Thursday, February 23, 2017

[Foot Fit Journey] เรื่องเล่าจาก Everest Base Camp Trekking: Day 7 Dingboche - Lobuche

วันที่ขึ้นมาถึงระดับ 5,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล”

[23 ธันวาคม 2559] Dingboche (4,358m) – Lobuche (5,000m)


สภาพทางเดินตลอดทริปวันนี้

เมื่อคืนปวดหัวมาก และยอมรับว่ากลัวมาก กลัวว่าจะไปต่อไม่ได้ กลัวว่าอาการแย่ลง กลัวว่าเราจะทำอย่างไรถ้าอาการหนักขึ้นจริง พยายามทำตัวให้อุ่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใส่เสื่อดาวน์สองชั้น รวมๆแล้วใส่เสื้อผ้านอนทั้งหมด 5 ชั้น และใช้ผ้าห่มหนาๆอีกสองพื้นทับ แทบขยับตัวไม่ได้เลยทีเดียว กิน Diamox ครึ่งเม็ดและกินไทลินนอล 8 ชม. 2 เม็ด บอกตัวเองว่า ต้องหลับ ต้องหลับ แล้วก็หลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีคือรุ่งเช้าแล้ว จำใจต้องลุกเพราะปวดฉี่มาก


ทางเดินวันนี้เคว้งคว้างมาก

เวลาที่คนเราป่วยเรามักจะคิดถึงบ้าน เมื่อคืนเป็นวันที่คิดถึงบ้านและอยากกลับบ้านมากที่สุด เราไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว ได้ตอนนอนสวดมนต์ขอแม่พระว่าอย่าให้เราเป็นอะไรที่แย่ไปกว่านี้เลย อย่างน้อยก็ขอให้ได้ไปจนถึง base camp ตามที่ตั้งใจ แล้วจะไปต่อหรือไม่นั่นก็ขอให้มันเป็นโบนัสละกัน




ตื่นปุ๊บรีบสำรวจตัวเองปั๊บ ไม่มีอาการปวดหัวแล้ว ดีใจมาก วันนี้เลยตั้งใจจะแก้ตัวให้เดินช้าลง และกินน้ำให้เยอะขึ้น เช้ามาก็เจอแจ๊คพอตเลย ห้องน้ำในตึกห้องพักน้ำหมด ไม่มีน้ำใช้เลยเข้าส้วมไม่ได้ ต้องลงมาเข้าห้องข้างล่างที่อยู่ด้านนอก หลังจากกินอาหารเช้า พยายามจะต้องเข้าห้องน้ำให้สำเร็จก่อนออกเดินทาง จำใจเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านนอกกลางแจ้งที่เป็นส้วมรวมสำหรับทุกกกกคน สูดหายใจ กลั้นหายใจ เอาผ้าบัฟปิดก็แล้ว แต่สุดท้ายเกือบเอาชีวิตไม่รอด เดินเข้าไปแล้วอ้วกแทบพุ่งเลยทีเดียว ไม่มีอารมณ์นั่งบิ๋วให้ภารกิจสำเร็จ สรุป .. เช้านั้นเลยไม่ได้ระบายของเก่าออกเลย




วันนี้เดินพะอืดพะอมตั้งแต่เช้าเพราอะไรไม่รู้ อาจเป็นเพราะอาหารเช้าหรือร่างกายยังไม่โอเคดี หรือร่างกายเริ่มต้นเข้าสู่โหมดไม่โอเคกับความสูงแล้วก็เป็นได่ อากาศระหว่างทางเดินวันนี้เย็นขึ้นมาก จากปกติที่ใส่เสื้อฟลีซแขนยาวตัวเดียวเดิน วันนี้มาครบทั้งดาวน์ outer shield หมวก และถุงมือ ใส่จนถึงบ่ายแล้วค่อยถอดเอาดาวน์ออก เดินกันตัวกลมเลยทีเดียว

แต่งตัวจัดเต็มสุด

วันนี้เปิดประสบการณ์ครั้งแรกหลายอย่าง อย่างแรกคือ “อ้วกแตกกลางทาง” หลังจากพะอีดพะอมมาตั้งแต่เช้า พอมื้อเที่ยงกินมาม่าเกาหลีลงไปเท่านั้นแหละ สงสัยมันจะเก่าเก็บเกินไป กินแล้วไปเดินขึ้นยาวๆทรมานเป็นที่สุด ทนพิษบาดแผลไม่ไหว อ้วกพุ่งซะจนไกด์กับลูกหาบตกใจ พออ้วกออกเท่านั้นแหละ ร่าเริงขึ้นเป็นคนละคน รู้งี้อ้วกตั้งนานละ


โคเรียน ราเมนทำพิษ


อย่างที่สองคือ การใช้ส้วมธรรมชาติ ด้วยความที่กลัวจะแย่เพราะ AMS อีกเลยกินน้ำถี่มาก ผลคือได้รับประสบการณ์การต้องถอดกางเกงนั่งลงฉี่ท่ามกลางขุนเขา มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดีนะ พอเราเดินขึ้นเขาสูงไปเรื่อยๆ หมู่บ้านตามทางมักจะอยู่ห่างออกไปน้ำก็ต้องกินเพื่อลดอาการแพ้ความสูง กินน้ำเยอะก็ต้องปวดฉี่เป็นปกติ ไม่ไหวก็ต้องหาโขดหินที่พอบังสายตาได้ แล้วก็รอจังหวะที่ไม่มีคนเดินตามมา บอกให้ไกด์และลูกหาบเดินล่วงหน้าไปก่อน พอมีครั้งแรกแล้ว จะบอกว่าครั้งต่อๆมานี่ไม่มีความเขินเลยนะ กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ะโกนบอกไกด์แล้วผลุบหายเข้าโขดหินไปเป็นอันเข้าใจตรงกัน


ทางเดินบางช่วงเป็นน้ำแข็ง

ระหว่างทางเดินวันนี้ ในหัวไม่คิดอะไรเลย นอกจากเดินแล้วท่องบทสวดมนต์อยู่ในใจ เราเดินสวดบทวันทามารีอาตลอดทาง (เราเป็นคาทอลิคค่ะ) สวดวนไปมา เส้นทางเดินวันนี้เคว้งคว้างกว่าเดิม ตลอดทางแทบไม่เจอคน เจอแต่ Yak เยอะแยะมากมาย มันเป็นสัตว์ที่น่ารักดีนะ 







เรากำลังมุ่งหน้าไปสู่ความสูงระดับ 5,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สิ่งต่างๆรอบตัวเริ่มเปลี่ยนไป ที่สังเกตเห็นได้ชัดคือ ไม่มีต้นไม่สูงแล้ว จะเป็นแค่พุ่มไม้เตี้ยๆและแห้งแล้งมาก จริงๆตั้งแต่จาก Pangboche ขึ้นมาต้นไม้ก็เร่มเตียลงเรือยๆแล้วล่ะ และทางเดินก็เป็นดินทรายจริงๆ มบางทีที่คิดว่านี่กูเดินอยู่ดาวอังคารหรือเปล่า เหมือนฉากหนังเรื่อง Martian ยังไงยังงั้น คนก็ไม่มี รอบตัวก็แห้งแล้งเหลือเกิน วังเวงพิลึก

สภาพความแห้งแล้ง

รูปถ่ายคือตัวแทนความคิดถึงที่ดีที่สุด ..

ช่วงบ่ายระหว่างนั่งอยู่ในห้องพักและไม่มีอะไรทำ และเหมือนเคย ไกด์สั่งว่าห้ามนอน เลยเปิดมือถือนั่งดูรูปไปเรื่อยๆ หลายๆรูปทำให้เราคิดถึงคนในภาพ อยู่ดีๆน้ำตาก็ไหลออกมา ไม่รู้ว่าความคิดถึงจะเดินทางไปถึงไหม แต่มีเรื่องมากมายอยากเล่าให้ฟัง อยากได้กอดแน่นๆและบอกกับเราว่า “ไม่เป็นไร เธอทำได้อยู่แล้ว”


บางคนก็เลือกเดินทางคนเดียว

ที่พักคืนนี้คึกคักมาก

พรุ่งนี้จะเป็นวัน Christmas Eve แล้ว และเราจะไปถึง base camp แล้ว เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกนะ เรารู้สึกเหงามาก เป็นคริสมาสต์ปีที่เรารู้สึกอยู่ไกกับครอบครัว ไกลจากคนที่เรารักมากที่สุด แต่อีกความรู้สึกหนึ่งคือ สิ่งที่เราฝันและตั้งใจ มันใกล้จะสำเร็จแล้ว




Saturday, February 18, 2017

[Foot Fit Journey] เรื่องเล่าจาก Everest Base Camp Trekking: Day 6 Pangboche - Dingboche

 “ครั้งแรกกับการเจอโรคแพ้ความสูงเล่นงาน”

[22 ธันวาคม 2559] Pangboche (3,985m) – Dingboche (4,358m)


ระหว่างเส้นทางเดินวันนี้

ตื่นมาเช้านี้ด้วยอาการอึนๆ เบื่อๆ นี่เราเดินทางมาแค่ 6 วันเองนะ แต่ทำไมกลับมีความรู้สึกเบื่อแล้ว อาจเพราะระหว่างทางมันไม่มีอะไรนอกจากภูเขา อ้าว.. ก็มานี่เพราะชอบภูเขาไม่ใช่เรอะ มันก็ใช่ แต่บางทีมันก็เยอะไปไง ตลอดทางมันไม่มีอะไรเลยนอกจากภูเขาที่โผล่มาทักทาย แล้วก็มีแม่น้ำที่โผล่มาทำให้ร้องว้าวบ้างในบางที นอกนั้นก็มีแต่ฝุ่น ควัน หิน ความร้อน เอาจริงๆ สำหรับใครที่ไม่ได้อยากเดินทางไกล แต่อยากเห็นแค่เอเวอร์เรสต์ มาแค่นัมเชก็พอ


สองบอดี้การ์ด

เดินกับแบบเหงาๆ แค่เราสามคน

เช้านี้ที่ Pangboche หนาวมาก หนาวกว่าทุกเช้าที่ผ่านมา หนาวจนเราไม่ยอมถอดเสื้อดาวน์ออกซักที หนาวจนเดินออกไปถ่ายรูปได้แค่แปบเดียวก็ต้องกลับเข้ามา หรือการสระผมเมื่อวานของเรามันจะเป็นจุดเปลี่ยนทำให้เราป่วย?


วิวและสภาพทางเดินสำหรับวันนี้




เมื่อเกิดอาการงอแง จึงอยากกินของที่คุ้นเคย เช้านี้เลยขอน้ำร้อนมาเพื่อชงกับโอวัลติน swiss 3-in-1 เพราะเชื่อว่า hot chocolate จะเยียวยาทุกสิ่ง


กับลูกหาบคู่ใจ

ออกเดินทางตอน 9 โมงเช้ามาถึง Dingboche เที่ยงตรงพอดี อย่างที่บอกว่า การเพิ่มระยะการเดินเมื่อวาน ทำให้วันนี้ของเราเป็นวันง่ายๆ ซึ่งจริงๆแล้วจะมาถึงเร็วกว่านี้ก็ได้ แต่ด้วยความที่รู้ว่าถ้าเข้าที่พักเร็ว ก็จะยิ่งไม่มีอะไรทำ พวกเราเลยเดินกันเอ้อระเหยมาก เดินสปีดเดียวกับ Yak ระหว่างทางอากาศเริ่มเย็นขี้นจนรู้สึกว่ามันแตกต่างกับวันอื่นๆที่ผ่านมามาก มีแดดตลอดแต่ไม่ร้อน เป็นลมเย็นๆพัดมาให้เดินสบาย วันนี้ด้วยการเดินสปีด Yak เราเลยเลือกพักกันที่ Yak Hotel




วันนี้ตอนเริ่มเดินมีอาการมึนหัวและมวนท้องแปลกๆ เลยพยายามเดินช้ามากๆ ตอนมาถึง Dingboche ได้สักพักก็มีอาการมึนหัวหน่อยๆ จึงพยายามเริ่มทำอะไรช้าๆ รู้สึกว่าง่วงมากๆ อยากจะหลับเสียให้ได้ แต่ไกด์บอกว่าห้ามนอนนะ จะไปซักผ้าไหม นี่ไกด์กับลูกหาบก็ออกไปซักผ้ากันสนุกสนาน ส่วนเราก็นั่งอ่านหนังสือไป แต่สติไม่อยู่กับตัวละเพราะง่วง




เครื่องดื่มที่เราชอบมากที่สุดตลอดการเดินทางทริปนี้คือ Ginger tea ชาขิงของที่นี่เด็ดตรงที่เป็นการหั่นขิงสดลงไปแช่ในน้ำชา ดื่มแล้วสดชื่นหายเหนื่อยดี

โมโมผัก
Dingboche 

พลังงานแงอาทิตย์

นั่งอยู่ในห้องอาหารสักพักเริ่มเบื่อ ออกไปเดินเล่นได้สักพักก็หนาวเลยกลับเข้าไปในห้องตัวเอง เข้าไปนั่งนิ่งๆนั่นแหละเพราะไม่มีแรงอยากทำอะไร แล้วอยู่ดีๆ ก็หลับไปในท่านั่งเท้าข้าง สะดุ้งตื่นมาเพราะจำได้ว่าไกด์บอกว่าห้ามหลับนะ เลยเดินกลับมาที่ห้องอาหารอีกครั้ง




สภาพห้องพัก

[18.41 น.]

ปวดหัวมาก ปวดตุบๆแบบหัวจะระเบิด ไกด์เห็นนั่งซึมๆเลยมาถามว่าเป็นยังไงบ้าง พอเราบอกไปว่าเราปวดหัวมาก เท่านั้นแหละ ไกด์หน้าถอดสีเลย แล้วรีบถามต่อว่า “ยูปวดตรงไหน?” เราตอบไปว่า “ปวดตรงท้ายทอยด้านหลังหัวไกด์บอกว่าโอเค ถ้าปวดตรงนี้ก็น่ากังวลแล้ว ยูพยายามกินข้าว แล้วกิน Diamox เพิ่มตอนเย็นอีกครึ่งเม็ดแล้วไปนอน แล้วเรามาดูอาการกันอีกทีเช้าวันพรุ่งนี้ ถ้าไม่หายเราก็ต้องพักกันที่นี่อีกวันหนึ่ง

Noodle veg soup รสขาติแย่มาก


สำหรับหลายคน Dingboche จะเป็นจุดพัก Acclimatization อีกจุดหนึ่งหลังจากนัมเช เพราะจากตรงนี้ขึ้นไป จะเป็นระดับความสูงที่เริ่มมีผลกับร่างกายแล้ว ถ้าใครมีวันพักทีนี่ ก็จะไปเดิน hike ขึ้นเขาใกล้ๆนี่แหละ ใช้เวลาเดินประมาณ 2 ชม. แต่เราที่ไม่มีวันพอสำหรับการพัก เราจึงต้องสังเกตตัวเองมากกว่าคนอื่น ก็ได้แต่หวังว่าตื่นมาพรุ่งนี้เช้าอาการปวดหัวจะหายไป


แสงสุดท้ายของวันที่ Dingboche

อาการเรายังไม่หนักมาก ดูได้จากยังสามารถกินอาหารได้อยู่ มีหนุ่มช่างภาพชาวเนปาลีก็มีอาการและดูแย่มากกว่าเรา ในห้องอาหารคึกตักมากเพราะมี 2 กลุ่มใหญ่มาพักด้วย เล่นเกมกันสนุกสนาน เราก็ได้แต่องและนั่งหัวเราะ ไม่มีแรงจะไปเล่นด้วยจริงๆ

พาตัวเองเข้านอน ทั้งที่ใจกังวลมาก อาการปวดหัวมันทรมานมากจริงๆจนยากจะข่มตาหลับ อากาศก็หนาวมาก Diamox ก็กินแล้วปวดฉี่มาก 

อยากให้คืนนี้ผ่านไปเร็วๆเหลือเกิน

[Foot Fit Journey] เรื่องเล่าจาก Everest Base Camp Trekking: Day 5 Namche – Pangboche

[21 ธันวาคม 2559] Namche Bazaar (3,440m) – Pangboche (3,985m)




สรุปแล้วเมื่อวานที่ปวดท้องตลอดทางเดินไป Hotel Everest View นั้นคือท้องเสีย แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าองเสียเพราะอะไร กินยาแก้ท้องเสียเพราะการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่และปล่อยให้ถ่ายไปจนกว่าจะหายเองคงทำไม่ได้ กินยาแล้วแต่ยังนอนปวดท้องไปทั้งคืน คืนที่ผ่านมาเลยนอนหลับไม่สนิท


พ่อบอกว่าถ่ายรูปคู่กับลามาให้ดูหน่อย


ตามแผนวันนี้ เราต้องเดินไปที่ Thyangboche (บางคนเรียก Tengboche) แต่ไกด์เห็นว่าเราเดินได้อึดดี ทำเวลาได้ดีในทุกวัน จนไกด์พูดว่า “You are a strong woman from Thailand” ฟังดูมีความอึดถึกยังไงไม่รู้ แต่จะถือว่ามันเป็นคำชมก็แล้วกัน วันนี้เราเลยจะเดินไกลกว่าที่ตั้งใจกันไว้ โดยจะเดินไปจนถึง Pangboche เลยจุดหมายเดิมไปอีกประมาณ 1 ชม. ซึ่งก็จะทำให้ในวันรุ่งขึ้น เราเดินน้อยลงนั่นเอง


เดินทางราบแบบนี้ไปเรื่อยๆ

วิวระหว่างพักกลางวัน


เริ่นต้นวันบบสบายๆ เป็นทางราบเรียบไปจนถึงจุดพักกินอาหารกลางวัน ไอเราก็สบายใจเย็นใจ ถ้าเป็นแบบนี้ให้เดินเลยไปอีกสักสองสามหมู่บ้านก็สบ๊าย แต่ชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ ทางแม่งเป็นเดินขึ้นเขาตลอด แดดก็ร้อนมาก ร้อนจนระอุจนไกด์เองยังออกอาการว่าไม่ไหว ร้อน พวกเราเริ่มพักตามทางกันถี่ขึ้นมาก ไกด์บอกว่า ปกติตรงนี้มันไม่เคยร้อนขนาดนี้เลยนะ

พักยืดแข้งยืดขา

มักกะโรนีกบัมเขือเทศและกระเทียม

ตลอดทางยังคงเจอคนหน้าเดิมๆ อย่างที่บอกว่าถ้าเร่มต้นการเดินทางพร้อมกับใคร มันก็จะวนให้เจอกันไปมาอยู่อย่างนั้นแหละ แต่วันนี้ หลายคนพักที่ Thyangboche การที่เรามาพักที่ Pangboche เลยเป็นแขกเพียงคนเดียวของโรงแรม และตลอดทางที่เดินมายังหมู่บ้านนี้เงียบมาก ไม่มีคนอื่นนอกจากเราสามคนเลยจริงๆ


วิวตลอดทางวันนี้

คณลุงผู้ดูแลเส้นทาง trekking

ระหว่างทางออกจากนัมเช มีคุณลุงผู้ดูแลเส้นทางเทรคกิ้งตั้งโต๊ะรับบริจาคอยู่ ไกด์เล่าว่าลุงคนนี้ใช้เงินบริจาคนี่แหละ ดูแลเส้นทางเดินให้เดินง่าย จะได้มีเทรคเกอร์เดินทางมาเยอะๆ เราใส่กล่องไป 500 รูปี ไกด์บอกว่า นี่ยูช่วยทำทางเดินไปประมาณ 20 กม.เลยนะ” ฟังแล้วก็น่าชื่นใจ

Thyangboche Monasty



ถึง Thyangboche แวะเข้าวัดที่เป็นสัญลักษณ์ของหู่บ้าน วัดนี้ใหญ่และสวยมากท่านกลางขุนเขา เดินเล่นสักพัก ไกด์บอกให้ไปต่อ ทางเดินจาก Thyangboche ไป Pangboche เงียบสงัดมาก ไกด์บอกว่าไปอีกไม่ไกล ประมาณชั่วโมงนึงไหวใช่ไหว ทางเดินสบายๆ แต่เงียบสงัดเพราะไม่มีใครเดินไปเลย ทุกคนแวะพักหมดแล้ว ยิ่งเดินยิ่งวังเวง และไกด์กับลูกหาบก็ล่วงหน้าไปก่อนไม่รอกันเลย เดินคนเดียวก็แอบมีขนลุกนะ เพราอยู่ดีๆอากาศก็เย็นขึ้นมาซะงั้น





โรงแรมที่พักวันนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่ดีที่สุดของทริป เพราะมีห้องน้ำในตัว แต่..ไกด์ก็จะไม่แนะนำให้อาบน้ำนะ เพราะขึ้นมาบนที่สูงระดับสี่พันแล้ว ร่างกายจะปรับตัวไม่ได้ ควรทำตัวให้อุ่นไว้ ซึ่งสิ่งนี้มารู้ทีหลังหลังจากสระผมเรียบร้อยแล้วไปโม้กับไกด์ว่าสบ๊ายสบาย เลยโดนดุเลย




Skill ใหม่ที่เรียนรู้วันนี้คือ การสระผมแบบไม่ให้ตัวเปียกเพราะไม่มีน้ำร้อน เราเลยตักน้ำราดหัว เอาหัวชะโงกไปตรงชักโครก ราดแล้วสระสบายจริงเชียว เย็นถึงสมองเลยทีเดียว การเดินทางแบบนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้การใช้ชีวิตให้รอดในรูปแบบใหม่ๆทุกวัน ตอนแรกคิดว่าสระผมแบบนี้พีคแล้ว แต่ไม่ใช่เลย ยิ่งนานวัน เรายิ่งได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆเสมอ






ใช้ชีวิตบนภูเขมาห้าวันแล้ว ฟังดูไม่น่าแต่ความรู้สึกคือนานมาก มื้อเย็นวันนี้เลยอยากกินอาหารที่มีรสชาติมากขึ้นเพราะปกติเป็นคนกินรสจัดมาก เอาผงลาบโลโบ้ที่ผงมา มาคลุกกินกับ Dhal bat อื้อหืออออออ ผงลาบโลโบ้จะเยียยาทุกสิ่งจริงๆ จากที่หดหู่เหงาๆ พอได้ความแซ๋บเข้าไปเท่านั้นแหละ อารมณ์ดีเลย




ด้วยความที่เป็นแขกคนเดียวของโรงแรมนี้ เลยเหมือนมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวเนปาลีแท้ๆ เจ้าของโรงแรมเป็นหนุ่มวัยรุ่น เคยมาเที่ยวไทย พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก นั่งคุยกันจึงได้รู้ว่า ที่เราบ่นหนาวน่ะ สำหรับคนที่นี่คืออากาศอุ่นมากแล้ว และปีนี้ถือว่าอากาศหนาวช้ามากซึ่งผิดปกติ ได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่จริงๆ ว่าเค้ากินอะไรกัน ตกเย็นทำยังไง ก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ดี


ชีวิตทุกคืนคือการนั่งสุมกันหน้าฮีทเตอร์

เลยจากนัมเชขึ้นมา จะไม่มี WiFi แบบ unlimited ให้ใช้แล้ว แต่จะต้องซื้อ pre-paid wifi ของ Everest Link ใช้แทน วันนี้เลยซื้อ 200MB และ 200 MB นี้ แค่อัพรูป 4 รูปขึ้นเฟสบุคก็หมดแล้ว!!!!


wifi-prepaid

วันนี้ด้วยความเหนื่อย ทำให้ตลอดทางเดินไม่ค่อยมีบทสนทนา จึงทำให้คิดอะไรในหัวเยอะแยะมากมาย เราคิดว่าส่วนหนึ่งของความคิดในหัว น่าจะมาจากความเพ้อนิดๆเมื่อใช้ชีวิตบนที่สูงและออกซิเจนน้อย

สิ่งที่คิดได้ระหว่างทางวันนี้ ...

... การ trek สอนให้เราทิ้งสิ่งที่ไม่จำเป็น และเลือกเอาแต่สิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตติดตัวมาเท่านั้น ยิ่งแบกมาก ยิ่งขนมาก เอมาก ก็จะมีภาระมาก การใช้ชีวิตก็เช่นกัน อย่ายึดติดกับอะไรมาก มันเหนื่อย

... อย่าคิดถึงทางข้างหน้า แต่ให้โฟกัสกับแต่ละก้าวตรงหน้าเท่านั้น สติในทุกก้าวสำคัมากที่สุด ก้าวพลาดนิดเดียวอาจเจ็บหรือตายได้ เพราะนี่ก็หน้าทิ่มมาหลายทีแล้วเหมือนกัน

... เราโชคดีแค่ไหนที่มีเท่าที่เรามี ได้เห็นอะไรมากกว่าใครอีกหลายคน


ทางยาก แดดร้อนแค่ไหนก็ต้องเดิน

... ใครว่า trekking เดือนธันวาที่เนปาลหนาว อยากให้เปลี่ยนความคิดให่ มันไม่หนาวแต่รอนมาก ตอนกลางคืนอ่ะหนาวใช่ แต่ก็อยู่ในระดับที่มีชีวิตอยู่ได้ ใครว่า trekking ต้องหาคนมาด้วย มาคนเดียวก็ได้สบายดี ได้เดินในจังหวะของตัวเอง ที่สำคัญไอการมาคนเดียวนี่แหละ ทำให้เรางอแงไม่ได้ มันไม่มีใครให้งอแงด้วย สุดท้ายเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องไป ทะเลาะกับตัวเองไปเรื่อยๆ

... พักได้ไม่มีใครว่า ช้าได้ไม่มีใครเร่ง

น้ำแข็งนี้ที่ลืนมาแล้ว

... การ trek คนเดียว เดินทางไปที่ๆไม่เคยไปคนเดียว ฝึกให้เรากล้าตัดสินใจและแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากขึ้น ปกติเราเป็นคนเยอะ ที่มักตัดสินใจเลือกอะไรยาก แต่การเดินทางครั้งนี้ ฝึกให้เรากล้าที่จะเลือกมากขึ้น จะกินไม่กิน จะพักไม่พัก จะซื้อไม่ซื้อ เธอต้องกล้าตัดสินใจ

แสงสุดท้ายของวัน จากวิวหน้าโรงแรม


ราตรีสวัสดิ์ จากความสูงระดับเกือบ 4,000 เมตร


Friday, February 17, 2017

[Foot Fit Journey] เรื่องเล่าจาก Bungy Jump ครั้งแรกในชีวิต!

“เนปาลไม่ได้มีแค่ trekking ถ้าอยากโดดแล้วกลิ้งก็มีนะเธอ”




ถ้าพูดถึงการไปเนปาล หลายคนคงคิดว่าประเทศนี้คงมีภูเขาและวัด แต่จริงๆแล้วเนปาลยังมีกิจกรรมอื่นๆให้คนหัวในแอดเวนเจอร์ทำอีกมายมาย กิจกรรมยอดนิยมที่หลายคนพอจะรู้ คือ Paragliding ที่มีให้เล่นที่เมืองโพคารา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกาฐมาณฑุเท่าไหร่นัก ใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบินแค่ 45 นาที หรือจะนั่งรถชมวิวชีวิตไปเรื่อยก็ประมาณ 5-6 ชม.

ด้วยการเปลี่ยนแปลงของแผนการเทรคกิ้ง ทำให้เรากลับลงจากเขาเร็วกกว่ากำหนด และมีเวลาเหลือให้อยู่ที่กาฐมาณฑุเพิ่มขึ้นอีก 1 วัน ด้วยความที่ไม่รู้จะไปเที่ยวไหน เพราะส่วนตัวก็ไม่ได้อินกับการเที่ยววัดสักเท่าไหร่ ตอนแรกก็คิดไว้ว่า ไม่เป็นไร 1 วันที่เพิ่มมา เราเดินเล่นสบายๆในเมืองก็ได้

แต่ .. ระหว่างมื้อค่ำที่นัมเชตอนขาลง นั่งคุยเรื่อยเปื่อยกับไกด์ว่าเราจะทำอะไรดี มีที่ไหนให้ไปบ้าง และก็คุยเลยไปถึงสิ่งที่อยากทำ ไกด์บอกว่า เราทำความฝันสำเร็จแล้วนะ กับการพิชิต EBC เราอกไกด์ว่า “จริงๆมีอีกอย่างที่เราอยากทำ และคิดว่าจะต้องทำให้ได้สักครั้งในชีวิตนี้ นั่นคือ “การโดดบันจี้จั๊มพ์”

เราไม่เคยรู้ว่าทำไมเราถึงอยากโดดบันจี้ จั๊มพ์ ไม่รู้ว่ามันเข้ามาในหัวตอนไหน แต่เท่าที่จำได้ เรามีความคิดอยากโดดมาตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว และยังเคยเปรยเล่นๆว่า “ถ้าเลิกกับแฟน จะไปโดดบันจี้ จั๊มพ์” แต่หลังจากจบความสัมพันธ์มาหลายครั้ง ก็ยังไม่เคยได้ทำมันสักที

และเหมือนสวรรค์เป็นใจ ไกด์บอกว่า “เธอรู้ไหมว่าที่เนปาลก็มีบันจี้ จั๊มพ์ เธอจะโดดไหม ฉันจัดการจองให้เอได้เลย” พอได้ยินเท่านั้นแหละ ในหัวเริ่มคิดคำนวน เอาไงดีวะ โดดไม่โดด พลาดมาแล้วจากนิวซีแลนด์นะเว้ย นี่โอกาสอยู่ตรงหน้า จะได้ทำอีกเมื่อไหร่ไม่รู้ เอายังไง มึงจะเอายังอีบิ๋ม “โดด! เธอจองเลย”


สะพานเดินเข้ารีสอร์ท และสะพานที่ไปยืนเพื่อโดด

กลับลงจากภูเขามาถึงกาฐมาณฑุ มีเวลาเที่ยวเล่นในเมืองอีก 1.5 วันก่อนการไปโดดบันจี้ ชื่อสถานที่เราจะไปโดดชื่อว่า ‘The Last Resort’ ชื่อโคตรไม่เป็นมงคล โดยแพคเกจราคา US$95 จะรวมค่าเดินทาง ค่าอาหารกลางวัน และค่าโดดบันจี้ เป็น 1-day ทริป นัดล้อหมุนที่หน้าสำนักงานตอน ตี 5.45 ถามเขาว่าจะกลับมาถึงในเมืองกี่โมง พนักงานบอกว่า ประมาณ 2 ทุ่ม .. หืมมมมม.. ซึ่งในตอนแรกก็คิดทำไมการไปบันจี้นี่ต้องเสียเวลาทั้งวันเลยเรอะ แต่พอได้ไปก็เข้าใจกระจ่างชัด

ตื่นตั้งแต่ยังไม่ตีห้าดีเพราะกลัวจะไปไม่ทันทั้งที่โรงแรมอยู่ใกล้จุดนักพบมาก เดินลงจากห้อง 5.30 กะว่าไปถึงก่อนเวลาสวยๆ แต่แล้วก็ต้องช็อค! ประตุหน้าโรงแรมล็อค และไม่มียาม คือ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าโรงแรมมีล็อคประตูด้วย เดินเข้ามาในล็อบบี้ก็ไม่มีใครอยู่เลย ตะโกน เฮลโหลวววว อยู่พักใหญ่ก็เงียบ มองหาทางปีน แต่คิดว่าไม่รอดแน่ สุดท้ายเลยเดินเข้ามาในล็อบบี้แล้วตะโกนดังๆว่า เฮลโหลววววววว!! และก็มีเงาเดินออกมาในความมือ ... อ่าวววว มึงนอนอยุ่ล็อบบี้ก็ไม่บอก เลยบอกเค้าว่า เราต้องรีบออกไปข้างนอก นางก็ทำหน้าง่วงๆ เดินไปปลุกยาม ซึ่งนอนอยู่บนโซฟาเอาผ้าคลุมโปง จนเรามองไม่เห็นว่าคือคนนอน คิดว่าโซฟา #ถุยชีวิต


รถที่เราใช้ในการเดินทาง

ทริปนี้เราไปคนเดียวเดี่ยวๆนี่แหละ ไม่รู้จักใคร แต่บังเอิญเจอ Tanh สาวชาวเวียดนามที่เจอกันมาตั้งแต่ Dingboche แล้วเลยทำให้อย่างน้อยก็อุ่นใจว่ามีเพื่อนสักคน จะว่าไป ตั้งแต่เจอเธอคนนี้ครั้งแรก รุ้สึกไม่ถูกชะตาเลยนะ ผู้หญิงอะไรพูดมากเหลือเกิน (หล่อนพูดน้อยมาก กล้าไปวิจารณ์เขา) แต่โชคชะตาก็เล่นตลก เราเจอเธอคนนี้แทบจะตลอดทาง พักโรงแรมเดียวกันทุกครั้ง และอยู่ด้วยกันกระทั่งคืนสุดท้ายที่ลุคลา

ด้วยความที่เป็นคนเมารถระดับแอ็ดว๊านซ์และต้องนั่งรถเดินทางไกลบนท้องถนนของประเทศเนปาลที่ขึ้นชื่อว่าปราบเซียน จึงเตรียมตัวไปหาซื้อยาแก้เมา และกินก่อนขึ้นรถครึ่งชั่วโมง กะว่าจะต้องรอด เพราะจะอ้วกแตกกลับคนแปลกหน้าคงไม่ใช่ ดังนั้น ตลอดทางเราจึงหลับ หลับสนิทเป็นตายเลยทีเดียว จนหนุ่มน้อยชาวบังคลาเทศที่นั่งข้างๆต้องถามว่า เธอโอเคไหม เธอนอนหลับสนิทแบบน่ากลัวมาก

รถจอดแวะพักกลางทางให้ลงไปเข้าห้องน้ำ หาอะไรกินประมาณ 20 นาที ออกเดินทางต่อเราก็หลับต่อ ตื่นอีกทีก็หนุ่มข้างๆสะกิดว่าถึงแล้วยู สรุปการเดินทางราวๆเกือบ 5 ชม.ได้กับระยะทาง 170 กม. ขนาดนอนหลับยังรับรู้ได้ถึงความโหดของถนนในเนปาล เข้าใจแล้วว่าทำไมคนที่อยู่บนเขาจึงต้องเดินเท้า



ระหว่างรอก็เจอแก๊งแพะมารอเดินข้ามสะพาน

ลงจากรถ เดินข้ามสะพานเข้ามาในรีสอร์ท สะพานนี้แหละทีเราจะมายืนเพื่อนโดดบันจี้กัน สภาพรีสอร์ทเหมือนรีสอร์ทตามต่างจังหวัดที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว ราคาที่พักดูแล้วไม่น่าเกิน 1,500 บาทแบบนั้น พนักงานเรียกทุกคนมารวมตัวกัน แล้วเรียกตามชื่อมาชั่งน้ำหนัก พร้อมเขียนตัวเลขใหญ่ๆบนหลังมือ น้ำหนักนี้จะ +2 กก. เพราะรวมน้ำหนักตัวเมื่อใส่อุปกรณ์เรียบร้อย โดยน้ำหนักตัวมีผลกับการโดดนะ เขาจะแบ่งกลุ่มโดยใช้น้ำหนักเป็นตัวแบ่ง คนน้ำหนักเยอะจะได้โดดก่อน น้ำหนักน้อยก็รอไปเป็นกลุ่มสุดท้าย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่คิดว่าเป็นเพราะอุปกรณ์ที่ใช้กับแต่ละกลุ่มแตกต่างกัน



รหัสลับ เขียนชัดๆแบบไม่ต้องอายน้ำหนักกันล่ะ

เช็คน้ำหนักครบทุกคนก็ถึงเวลาบรีฟคร่าวๆว่าการโดดเป็นอย่างไร ต้องทำท่าไหน และสอนวิธีการใช้อุปกรณ์คร่าวๆ แถมบอกว่า ไม่ต้องหวงถ้าจำไม่ได้ เพราะเดี่ยวจะมีคนทวนอีกที เสร็จแล้วก็ถึงเวลาโดด ใครยังไม่ถึงเวลาก็นั่งดูคนอื่นโดดก่อน วันที่เราไปมีคนรวมประมาณ 50 คน รอกันจนลืมตื่นเต้นเลยทีเดียว



วิวจากบนสะพาน

ถึงคราวกลุ่มเราโดด ก็เดินขึ้นไปบนสะพาน สะพานนี้ก็หน้าตาเหมือนสะพานข้ามเขาที่เดินมาแล้วตลอดทางเทรค แต่พอต้องไปยืนนิ่งๆ รอคิวโดดบันจี้นี่ก็มีอาการเสียวเหมือนกัน จากที่รอนานจนลืมตื่นเต้น เมื่อใกล้ถึงคิวเราก็เกิดอาการตื่นเต้นขึ้นมาก แต่จะให้กลับตัวก็คงจะไม่ทันแล้ว

ถึงเวลาเจ้าหน้าที่เรียกไปใส่อุปกรณ์ ชุดรัดแน่นมาก หนุ่มบังคลาเทศคนเดิมที่ได้คิวโดดก่อนหน้าเรา (เป็นผู้ชายแต่น้ำหนักเท่ากัน ...) หันมาบอกว่า ถ้าเขาเป็นอะไรไป “sue them!” เจ้าหน้าที่สอนวิธีการปลดตัวเองจากเชือกเพื่อให้กลับมาอยู่ในท่านั่ง สิ่งที่ต้องท่องจำคือ first bounce and second bounce you do nothing and hardly pull this strap at the third bounce! พร้อมสอนวิธีดึงและล็อคตะขอเพื่อดึงกลับขึ้นมา และให้ฝึกทำ เราถามว่า ใช้มือไหนดึง และดึงสองมือได้ไหม เค้าตอบว่า จะดึงยังไงก็ได้แค่ต้องดึงให้หลุด #ค่ะ





ถึงวินาทีที่รอคอยมา 10 กว่าปี ก่อนไปยืนที่แท่นประหาร ก็มีถ่ายวิดีโอพอน่ารัก ให้พูดอะไรก็ได้ อยากสั่งเสียอะไรก็ได้ วินาทีที่ยืนรอสัญญาณบันจี้ หัวโล่งมาก ไม่ทันได้คิดอะไรเลย จากนั้นได้ยินคำว่า บันจี้!! แล้วโลกทั้งใบก็เปลี่ยนไป ...



ชั่วขณะที่โลกหยุดหมุน

ชั่วขณะที่ทิ้งตัวเองลงมาจากความสูง 162 เมตร มองไม่เห็นอะไรเลย ทุกยอ่างเกิดขึ้นเร็วมาก จำได้ว่าแหกปากร้องดังมากเพราะกลัว เวลาตกจากที่สูงมันตกลงเร็วจริงๆ ต่อให้ลืมตาก็มองไม่เห็นอะไร รู้ตัวอีกทีก็โดนดึงให้เด้งขึ้นไปแล้ว เด้งครั้งที่ 1 มันเป็นความรู้สึกที่กลัวมาก เด้งครั้งทีสองมึนหัว จะอ้วก ใจตอนนั้นคิด หยุดเสียทีกูไม่ไหวแล้ว แต่เอาจริงๆ .. เราจำไม่ได้หรอกว่าเด้งกี่ครั้ง แต่นับเท่าที่สติพอจะนับได้ ครั้งที่สามเลยจัดการดึง






แล้วก็เป็นไปตามคาด ถึงครั้งแรกเชือกไม่หลุด ครั้งที่สองก็ไม่หลุด “ชิบหายละกู” ตอนนั้นมึนหัวกับการเอาหัวทิ่มพืนมาก เลยใช้สติสุดท้าย เอาสองมือกระชากเชือกจนหลุดแล้วกลับขึ้นมาในทางนั่ง รอห่วงช่วยชีวิตที่เค้าจะส่งลงมา อุปสรรคไม่จบแค่นี้ คว้าตะขอมาได้จึงพยายามเกี่ยว แต่.. เกี่ยวเท่าไหร่ก็ไม่เข้า เพราะเวลาที่สลิงมันดึงตัวเราอยู่ จะเกี่ยวตะขอเข้าไปมันเลยไม่ง่าย พยายามอยู่สักพักถึงสำเร็จ.. รอดแล้วกู

บันจี้ จั๊มพ์สนุกไหม .. ตอบไม่ถูกจริงๆ วินาทีที่โดดก็คิดว่า “กูไม่เอาอีกแล้ว พอ” แต่พอกลับขึ้นมา ตั้งสติได้ มันก็สนุกดี เป็นสิ่งที่ถ้ามีโอกาสและบ้าพอ ก็อยากให้ลองสักครั้งในชีวิต ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าโดดครั้งที่สองจะมีความรู้สึกอย่างไร ยังตื่นเต้นไหม ถามว่าอันตรายไหม  เราไม่รุ้สึกว่ามันอันตรายเลย นั่งมองคนอื่นโดดมันก็ดูปลอดภัยดี ไม่มีอะไรน่าหวาดเสียว

ใครไปเนปาล แล้วอยากหากิจกรรมสนุกๆทำ บันจี้ จั๊มพ์ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ ที่นี่นอกจากบันจี้แล้ว ยังมีสวิงด้วยนะ ถามคนที่เล่นทั้งสองอย่าง เขาบอกว่าสวิงมันส์กว่า เสียวกว่า รู้งี้เล่นสวิงด้วยดีกว่า

เนปาลงวดนี้ บรรลุความฝันในชีวิตถึง 2 อย่างด้วยกัน .. ก็ดีนะ

ปล. มีวิดีโอราคา 2300 รูปีมาฝากกัน นอกจากจะโชว์ความมันส์ ยังโชว์หน้าสดแบบไหม้แดดหลังจากเพิ่งลงจากภูเขาด้วยนะฮะ