Monday, February 13, 2017

[Foot Fit Journey] เรื่องเล่าจาก Everest Base Camp Trekking: Day 4 วันพัก Namche Acclimatization Day

“วันพักไม่พักสมชื่อ”

[20.12.16] Namche Bazaar (3,440m)



เริ่มต้นวันด้วยการเช็คตัวเองว่าสภาพเป็นอย่างไร ปวดหัวไหม .. ไม่ ปวดขาไหม .. ไม่ ยังปกติดีอยู่ทุกอย่าง กินได้นอนหลับเข้านอนตั้งแต่ทุ่มนึง ตื่นมาอีกทีหกโมงเช้า การหายใจและการเต้นของหัวใจยังปกติดีทุกอย่าง และที่สำคัญยังอารมณ์ดี

ก่อนเข้านอนทุกวัน หลังอาหารเย็นไกด์จะมานั่งคุยและสอบถามว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง มีอาการอะไรไหม โดยเฉพาะเมื่อระดับความสูงเริ่มสูงขึ้น ไกด์จะให้ความสำคัญกับการเช็คอาการเป็นพิเศษ ดังนั้น ถ้ามีอาการอะไรผิดปกติ แม้แต่ปวดหัวนิดหน่อย ก็ควรจะบอกให้ไกด์รู้

อาหารเช้าวันนี้ มันฝรั่งอร่อยมาก

นอกจากเช็คสภาพประจำวันแล้ว ทุกเย็นไกด์จะบรีฟให้ฟังว่า พรุ่งนี้เราจะต้องทำอะไร แน่นอน คือการเดิน เส้นทางเป็นอย่างไร ใช้เวลาประมาณกี่ชั่วโมง และจะบอกเวลากินข้าวเช้า และเวลาออกเดินทาง เพื่อให้จัดการเตรียมตัวเองและพร้อมออกเดินทางเมื่อเวลามาถึง เวลาการเริ่มเดินของแต่ละคนจะไม่เหมือนกัน สำหรับเราที่เดินทางคนเดียวก็จะไม่ยาก ไกด์จะดูความสามารถในการเดินของเราในแต่ละวัน เพื่อกะให้ว่าในวันต่อไปเราควรจะออกช้า หรือออกเร็วกว่าเดิมเพื่อให้ถึงที่พักในเวลาที่เหมาะสม หรือก่อนพระอาทิตย์ตก  สำหรับเราที่ไกด์บอกว่าแกร่งดั่งหินผา นางเลยไม่เคยรีบ นัดเวลาได้ชิลมาก แถมยังบอกว่า ยูเดินเร็ว ออกไปเร็วก็ไปถึงโรงแรมเร็ว ไม่มีอะไรทำ นอนตื่นสายก็ได้ ..แหนะ





นัมเชจากมุมสูง

ได้รับบรีฟมาว่า วันนี้เป็นวันสบายๆ ตามที่ทุกคนเรีกมันว่า ‘rest day’  วันพักคืออะไร? คือการพักอยู่ในระดับความสูงเดิม เพื่อให้ร่างกายคุ้นชิน และพร้อมสำหรับการขึ้นไปในระดับที่สูงขึ้น แต่ .. การพักจะไม่ได้หมายถึงนั่งๆนอนๆ แต่คือ การเดินขึ้นที่สูง และลงมานอนที่ต่ำ เพื่อปรับร่างกาย ดังนั้น วันพักที่นัมเชนี้ เราจะไปเดินเที่ยวใกล้ๆนัมเชนี่แหละ จุดหมายยอดฮิตก็คือการไป Hotel Everest View หรือจุดชมวิวเอเวอร์เรสต์ ที่โรงแรมที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในโรงแรมทิ่วิวสวยที่สุดในโลก แล้วต่อด้วยการไปเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ ฟังดูเป็นวันสบายๆนะ แต่.. ชีวิตมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น


มีป้ายบอกทาง

ที่เห็นลิบๆนั่นคือที่เราจะไป


หลังอาหารเช้า Breakfast set ออกเดินทางประมาณ 9 โมง วันนี้เอาแค่ของใช้ส่วนตัวเล็กๆน้อยๆไปเพื่อให้ daypack เบาที่สุด การเดินวันนี้ เป็นการเดินขึ้นไปที่สูง คือ ขึ้นตลอด 2 ชม.จริงๆ และทำให้รู้สึกถึงความเปลี่ยนแปลงได้เลยว่า กำลังวังชาและความฟิตที่ร่างกายเคยมี มันไม่เหมือนเดิม เหนื่อย และหอบมาก จากที่เดินมาสองวันไม่เคยต้องหยุดพักถี่ขนาดนี้ นี่เรียกได้เลยว่าพักทุก 5 ก้าว ตอนแรกก็คิดว่าเป็นเพราะเราเหนื่อยสะสม แต่ไกด์บอกว่า ไม่ใช่ .. นี่แหละ เธอกำลังสัมผัสประสบการณ์การอยู่บนที่สูงที่มีอากาศน้อย




เมื่อคืนระหว่างนั่งคุยกับไกด์ เราคุยกับถึงแผนการเดินของเรา ที่เสร็จจาก EBC เราจะไป Gokyo และข้าม Chola Pass ไกด์บอกว่าตามปกติแล้ว จะใช้เวลาประมาณ 4 วันสำหรับการพิชิตสองจุดหมายปลางทางนี้ แต่ .. เรามีเวลาเหลือแค่ 2 วันสำหรับสองเส้นทางนี้เท่านั้น! เราเลยบอกไปว่า อ้าว... ตอนจองแพคเกจมา ทำไมมึงบอกว่าไปได้ แล้วตอนนี้มาบอกว่าควรมีวันมากกว่านี้วะ ซึ่งไกด์ก็บอกว่าจริงๆก็ไปได้ ถ้ายูฟิตพอ .. อ้าววว .. สุดท้ายเลยตกลงกันว่า เราจะตัดสินใจเรื่องนี้กันอีกทีหลังจากไปถึง EBC แล้ว ซึงจากความเหนื่อยที่รู้สึกในการเดินวันนี้ ทำให้กังวลและคิดตลอดทางว่า “กูจะไหวไหม” เพราะจากนี้ ความเหนื่อยคงเพิ่มขึ้นทุกวันแล้วล่ะ




สภาพวันนี้

วันนี้ค้นพบแล้วว่า กางเกงที่หนาเกิน และไม่ระบายลม ไม่เหมาะสำหรับการเทรคกิ้ง นอกจากยูนิโคล่ bloctech แล้ว เราไม่มีกางเกงแบบอื่นติดมาเลย จึงตัดสินใจตัดซับในที่เป็นผ้ากันลมออก ซึ่งก็ทำให้เสียความตั้งใจอีกอย่าง ที่จะไม่ทิ้งขยะไว้บนนี้เยอะ กลับกลายเป็นต้องทิ้งซับในกางเกงสองตัวไว้ ระหว่างใช้มีดที่พกมาตัดทิ้ง เผลอทำมีดบาดนิ้วตัวเองเข้าให้ด้วย แผลบนที่สูงทำให้เลือดหยุดไหลยาก และแผลหายช้า กว่าแผลจะสมานและแห้ง ก็วันที่กลับลงมาถึงกาฐมาณฑุแล้ว





ทางไป Hotel Everest View โหดร้ายมาก เป็นขั้นบันได เดินขึ้นไปยาวๆ เหนื่อยแถบขาดใจจริงๆ แดดก็ร้อนเหลือเกิน แต่เมื่อไปถึงโรงแรมและเข้าไปจุดชมวิวแล้ว มันก็แสนจะคุ้มค่า ยกให้ที่นี่เป็นหนึ่งในโรงแรมที่วิวดีที่สุด ถ้ามีตังเหลือใช้ก็คงจะมานอนเล่น และหลังจากกลับมาได้อ่านหนังสือ Touching My Father Soul จึงได้รู้ว่า ที่โรงแรมนี้ มีห้องสำหรับรักษาคนที่มีอาการ AMS ด้วย น่าจะเอาไว้สำหรับให้แขกของโรงแรมที่นั่งเฮลิคอปเตอร์มามั๊ง เพราะจะให้เดินขึ้นมาสามวันเพื่อมานอนก็คงไม่ใช่

ภายในพิพิธภัณฑ์

อนุเสาวรีย์ Tenzing Norgay

ชื่นชมความงามของวิวภูเขาพอหอมปากหอม เสร็จแล้วเดินลงเพื่อแวะไปพิพิธภัณฑ์ พิพิธภัณฑ์นี้บอกเล่าเรื่องราวของการพิชิตเอเวอร์เรสต์ และให้ความรู้เกี่ยวกับชีวิต สังคม และธรรมชาติในภูมิภาคเอเวอร์เรสต์นี้ ตัวพิพิธภัณฑ์ดูเหงา เศร้ามาก เป็นแค่อาคารเก่าๆ เปิดเข้าชมฟรี แต่เมื่อเดินเข้าไป กลับรู้สึกถึงพลังบางอย่างของที่นี่ ระหว่างที่เดินอยู่ ไกด์เรียกให้ออกไปด้านนอก ด้านหลังของพิพิธภัณฑ์เป็นอนุสาวรีย์ของ Tenzing Norgay หรือชาวเนปาลีคนแรก (แต่อ่านจากหนังสือ จริงๆเขาสัญชาติอินเดียนะ) ที่พิชิตยอดเอเวอร์เรตส์ได้ ซึ่งรูปปั้นเขา ตั้งอยู่เบื้องหน้าเอเวอร์เรสต์พอดี มันดูงดงามมากจริงๆ




คุณเชื่อในรักแรกพบรือเปล่า? สำหรับเรา นอกจากผู้ชายในใจคนนี้แล้ว ก็คงภูเขาลูกนี้แหละที่ทำให้เราสงสัย อยากทำความรู้จัก อยากเข้าใกล้ อยากไปเห็นด้วยตาของตัวเอง และยิ่งได้รู้จัก กลับยิ่งหลงเสน่ห์มากขึ้น




หลายคนถามเราว่าทำไมต้องเอเวอร์เรสต์ .. ไม่รู้สิ คงนับตั้งแต่วันที่ได้ฟังคุณหนึ่ง คนไทยคนแรกที่ได้พิชิตยอดเอเวอร์เรสต์มาเป็นวิทยากรรับเชิญในงานของบริษัท ตอนที่ได้ฟังเรื่องที่คุณหนึ่งเล่า ไม่ได้ชื่นชมนะ แต่ในใจตอนนั้นคิดว่า .. ขนาดนั้นเชียวหรือ เขาลูกนี้มันยิ่งใหญ่จนคนหลายคนต้องยอมทุ่มเทเพื่อพิชิตหรือเพื่อไปสัมผัสมากขนาดนั้นเลยหรอวะ และนับตั้งแต่นั้น เอเวอร์เรสต์ก็อยู่ในใจและอยู่ในความสงสัยของเรามาตลอด




หลายคน พอรู้ว่าเราจะมาเทรคกิ้งเส้นทางนี้ ต่างก็แนะนำด้วยความเป็นห่วงให้เราไปลองเส้นทางอื่นก่อน เพราะถือว่าเป็นการเทรคกิ้งทางไกลครั้งแรกของเราจริงๆ แต่เรากลับรู้สึกว่า ถ้าไม่ใช่เขาลูกนี้ เราก็ไม่ได้อยากไปเขาลูกไหน เราอยากมาที่นี่เท่านั้น และจะด้วยอะไรก็ตาม ตอนนี้เรากำลังนั่งมองเขาลูกนี้อยู่ เขาอยู่ตรงหน้าเรานี่แล้ว ...




1 comment:

  1. ติดตามอยู่จ้า มะก่อนก็เคยฟังคุณหนึ่งไปเล่าที่แบงค์ไทยพาณิชย์ สมัยทำงานอยู่ เหมือนกัน

    ReplyDelete