Friday, February 17, 2017

[Foot Fit Journey] เรื่องเล่าจาก Bungy Jump ครั้งแรกในชีวิต!

“เนปาลไม่ได้มีแค่ trekking ถ้าอยากโดดแล้วกลิ้งก็มีนะเธอ”




ถ้าพูดถึงการไปเนปาล หลายคนคงคิดว่าประเทศนี้คงมีภูเขาและวัด แต่จริงๆแล้วเนปาลยังมีกิจกรรมอื่นๆให้คนหัวในแอดเวนเจอร์ทำอีกมายมาย กิจกรรมยอดนิยมที่หลายคนพอจะรู้ คือ Paragliding ที่มีให้เล่นที่เมืองโพคารา ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากกาฐมาณฑุเท่าไหร่นัก ใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบินแค่ 45 นาที หรือจะนั่งรถชมวิวชีวิตไปเรื่อยก็ประมาณ 5-6 ชม.

ด้วยการเปลี่ยนแปลงของแผนการเทรคกิ้ง ทำให้เรากลับลงจากเขาเร็วกกว่ากำหนด และมีเวลาเหลือให้อยู่ที่กาฐมาณฑุเพิ่มขึ้นอีก 1 วัน ด้วยความที่ไม่รู้จะไปเที่ยวไหน เพราะส่วนตัวก็ไม่ได้อินกับการเที่ยววัดสักเท่าไหร่ ตอนแรกก็คิดไว้ว่า ไม่เป็นไร 1 วันที่เพิ่มมา เราเดินเล่นสบายๆในเมืองก็ได้

แต่ .. ระหว่างมื้อค่ำที่นัมเชตอนขาลง นั่งคุยเรื่อยเปื่อยกับไกด์ว่าเราจะทำอะไรดี มีที่ไหนให้ไปบ้าง และก็คุยเลยไปถึงสิ่งที่อยากทำ ไกด์บอกว่า เราทำความฝันสำเร็จแล้วนะ กับการพิชิต EBC เราอกไกด์ว่า “จริงๆมีอีกอย่างที่เราอยากทำ และคิดว่าจะต้องทำให้ได้สักครั้งในชีวิตนี้ นั่นคือ “การโดดบันจี้จั๊มพ์”

เราไม่เคยรู้ว่าทำไมเราถึงอยากโดดบันจี้ จั๊มพ์ ไม่รู้ว่ามันเข้ามาในหัวตอนไหน แต่เท่าที่จำได้ เรามีความคิดอยากโดดมาตั้งแต่สิบกว่าปีที่แล้ว และยังเคยเปรยเล่นๆว่า “ถ้าเลิกกับแฟน จะไปโดดบันจี้ จั๊มพ์” แต่หลังจากจบความสัมพันธ์มาหลายครั้ง ก็ยังไม่เคยได้ทำมันสักที

และเหมือนสวรรค์เป็นใจ ไกด์บอกว่า “เธอรู้ไหมว่าที่เนปาลก็มีบันจี้ จั๊มพ์ เธอจะโดดไหม ฉันจัดการจองให้เอได้เลย” พอได้ยินเท่านั้นแหละ ในหัวเริ่มคิดคำนวน เอาไงดีวะ โดดไม่โดด พลาดมาแล้วจากนิวซีแลนด์นะเว้ย นี่โอกาสอยู่ตรงหน้า จะได้ทำอีกเมื่อไหร่ไม่รู้ เอายังไง มึงจะเอายังอีบิ๋ม “โดด! เธอจองเลย”


สะพานเดินเข้ารีสอร์ท และสะพานที่ไปยืนเพื่อโดด

กลับลงจากภูเขามาถึงกาฐมาณฑุ มีเวลาเที่ยวเล่นในเมืองอีก 1.5 วันก่อนการไปโดดบันจี้ ชื่อสถานที่เราจะไปโดดชื่อว่า ‘The Last Resort’ ชื่อโคตรไม่เป็นมงคล โดยแพคเกจราคา US$95 จะรวมค่าเดินทาง ค่าอาหารกลางวัน และค่าโดดบันจี้ เป็น 1-day ทริป นัดล้อหมุนที่หน้าสำนักงานตอน ตี 5.45 ถามเขาว่าจะกลับมาถึงในเมืองกี่โมง พนักงานบอกว่า ประมาณ 2 ทุ่ม .. หืมมมมม.. ซึ่งในตอนแรกก็คิดทำไมการไปบันจี้นี่ต้องเสียเวลาทั้งวันเลยเรอะ แต่พอได้ไปก็เข้าใจกระจ่างชัด

ตื่นตั้งแต่ยังไม่ตีห้าดีเพราะกลัวจะไปไม่ทันทั้งที่โรงแรมอยู่ใกล้จุดนักพบมาก เดินลงจากห้อง 5.30 กะว่าไปถึงก่อนเวลาสวยๆ แต่แล้วก็ต้องช็อค! ประตุหน้าโรงแรมล็อค และไม่มียาม คือ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าโรงแรมมีล็อคประตูด้วย เดินเข้ามาในล็อบบี้ก็ไม่มีใครอยู่เลย ตะโกน เฮลโหลวววว อยู่พักใหญ่ก็เงียบ มองหาทางปีน แต่คิดว่าไม่รอดแน่ สุดท้ายเลยเดินเข้ามาในล็อบบี้แล้วตะโกนดังๆว่า เฮลโหลววววววว!! และก็มีเงาเดินออกมาในความมือ ... อ่าวววว มึงนอนอยุ่ล็อบบี้ก็ไม่บอก เลยบอกเค้าว่า เราต้องรีบออกไปข้างนอก นางก็ทำหน้าง่วงๆ เดินไปปลุกยาม ซึ่งนอนอยู่บนโซฟาเอาผ้าคลุมโปง จนเรามองไม่เห็นว่าคือคนนอน คิดว่าโซฟา #ถุยชีวิต


รถที่เราใช้ในการเดินทาง

ทริปนี้เราไปคนเดียวเดี่ยวๆนี่แหละ ไม่รู้จักใคร แต่บังเอิญเจอ Tanh สาวชาวเวียดนามที่เจอกันมาตั้งแต่ Dingboche แล้วเลยทำให้อย่างน้อยก็อุ่นใจว่ามีเพื่อนสักคน จะว่าไป ตั้งแต่เจอเธอคนนี้ครั้งแรก รุ้สึกไม่ถูกชะตาเลยนะ ผู้หญิงอะไรพูดมากเหลือเกิน (หล่อนพูดน้อยมาก กล้าไปวิจารณ์เขา) แต่โชคชะตาก็เล่นตลก เราเจอเธอคนนี้แทบจะตลอดทาง พักโรงแรมเดียวกันทุกครั้ง และอยู่ด้วยกันกระทั่งคืนสุดท้ายที่ลุคลา

ด้วยความที่เป็นคนเมารถระดับแอ็ดว๊านซ์และต้องนั่งรถเดินทางไกลบนท้องถนนของประเทศเนปาลที่ขึ้นชื่อว่าปราบเซียน จึงเตรียมตัวไปหาซื้อยาแก้เมา และกินก่อนขึ้นรถครึ่งชั่วโมง กะว่าจะต้องรอด เพราะจะอ้วกแตกกลับคนแปลกหน้าคงไม่ใช่ ดังนั้น ตลอดทางเราจึงหลับ หลับสนิทเป็นตายเลยทีเดียว จนหนุ่มน้อยชาวบังคลาเทศที่นั่งข้างๆต้องถามว่า เธอโอเคไหม เธอนอนหลับสนิทแบบน่ากลัวมาก

รถจอดแวะพักกลางทางให้ลงไปเข้าห้องน้ำ หาอะไรกินประมาณ 20 นาที ออกเดินทางต่อเราก็หลับต่อ ตื่นอีกทีก็หนุ่มข้างๆสะกิดว่าถึงแล้วยู สรุปการเดินทางราวๆเกือบ 5 ชม.ได้กับระยะทาง 170 กม. ขนาดนอนหลับยังรับรู้ได้ถึงความโหดของถนนในเนปาล เข้าใจแล้วว่าทำไมคนที่อยู่บนเขาจึงต้องเดินเท้า



ระหว่างรอก็เจอแก๊งแพะมารอเดินข้ามสะพาน

ลงจากรถ เดินข้ามสะพานเข้ามาในรีสอร์ท สะพานนี้แหละทีเราจะมายืนเพื่อนโดดบันจี้กัน สภาพรีสอร์ทเหมือนรีสอร์ทตามต่างจังหวัดที่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว ราคาที่พักดูแล้วไม่น่าเกิน 1,500 บาทแบบนั้น พนักงานเรียกทุกคนมารวมตัวกัน แล้วเรียกตามชื่อมาชั่งน้ำหนัก พร้อมเขียนตัวเลขใหญ่ๆบนหลังมือ น้ำหนักนี้จะ +2 กก. เพราะรวมน้ำหนักตัวเมื่อใส่อุปกรณ์เรียบร้อย โดยน้ำหนักตัวมีผลกับการโดดนะ เขาจะแบ่งกลุ่มโดยใช้น้ำหนักเป็นตัวแบ่ง คนน้ำหนักเยอะจะได้โดดก่อน น้ำหนักน้อยก็รอไปเป็นกลุ่มสุดท้าย ซึ่งก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่คิดว่าเป็นเพราะอุปกรณ์ที่ใช้กับแต่ละกลุ่มแตกต่างกัน



รหัสลับ เขียนชัดๆแบบไม่ต้องอายน้ำหนักกันล่ะ

เช็คน้ำหนักครบทุกคนก็ถึงเวลาบรีฟคร่าวๆว่าการโดดเป็นอย่างไร ต้องทำท่าไหน และสอนวิธีการใช้อุปกรณ์คร่าวๆ แถมบอกว่า ไม่ต้องหวงถ้าจำไม่ได้ เพราะเดี่ยวจะมีคนทวนอีกที เสร็จแล้วก็ถึงเวลาโดด ใครยังไม่ถึงเวลาก็นั่งดูคนอื่นโดดก่อน วันที่เราไปมีคนรวมประมาณ 50 คน รอกันจนลืมตื่นเต้นเลยทีเดียว



วิวจากบนสะพาน

ถึงคราวกลุ่มเราโดด ก็เดินขึ้นไปบนสะพาน สะพานนี้ก็หน้าตาเหมือนสะพานข้ามเขาที่เดินมาแล้วตลอดทางเทรค แต่พอต้องไปยืนนิ่งๆ รอคิวโดดบันจี้นี่ก็มีอาการเสียวเหมือนกัน จากที่รอนานจนลืมตื่นเต้น เมื่อใกล้ถึงคิวเราก็เกิดอาการตื่นเต้นขึ้นมาก แต่จะให้กลับตัวก็คงจะไม่ทันแล้ว

ถึงเวลาเจ้าหน้าที่เรียกไปใส่อุปกรณ์ ชุดรัดแน่นมาก หนุ่มบังคลาเทศคนเดิมที่ได้คิวโดดก่อนหน้าเรา (เป็นผู้ชายแต่น้ำหนักเท่ากัน ...) หันมาบอกว่า ถ้าเขาเป็นอะไรไป “sue them!” เจ้าหน้าที่สอนวิธีการปลดตัวเองจากเชือกเพื่อให้กลับมาอยู่ในท่านั่ง สิ่งที่ต้องท่องจำคือ first bounce and second bounce you do nothing and hardly pull this strap at the third bounce! พร้อมสอนวิธีดึงและล็อคตะขอเพื่อดึงกลับขึ้นมา และให้ฝึกทำ เราถามว่า ใช้มือไหนดึง และดึงสองมือได้ไหม เค้าตอบว่า จะดึงยังไงก็ได้แค่ต้องดึงให้หลุด #ค่ะ





ถึงวินาทีที่รอคอยมา 10 กว่าปี ก่อนไปยืนที่แท่นประหาร ก็มีถ่ายวิดีโอพอน่ารัก ให้พูดอะไรก็ได้ อยากสั่งเสียอะไรก็ได้ วินาทีที่ยืนรอสัญญาณบันจี้ หัวโล่งมาก ไม่ทันได้คิดอะไรเลย จากนั้นได้ยินคำว่า บันจี้!! แล้วโลกทั้งใบก็เปลี่ยนไป ...



ชั่วขณะที่โลกหยุดหมุน

ชั่วขณะที่ทิ้งตัวเองลงมาจากความสูง 162 เมตร มองไม่เห็นอะไรเลย ทุกยอ่างเกิดขึ้นเร็วมาก จำได้ว่าแหกปากร้องดังมากเพราะกลัว เวลาตกจากที่สูงมันตกลงเร็วจริงๆ ต่อให้ลืมตาก็มองไม่เห็นอะไร รู้ตัวอีกทีก็โดนดึงให้เด้งขึ้นไปแล้ว เด้งครั้งที่ 1 มันเป็นความรู้สึกที่กลัวมาก เด้งครั้งทีสองมึนหัว จะอ้วก ใจตอนนั้นคิด หยุดเสียทีกูไม่ไหวแล้ว แต่เอาจริงๆ .. เราจำไม่ได้หรอกว่าเด้งกี่ครั้ง แต่นับเท่าที่สติพอจะนับได้ ครั้งที่สามเลยจัดการดึง






แล้วก็เป็นไปตามคาด ถึงครั้งแรกเชือกไม่หลุด ครั้งที่สองก็ไม่หลุด “ชิบหายละกู” ตอนนั้นมึนหัวกับการเอาหัวทิ่มพืนมาก เลยใช้สติสุดท้าย เอาสองมือกระชากเชือกจนหลุดแล้วกลับขึ้นมาในทางนั่ง รอห่วงช่วยชีวิตที่เค้าจะส่งลงมา อุปสรรคไม่จบแค่นี้ คว้าตะขอมาได้จึงพยายามเกี่ยว แต่.. เกี่ยวเท่าไหร่ก็ไม่เข้า เพราะเวลาที่สลิงมันดึงตัวเราอยู่ จะเกี่ยวตะขอเข้าไปมันเลยไม่ง่าย พยายามอยู่สักพักถึงสำเร็จ.. รอดแล้วกู

บันจี้ จั๊มพ์สนุกไหม .. ตอบไม่ถูกจริงๆ วินาทีที่โดดก็คิดว่า “กูไม่เอาอีกแล้ว พอ” แต่พอกลับขึ้นมา ตั้งสติได้ มันก็สนุกดี เป็นสิ่งที่ถ้ามีโอกาสและบ้าพอ ก็อยากให้ลองสักครั้งในชีวิต ก็ไม่รู้เหมือนกันนะว่าโดดครั้งที่สองจะมีความรู้สึกอย่างไร ยังตื่นเต้นไหม ถามว่าอันตรายไหม  เราไม่รุ้สึกว่ามันอันตรายเลย นั่งมองคนอื่นโดดมันก็ดูปลอดภัยดี ไม่มีอะไรน่าหวาดเสียว

ใครไปเนปาล แล้วอยากหากิจกรรมสนุกๆทำ บันจี้ จั๊มพ์ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ ที่นี่นอกจากบันจี้แล้ว ยังมีสวิงด้วยนะ ถามคนที่เล่นทั้งสองอย่าง เขาบอกว่าสวิงมันส์กว่า เสียวกว่า รู้งี้เล่นสวิงด้วยดีกว่า

เนปาลงวดนี้ บรรลุความฝันในชีวิตถึง 2 อย่างด้วยกัน .. ก็ดีนะ

ปล. มีวิดีโอราคา 2300 รูปีมาฝากกัน นอกจากจะโชว์ความมันส์ ยังโชว์หน้าสดแบบไหม้แดดหลังจากเพิ่งลงจากภูเขาด้วยนะฮะ




3 comments:

  1. อยากถามข้อมูลเพิ่มเติมค่ะ ไม่ทราบติดต่อได้ทางไหนบ้างคะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. This comment has been removed by the author.

      Delete
    2. ส่ง direct message มาทาง Facebook Page - Foot Fit For Run ได้เลยค่ะ

      Delete