดแล้ว) จากทั้งหมด 30 คน และ ลำดับที่ 143 ของนักวิ่งระยะฮาล์ฟทั้งหมด เป็นการทำเวลาได้ดี แม้เมื่อเทียบกับคนอื่นจะยังไม่ดีที่สุด และคงยังไม่ใช่เวลาที่ดีที่สุดที่ฉันจะทำได้หากตั้งใจกว่านี้ แต่ก็พอทำให้ตัวเองประหลาดใจได้..ถ้ากางเกงไม่หลุด ถ้าข้าศึกไม่บุก ถ้าไม่คิดถอดใจในตอนแรก อาจจะดีกว่านี้ หรืออาจจะไม่ดีเท่านี้ก็เป็นได้ หรือที่มันจบด้วยดี เพระาตั้งใจว่างานนี้จะ 'วิ่งเพื่อแม่' แม้แม่จะได้ได้ขอเลยจ้า


ไม่ได้ถ้วย ไม่มีรางวัล แต่ได้ต้นมะลิกลับไปฝากแม่นะจ๊ะ

งานนี้เป็นอีกหนึ่งงานวิ่งในเมืองที่มีมุมให้ประทับใจกับเส้นทางอยู่นิดหน่อย เพราะเป็นทางที่ใช้ชีวิตประจำวันอยู่ ได้วิ่งผ่านออฟฟิศตัวเอง วิ่งผ่านห้างที่เดินประจำ วิ่งผ่านโรงเรียนสมัยมัธยม วิ่งผ่านมหาวิทยาลัยที่เพิ่งเรียนจบป.โทมา เรียกว่าเป็นเส้นทางแห่งชีวิตฉันเลยก็ว่าได้ แต่.. แม้จะมีฉากหลังให้ซึ้งยังไงก็ยังไม่ทำให้ประทับใจกับการวิ่งในเมือง ส่วนตัวมองว่า การวางแผนเส้นทางวิ่งครั้งนี้ดี แต่ยังไม่สุด จริงๆแล้วไม่จำเป็นต้องให้วิ่งขึ้นสะพานถึง 2 สะพานด้วยกัน เพราะช่วงที่จะลงสะพานไทย-เบลเยี่ยม แล้วต้องเบี่ยงเข้าวิ่งทางซ้ายตรงช่วงบ่อนไก่นั้น ทำให้ต้องคอยกั้นรถเพื่อให้นักวิ่งลงจากสะพานมาแล้วเบี่ยงได้ ผลคือ รถติดมาก และต้องคอยปล่อยรถสลับกับให้นักวิ่งหยุดรอ กลับกันถ้าให้วิ่งข้างล่างแต่แรก ก็จะไม่ต้องคอยกั้นรถเพื่อให้นักวิ่งที่จะลงจากสะพาน แต่จะเสียเลนซ้ายเพื่อให้นักวิ่งวิ่งเท่านั้น ก็ไม่เข้าใจ คนวางเส้นทางคิดอะไรอยู่


สรุปท้ายสุด จบไปอีก 1 ฮาล์ฟมาราธอน เป็นฮาล์ฟสนามที่ 7 แล้วและยังคงมีรายการฮาล์ฟอื่นๆตามมาอยู่ ส่วนตัวหลงรักการวิ่งระยะนี้ไปซะแล้ว คิดว่าเป็นระยะวิ่งที่กำลังพอดี ไม่น้อยเกินไป และไม่มากจนต้องพยายาม อีกเหตุผลที่รักการวิ่งระยะนี้ก็คงเพราะดิฉันเป็นคนเครื่องสตาร์ทติดยาก รู้ตัวเลยว่าไม่เหมาะกับการวิ่งระยะมินิ เพราะพลังจะมาในช่วงกิโลที่ 7 ซึ่งช้าเกินไปกับการทำเวลาวิ่งมินิให้ดี และร่างกายจะอยู่ตัวพร้อมลุยสุดๆในกิโลที่ 15 เป็นต้นไป ดังนั้น ฮาล์ฟนี่แหละ ที่เหมาะที่สุดสำหรับฉัน

Wednesday, August 7, 2013

[Race Diary] Bangkok Post 10 km Int’l Run 2013 04.08.13



หลังจากไม่ได้ลงวิ่งสนามในเมืองกรุงมาเกือบ 2 เดือน ตัดสินใจไม่ยากกับการลงวิ่งงานนี้ค่ะ อาจเนื่องด้วยเคยได้ทราบข่าวคราวงานวิ่งนี้มาตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ครั้งนั้นยังไมได้พาตัวเองเข้าสู่โลกของการวิ่ง เลยพลาดงานปีที่แล้วไป และได้ตั้งใจไว้ว่า ปีนี้จะต้องร่วมวิ่งงานบางกอกโพสต์ให้ได้ เพราะอะไรทำไมถึงรู้สึกว่าต้องวิ่งงานนี้ ไม่มีเหตุผลอะไรมากเลยค่ะ อาจเพราะเป็นคนที่ทำงานในสายสื่อสาร มันก็เลยรู้สึกเหมือนงานวิ่งนี้จัดโดยพี่โดยน้องร่วมสายอาชีพ ฉันเลยอยากมีส่วนร่วมประมาณนั้น


งานวิ่งบางกอกโพสต์ปีนี้จุดปล่อยตัว และจุดสิ้นสุดการแข่งขันอยู่ที่เซ็นทรัลเวิลด์ ไอตอนแรกเราก็นึกว่าก็คงคล้ายกับงานวิ่งบิ๊กซี ที่มีซุ้มตั้งอยู่กลางถนน แต่ที่ไหนได้ ดันไปตั้งอยู่บริเวณหน้าห้าง ซึ่งก็ถือเป็นข้อดีอย่างหนึ่งนะคะ เพราะไม่ต้องกังวลเรื่องปัญหาการจราจร และความวุ่นวายที่อาจเกิดขึ้นเมื่อนักวิ่งเข้าเส้นชัยแล้ว ทุกคนสามารถเอ็นจอย พักผ่อน พบปะพูดคุยได้เต็มที่โดยไม่ต้องมัวพะวงรถราที่แล่นไปมาบนท้องถนน

ด้วยความซ่าของดิฉัน ที่อยู่ดีๆไม่รู้นึกคึกอะไรอยากจะมีคืนศุกร์หรรษาหลังจากห่างหายวงการสาวซ่าไปนาน เลยจัดเต็มไปมาก จนทำให้วันเสาร์นางนอนตายอยู่บ้านไข้ขึ้น กินไม่ได้ ลุกไม่ได้ไปหนึ่งวันเต็มๆ กระทั่งวินาทีสุดท้ายก่อนเข้านอนยังตัดสินใจไม่ได้ว่า จะตื่นไปวิ่งไหวไหม เพราะสภาพวันนั้นบอกได้เลยว่า “ไม่ไหวจ้า”

ก่อนการปล่อยตัว จะเห็นมหาชนอยู่ลิปๆ

นาฬิกาปลุกตี 4 ตื่นมาคุยกับตัวเองว่า “ไหวไหมน่ะเรา” ได้ยินนางตอบว่า “ไหวสิจ๊ะ รุ่นนี้แล้ว” เลยจัดการอาบน้ำแต่งตัว มุ่งหน้าสู่สถานที่จัดงาน ไปถึงที่งานเวลางาม เกือบๆตี 5 ปล่อยตัว 5.30 แต่คนก็คึกคักมากแล้ว วิ่งวอร์มนิดหน่อยพอให้ตัวเองคึกคัก แต่ก็ยืดน้อยมากเพราะมัวแต่เม้าท์ตามประสา และเมื่อใกล้ถึงเวลาปล่อยตัวก็เพิ่งรู้ว่าจึดที่เรายืนอยู่นั้นด้านฝั่ง zen นั้นมันผิดทิศ เพราะจะต้องปล่อยตัวจากประตูฝั่งอิเซตันมุ่งหน้าไปยังถนนราชดำริ แต่กว่าจะรู้ตัวก็เกือบพาตัวเองเข้าจุดปล่อยตัวไม่ทัน เลยกลายเป็นอยู่ซะเกือบหางแถว กว่าจะพาตัวเองถึงคิววิ่งผ่านซุ้มก็ 2 นาทีกว่าๆหลังเสียงสัญญาณปล่อยตัว


งานนี้คนเยอะมาก วิ่งเกาะกลุ่มกับฝูงชนอย่างหนาแน่นตลอดเส้นทางเลยทีเดียว เป็นงานที่รู้สึกว่าเตรียมตัวมาไม่พร้อมเพราเพิ่งสร่างไข้ แต่กลับรู้สึกว่าตัวเองวิ่งได้ดีมากกว่าที่คิดเอาไว้ 5 กม.แรกวิ่งชิวมาก รักษาจังหวะได้ดี และเร่งขึ้นได้เรื่อยๆ จนมาถึงช่วง รร.ปาร์คนายเลิศที่เริ่มมีความรู้สึกว่าเหนื่อยขึ้นมาในหัว แต่ก็ยังคิดว่า เอาน่ะ ยังไหว วิ่งเข้าถนนเพชรบุรี มาจนเกือบถึงแยกแพลตตินั่ม ตอนนั้นเร่งจังหวะขึ้นมาเต็มที่เพราะดันจำแผนที่ผิดคิดว่าจะถึงแล้ว เลี้ยวซ้ายแยกนี้แน่ๆ แต่แล้วก็กรี๊ดในใจ เอ้ย..ไม่ใช่นี่หว่า หนทางยังอีกไกล เลยเสียจังหวะผ่อนลงมานิดนึงเลยทำให้เหนื่อยมาก


จะมีสักกี่ครั้งที่คุณได้นั่งเหยีนดขาหน้าห้าง
ถ้าไม่ได้ลุกขึ้นมาทำเรื่องที่ใครๆมองว่าบ้าแต่เช้าตรู่

และดิฉันก็เบ๊อะอีกครั้งกับการจำเส้นทางผิด เพราะคิดว่าจะเลี้ยวซ้ายที่แยกราชเทวี พอใกล้ถึงแยกนั้นก็จินตนาการสะพานหัวช้างไว้ และพยายามเร่งอีกครั้งเพราะคิดว่าเส้นทางกำลังจะจบ แต่เดี๋ยวก่อน...ในแผนที่ที่ท่องมามันมีคำว่า บรรทัดทองนี่คะ กรี๊ดดด นางจำผิดอีกแล้ว อุตส่าห์เร่งมาแล้ว ต้องออมแรงสินะจึงเบรคเอี๊ยดติดสัญญาณไฟแดง สบถออกมาเบาๆแต่คนข้างๆก็ได้ยิน 

หลังจากต้องหยุดกับไฟแดงนั้น จนมาถึงช่วง กม.ที่ 7-8 ก็รู้สึกว่ากำลังที่มีมันอ่อนไปไหนก็ไม่รู้ เริ่มมีอาการเจ็บที่หัวเขา รู้สึกว่าตัวร้อนมาก เหงื่อออกเยอะผิดปกติ และปวดหัวมาก จำได้ว่าเคยอ่านอาจารย์ท่านหนึ่งสอนไว้ว่า ถ้าวิ่งแล้วรู้สึกปวดหัวให้หยุดพัก ตอนนั้นปวดมากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มรู้สึกแล้วว่ากำลังจะเป็นลม กำลังจะวูบ และถ้าเป็นลมแล้วจะเป็นภาระคนอื่น หรือหากล้มตึงไปกับพื้นมันจะไม่งาม (บอกแล้วค่ะ ว่าเป็นพีอาร์ต้องรักษาภาพ) จึงตัดสินใจบอกตัวเองว่า พัก และเดิน ไม่มีใครว่า รักษาตัวเองไว้ก่อน พร้อมหันไปบอกให้คนข้างๆล่วงหน้าไปก่อนเลยค่ะ

บรรยากาศงาน คึกคักนะคะ

เดิน สลับวิ่งเบาๆมาจนถึงโลตัสพระราม 1 รู้สึกดีขึ้น และลูกฮึดก็บอกตัวเองว่า “สู้เว้ย จะมางอแงยอมแพ้อะไรวะเธอ” จบความคิดนี้ในหัว ฉันก็ใส่เกียร์หมาวิ่งเริงร่าตลอดเส้นทาง ผ่านสนามศุภฯ ผ่านพารากอน ใกล้แล้วๆ มีสถานีน้ำหน้าพารากอนก็หันไปเชิ่ดใส่ ฉันไม่กินหรอกย่ะ ฉันจะเร่งเข้าเส้นชัยแล้ว แต่..ดิฉันลืมค่ะ ว่าเมื่อมีพารากอน จะต้องต่อด้วยวัดปทุมฯ เมื่อเห็นกำแพงวัดปทุมฯก็ถึงกับกรีดร้อง แต่ก็แข็งใจวิ่งเร่งแซงหนุ่มๆไปเรื่อยจนมาถึงโค้งสุดท้ายแยกพระพรหม เอายาดมที่กำอยู่ในมือจอเข้าที่จมูกสูดหายใจเข้าให้เต็มปอด สู้โว๊ย..วิ่งหัวฟูเข้าเส้นชัยที่ 1.07 นาที กับลำดับที่ 17 ของรุ่น (ชีวิตนักวิ่งคว้าถ้วยมันเป็นอดีตไปหมดแล้วค่ะ)


สนามนี้เป็นสนามมินิมาราธอนในรอบหลายเดือน ปกติจะไม่ชอบลงสนามมินิ เพราะไม่สันทัดการวิ่งระยะสั้นและต้องทำเวลาดีให้ได้ รู้สึกว่ามันกดดันมาก แต่การวิ่งครั้งนี้ก็ทำให้รู้ว่า ฉันวิ่งได้เร็วขึ้นมาก ถ้าฟิตซ้อมดีๆ การวิ่ง 10 กม.ให้ต่ำกว่า 60 นาที (ให้ได้อีกครั้ง) ไม่ใช่เรื่องยากเลย pace วิ่งที่เร็วที่สุดอยู่ที่ 4.4 ในช่วง กม.ที่ 7 และสามารถวิ่งประครอบตัวเองให้อยู่ใน pace 5-6 ได้เกือบตลอดเส้นทาง ถ้า..ไม่ถอดใจเดินซะก่อน และสนามนี้ก็ทำให้ค้นพบอีกเรื่องน่ายินดี ก็คืออาการบาดเจ็บที่บริเวณเข่าซ้ายที่มากังวลใจกว่า 7 สัปดาห์ดีขึ้นมาก เรียกว่าแทบจะไม่มีอาการเจ็บแล้ว ฉันกลับมาแล้ว :)

 
โพสต์ท่าเดิมทุกงานเลยแฮะ นอกจากซ้อมวิ่งต้องไปซ้อมท่าโพสต์ใหม่นะคะ

สรุปส่งท้าย งานนี้จัดได้ดีค่ะ สถานที่จัดงานไม่แออัด น้ำท่าไม่ขาด มีเกลือแร่ให้แม้จะเป็นระยะแค่ 10 กม. แม้จะมีปัญหาการจราจรบ้างในเส้นทางวิ่ง แต่ก็ดูจะกลายเป็นปัญหาที่ผู้จัดงานไหนๆก็เลี่ยงไม่ได้ เส้นทางวิ่งผ่านถนนเพชรบุรียังคงไม่ประทับใจเหมือนเคย เหม็นขยะ รถเยอะ สามารถวิ่งได้เลนส์เดียวแคบๆ ถ้าเป็นไปได้ ก็อยากให้ผู้จัดงานลองหาเส้นทางอื่นๆบ้าง ไม่ต้องใจกลางเมืองที่หลีกเลี่ยงการจราจรยากขนาดนี้

งานวิ่งครั้งนี้ยังเป็นบทพิสูจน์ที่ชัดเจนมากว่า กระแสการวิ่งในไทย บูมขึ้นอย่างจริงจังมาก บัตรวิ่งขายหมดเกลี้ยง จำนวนนักวิ่งก็เยอะขึ้นผิดหูผิดตาจริงๆ ส่วนตัวมองว่า เป็นนิมิตรหมายที่ดีนะคะ คงจะมีสักวัน ที่งานวิ่งในไทยมีโอกาสได้จัดแบบยิ่งใหญ่เหมือนระดับสากลบ้าง ถ้าคนเริ่มหันมาสนใจวิ่งกันมาขึ้นแบบนี้

เอนนี่เวย์..ฝากทิ้งท้ายเตือกสติตัวเองเอาไว้สักนิด อยู่ดีๆก็มานั่งคิดระลึกทบทวนตัวเองได้ว่า พักหลังมานี้ ทุกครั้งที่ไปลงสนามวิ่ง ฉันจะมีข้ออ้างต่างๆนานา มีเหตุผลล้านแปดว่าทำไมฉันทำไมได้ไม่ดี ประสิทธิภาพไม่เต็มร้อย เจ็บบ้างล่ะ ป่วยบ้างล่ะ ซึ่งไปๆมาๆ มันกลายเป็นเสียนิสัยไปแล้วว่า ก็ฉันทำไมไม่ดี เพราะฉันไม่เต็ม 100 นี่จ๊ะ ดังนั้น จากนี้ ไม่เอาแล้วนะคะนางขา ทุกสนาม จะต้องเต็ม 100 เลิกมีข้ออ้างออดอ้อนยอมให้ตัวเองวิ่งตามมีตามเกิด โอเคนะคะ ฉันจะต้องเป็นเด็กดี :)