Saturday, February 27, 2016

[Review] รีวิว รองเท้าวิ่ง Nike Flyknit Lunar 3

จากที่เคยได้ชวนหนุ่มพี่หนึ่งมาเขียนรีวิวรองเท้าวิ่งในคลังแสง พี่หนึ่งเค้าติดใจและสนุกเลยขอส่งรีวิวรองเท้าวิ่งมาให้ได้อ่านกันอีก ครั้งนี้เลือกมาอีกหนึ่งรุ่นในอีกหนึ่งแบรนด์ยอดฮิต Nike 

สำหรับคนที่เริ่มคิดจะออกกำลังกาย หรือเพิ่งเริ่มมองหารองเท้าสกคู่เพื่อเอามาใช้ออกกำลังกาย หรือวิ่ง แบรนด์นี้มักจะเป็นแบรนด์แรกๆที่วิ่งเข้ามาในหัว อาจเพราะเป็นแบรนด์ติดตลาด ติดหูติดปาก และต้องยอมรับว่าเป็นแบรนด์ที่ออกแบบรองเท้ากีฬามาได้สวย ดูแฟชั่นและไม่เฉิ่มเชย เมื่อเทียบกับอีกหลายแบรนด์ แต่สำหรับในกลุ่มนักวิ่งแล้ว มักจะรู้กันว่าแบรนด์นี้ไม่ได้เก่งเรื่องทำรองเท้าวิ่ง คือ มันยังไม่ได้เป็นรองเท้าวิ่งที่ดีที่สุดและมักไม่เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ

แต่พักหลังมานี้ พี่ไนกี้ก็พยายามพัฒนารองเท้าวิ่งออกมาเรื่อยๆ เมื่อเค้าพยายามทำ เราก็ควรต้องให้โอกาสเค้าบ้าง อย่างที่พี่หนึ่งบอกว่า“นานแล้ว ที่ไม่มี รองเท้าวิ่ง ไนกี้ อยู่ใน shoe rotation..เอ๊า ลองดูๆ ผลการลองซื้อมาใช้ของพี่เค้าจะเป็นยังไง ลองอ่านกันดูค่ะ




วิ่ง: Easy 10km run
อุณหภูมิ: 26-28C
พื้นผิว: ฟุตบาท & สวน
ไซส์: 9US / 27.0cm
น้ำหนัก: 7.8oz / 220 g

น้ำหนัก
เออ เบาเลย จัดกลุ่ม light weight & comfort
เบา ทั้งบนตาชั่ง แล้วใส่จริงก็รู้สึกเบา

ผ้า Upper

  • รุ่นนี้ ผ้า Flyknit ยึดหยุ่น & ระบายอากาศได้ดี แถมไม่รัดแน่นมาก (รุ่นอื่น เหมือนใส่ถุงเท้า compression)
  • Flyknit ตรงหน้าเท้า นุ่มและยืดหยุ่น
  • ส่วน Flyknit ตรงส้น ถักแน่น & firm = ส้น มั่นคง
  • ลิ้น ก็เป็นเนื้อผ้า Flyknit และถักต่อกับด้านข้างๆ มา1/2นึง ของความยาวลิ้น
  • มีช่องร้อยตรงกลางลิ้น กันลิ้นเลื่อนไปมา (tongue slide)
  • เชือก กึ่งยืดหยุ่น (semi elastic)
  • มี รู สำหรับผูกเชือกแบบ runner's heel lock
Fit
  • ความยาว ตรงตามไซส์ (แนะนำให้ดู cm ถ้าข้ามยี่ห้อ)
  • Flywire &  last (โครงเท้าที่ใช้ผลิต) ทำให้รู้สึกแคบ ที่กลางและหน้าเท้า ถ้าเลือกเบอร์ตรง
  • ขนาดขยับขึ้น1/2ไซส์ ยังรู้สึกเกือบจะแน่นไป
  • ได้ ผ้า Flyknit ที่ยืดหยุ่น ช่วยให้ หน้าเท้าไม่รู้สึกแน่นมาก
พื้นรองเท้า
  • เป็นโฟม2ชั้น Lunarlon (สีดำ) อยู่ชั้นบน และ ด้านล่างเป็น Lunarlon ในกรอบ ของ phylon (สีขาว)
  • พื้น midsole นุ่มเลย Lunarlon (สีดำ) นุ่มจริง
  • ตรงสีขาวใต้ Lunarlon คือโฟมที่แข็งกว่าชื่อ phylon เป็น carrier หุ้มรอบๆนอก Lunarlon อีกที ให้ Lunarlon ไม่ปลิ้นออกข้างๆ
  • ความสูงพื้น 18 มม หน้าเท้า และ 28 มม ส้นเท้า (อ้างอิงจาก RW ไม่ได้วัดเอง) อยู่กลางๆค่อนมาทางสูงสำหรับรองเท้าวิ่ง
  • สำหรับคนที่วิ่งลง mid/forefoot 18 มม ก็ ไม่น้อยเลย
  • heel drop 10 mm ก็จริง รองเท้าวิ่งส่วนใหญ่ที่มี จะเป็น drop 0-6mm) แต่ไม่ถึงกับรู้สึกหน้าทิ่ม (เทียบกับ Ultra Boost & Pure Boost ที่ drop เท่ากัน อันนั้น
ความรู้สึกระหว่างวิ่ง
  • heel drop 10 mm ก็จริง แต่ไม่มี ลากส้น (heel drag)
  • ด้วยความนุ่ม ของ Lunarlon ถึงจะมี phylon เป็นกรอบไว้ ยังรู้สึกได้ว่าความนุ่ม
  • ที่ส่วนตัว ไม่ชอบ คือ มีความยวบ & ส่งผลล้าเท้า จากระยะเท่านี้
  • ไม่ได้ทดลอง วิ่งที่เพสเร็ว เลยไม่รู้ว่า responsible ขนาดไหน
  • ส้น เวลาลงเท้า (หน้า/กลางเท้า) แล้วปล่อยให้ส้นเท้าจะแตะพื้น (เพื่อให้เกิด elastic recoil) พื้นตรงส้นนุ่มจนเหมือนส้นจม คราวหน้าจะลองสังเกตุเพิ่ม
  • มี ลิ้น เลื่อน พอควร แต่ไม่ถึงกับต้อง ผูกเขือกใหม่
คำถาม
น้ำมะพร้าวหน้าสวนเบญจฯ ไม่ขายแล้วเหรอครับ ไม่ได้ไป เดือนนึง รถกระบะยังอยู่ แต่ไม่มีคนขาย
(เค้าฝากทิ้งท้ายมาแบบนี้ ใครทราบตอบเค้าหน่อยนะ)


ขอไม่สรุปละกันว่าดีไม่ดีอย่างไร เอาเป็นว่าใครสนใจก็นำไปใช้ระกอบการตัดสินใจกันได้ ส่วนตัวฉันก็ยังไม่เคยลองนะ แต่ก็ปฏิเสธไม่ไดว่ามันสวยชวนเสียตังค์จริงๆ นี่ก็กะว่าจะซื้อมาลงดู ถ้ามันวิ่งไม่ดี ก็เอามาใส่เดินนี่แหละ เพราะสำหรับฉันแล้ว “รองเท้าวิ่งคือรองเท้าใส่เดินทางไกลที่ดีที่สุด”

Saturday, February 13, 2016

[Review] รีวิว รองเท้าวิ่ง Mizuno Wave Emperor ที่ทำให้ตกหลุมรักอีกครั้ง

ไม่ได้มาเม้าท์มาแชร์เกี่ยวกับรองเท้าวิ่งของตัวเองเสียนาน เพราะจากรีวิวสุดท้ายที่เคยทำไว้ก็ไม่ค่อยได้ซื้อรองเท้าวิ่งใหม่ (แกซื้ออีกสามคู่หลังจากนั้น!) วันนี้ฤกษ์งามยามดีป่วยซมอยู่บ้าน ไม่ควรออกไปไหนเลยถือโอกาสมาเล่าถึงรองเท้าวิ่งคู่ล่าสุดที่หอบหิ้วกับมาจากดินแดนอาทิตย์อุทัย ประเทศที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองแห่งการวิ่งและเจ้าแห่งรองเท้าวิ่งกันดีกว่า พูดเลยว่าสำหรับรองเท้าคู่นี้ ไม่เสียดายเลยที่ตัดสินใจซื้อ (แม้จะลีลาอยู่มากกว่าจะซื้อได้) ชอบมากจนอยากจะแบ่งปันให้คนอื่นไปเสียทรัพย์ตาม

คนรอบตัวจะรู้ว่าฉันเป็นแฟนตัวยงของรองเท้าวิ่ง Mizuno (ซื้อได้แต่รองเท้าเพราะสินค้าอื่นของพี่เค้าเชยเหลือเกิน) ถ้านับรวมคู่นี้ก็เป็นมิซูโน่คู่ที่ 3 ที่มีในครอบครอง ทำไมถึงชอบมิซูโน่? ไม่ใช่เพราะสวยสไตล์ลิชแน่นอน เพราะอย่างที่รู้คือหลายคนไม่แลแบรนด์นี้เพราะดูยังไงมันก็เช๊ยเชย “มันไม่ใช่แบรนด์สำหรับเราอ่ะแกกก”  นีคือคำที่ได้ยินคนรอตัวพูดอยู่บ่อยๆยามที่แนะนำรองเท้าวิ่งแบรนด์นี้ให้ บอกตามตรงก็ไม่รู้ทำไมถึงชอบ คือ แว๊บแรกมองแบรนด์นี้มันไม่เคยสวยเลย มันดูญี่ปุ่นมาก แต่ก็ชอบนะ เพราะส่วนตัวไม่อินกับดีไซน์ที่อวกาศ (ฉันเป็นคนเรียบง่ายโมโนโครม) ดังนั้นเหตุผลที่ชอบคือ เมื่อยอมตัดเรื่องดีไซน์ออกไปแล้วเปิดใจซื้อคู่แรกมาใช้ ซึ่งก็คือ Mizuno Wave Spacer AR4 รองเท้าวิ่งที่เปิดโลกตระกูลรองเท้าวิ่งแบบ Racer ให้ฉัน คือ ทำให้รู้เลยว่า เฮ้ย! นี่มันรองเท้าที่สร้างมาเพื่อฉันชัดๆ น้ำหนักเบาพอดี พื้นไม่ต้องซัพพอร์ตเยอะเพราะอยากสัมผัสพื้นบ้าง แต่ก็อย่าบางเกินไปจนทรมาน และที่สำคัญคือ รองเท้าแบรนด์นี้หน้ากว้าง เหมาะกับคนเท้าบานๆอย่างเราเป็นที่สุด (อยากรู้รายละเอียดตามไปอ่านรีวิวโดยคลิกที่ชื่อรุ่นรองเท้าได้เลยค่ะ)

Wave Spacer AR4 ชอบมากขนาดที่ว่า
ปลดระวางจากการวิ่งก็เป็นเพื่อคู่ใจเอาไว้ไปเดินตะลุยโลก

หลังจากหลงรักแบรนด์นี้จากรองเท้ารุ่นนั้น ก็ทำให้แบรนด์นี้วิ่งเข้ามาในหัวเป็นแบรนด์แรกทุกครั้งที่จะซื้อรองเท้าวิ่งคู่ใหม่ เมื่อใส่พี่ชมพูคู่นั้นจนถึงวาระที่ต้องจากลา คู่ต่อมาก็คือ Wave Amulet 5 ที่ยังไม่ได้ทำรีวิวจนมันกลายเป็นรุ่นเก่า (ตอนซื้อมาใส่นี่อย่างเก๋นะ มันยังไม่มีขายในไทย ตอนนี้ขายลดราคาแล้วมั๊ง) ไว้นึกคึกจะมาเล่าให้ฟังว่ามันเป็นยังไงละกัน แต่คร่าวๆคือ ชอบ แต่มันยังไม่สุด แต่ก็ใส่มาเรื่อยๆเพราะยังไม่เจอเนื้อตู่รายใหม่ หลังจากพี่พระเครื่องก็มีนอกใจไปหา Asics บ้าง แต่ก็ซื้อมาใส่สลับกันเพราะมันยังไม่ถึงคราวบอกลาพี่พระเครื่องแต่เพราะโปรโมชั่นลด 40% มันเชิญชวนเหลือเกิน

เกือบจะถอดใจจากแบรนด์มิซูโน่ เพราะที่ไทยแบรนด์นี้ทำการตลาดได้ห่วยมาก (ขออภัยที่ออกความเห็นตรงๆแต่พี่สู้คนอื่นเค้าไม่ได้จริงๆ) ทั้งที่กระแสวิ่งในไทยคึกคักรุนแรง หลายแบรนด์คว้าเอาโอกาสตอนนี้นำรองเท้าหลากหลายรุ่นมาขาย ทำการตลาดดึงดูดลูกค้า รวมทั้งแบรนด์บ้านเดียวกันเก่าแก่อย่างเอสิคยังสร้างภาพลักษณ์ให้ดูวัยรุ่นขึ้น ดูอินเตอร์ขึ้นมาก แต่ดูพี่คนนี้นิ่งๆเฉยๆ กูอยู่ของกู จะขายเท่าที่มีอะไรแบบนั้น เมื่อตัวเลือกน้อย สินค้าไม่โดนใจ จะซื้อต้องไปญี่ปุ่นหรือสั่งออนไลน์ จึงเริ่มเบื่อ ซื้ออย่างอื่นก็ได้วะ

โอเคกลับมาที่รองเท้า.. เมื่อมีโอกาสไปเที่ยวญี่ปุ่น หนึ่งในเป้าหมายของการไปครั้งนี้ แน่นอน “ต้องซื้อรองเท้าวิ่ง” ใครที่เป็นนักวิ่ง ชอบวิ่ง ไปญี่ปุ่นแล้วไม่ซื้อรองเท้าวิ่งนี่ใจแข็งมาก คือมันสวรรค์ชัดๆ ที่ฉันซื้อมานี้เอาจริงๆก็ไม่ได้ตั้งใจนะ กะว่าเจอก็ซื้อ ไม่เจอก็ช่างมัน แต่โชคชะตาก็มักลิขิตเสมอ เกริ่นมานาน ย่อหน้าที่ 5 แล้ว ยังไม่เข้าเรื่องรองเท้าเลย งั้นเราตัดไปเรื่องรองเท้าเลยดีกว่า ทั้งนี้ บอกไว้ก่อนเหมือนทุกครั้งที่เขียนว่า หากคาดหวัง technical review ฉันไม่มีให้ค่ะ เพราไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ และเป็นผู้หญิงที่ไม่ได้อินไม่ได้แคร์กับเทคโนโลยีอะไร ถูกใจก็ซื้อ ใช้แล้วดีก็บอกว่าชอบ อยากแบ่งปันบอกเล่าแบบคนวิ่งธรรมดาๆคนนึงแบบให้มันเข้าใจง่ายๆดีกว่า

ถ่ายตอนลองที่ร้านเพื่อส่งมาให้คนที่ไทยช่วยตัดสินใจ

Mizuno Wave Emperor ไม่ใช่รักแรกพบ เพราะสีสันสุดเจ็บแสบของมันทำให้ฉันลังเลเป็นอย่างมาก ด้วยความที่ไม่ชอบสีสันจัดๆ และรองเท้าวิ่งที่ครอบครองมาทั้งชีวิตก็คุมโทนสีชมพูมาตลอด เลยตั้งใจว่าจะไม่ซื้อสีชมพูแล้วนะจ๊ะ เพราะฉันไม่ใช่ผู้หญิงสีชมพู (แต่สิ่งของเครื่องใช้นางมีสีชมพูเยอะมาก) แต่ที่ชอบในรองเท้ารุ่นนี้คือ พื้นรองเท้า ไม่รู้ว่าพื้นแบบนี้มันเรียกว่าอะไร แต่จะเจอในรองเท้าตระกูล racer เราชอบที่มันไม่ลื่น แล้วมันดูเท่ห์แบบโปรดี เมื่อพลิกดูแล้วถูกใจพื้นรองเท้า เลยลองหยิบมาสวมดู


พื้นรองเท้าแบบที่ชอบ

ความรู้สึกแรกที่ได้สัมผัส
เฮ้ย.. มันเบามาก มันคือความรู้สึกที่เคยได้จาก Wave Spacer AR4 ที่ห่างหายไปนานและหารุ่นไหนมาแทนไม่ได้สักที ความหนาของพื้น ของหน้าเท้า ส้นเท้ากำลังดี ไม่หนานุ่มเกินไป แล้วไม่บางจน barefoot หรือ minimal เกินไป หน้าเท้ากว้าง ไม่บีบ ใส่แล้วไม่รู้สึกอึดอัดเลย วัสดุไม่แข็งหยาบ ยืดหยุ่นตามเท้าดีมาก แค่ใส่แล้ววิ่งเล่นในร้านแค่นั้นใจยังจะละลาย (เวอร์ดีไหม)
เมื่อลังเลอยู่พักใหญ่ เพราะอย่างที่บอกไปว่าไม่ชอบสีสันจัดๆ แต่จากแรงเชียร์ บวกกับสีหน้าเบื่อหน้าแต่ยังยิ้มแย้มของคนขาย ที่เชียร์ให้ซื้อด้วยการหยิบนิตยสารวิ่ง ฉบับใหม่ล่าสุดมาให้ดูว่า นางแบบบนปกเล่มล่าสุดนี้ใส่คู่นี้เลยนะ ถ้าเธอใส่เธอก็เหมือนนางแบบเลย ดูรูปหน้าปกแล้วมันสวยงามมากนะ ขาเรียวยา รองเท้าโดดเด่น พาลจินตนาการถึงตัวเองว่าถ้าใส่วิ่งแล้วมีคนถ่ายรูป จะต้องเริ่ดแบบนี้แน่นๆ (แต่แกขาสั้นและตันมากนะ) สุดท้ายก็เซย์โอเค ซื้อก็ได้ ไหนๆก็ไหนๆ นี่คงไม่ใช่ครั้งแรกที่จะผิดหวังกับการซื้อรองเท้าวิ่งถ้ามันไม่ใช่

ด้วยกันครั้งแรก

ก้าวไปด้วยกันครั้งแรก
หลังจากกลับมาเมืองไทยก็หาโอกาสเอาพี่แป๋นไปลองเท้าเป็นครั้งแรก จัดไป 10 กม. บนพื้นรอบสวนลุมที่คุ้นเคย ความรู้สึกแรกที่ใส่วิ่งกับพื้นถนนมันดีมาก มันเบา สบาย พื้นรองเท้ารองรับเท้าได้ดี เป็นความรู้สึกที่ชอบโดยส่วนตัว หลังจากสสวนลุมก็พกพี่แป๋นไปชะอำ วิ่งไปด้วยกันอีก 5 กม. ก็ยังได้ความรู้สึกเดิม หลงรักเต็มๆ จนตัดสินจว่า จะใส่พี่เค้านี่แหละ ลุยจมบึงมาราธอน ใช่ค่ะ.. ใส่รองเท้าคู่ใหม่ที่เคยใส่ไปแค่ 15 กม. ไปวิ่งฟูลมาราธอน เป็นความคิดที่บ้า แต่ฉันทำมันไปแล้ว




วิ่งมาราธอนด้วยกันเราต้องเชื่อใจกัน
เมื่อไม่เคยซ้อมด้วยกันมา จะพากันไปลงสนามคงต้องใช้ความเชื่อใจล้วนๆ บอกตัวเองว่า หยิบขึ้นมาแล้วต้องเชื่อว่ามันจะไม่ทำร้ายเรา พาพี่แป๋นลุยสนามจอมบึงมาราธอน ที่ทางส่วนใหญ่เป็นถนนลาดยาง ทั้งทางหลัก ทางชนบท มีเนินบ้าง มีหินมีทรามีกราวดบ้าง โดยรวมพี่แป๋นทำหน้าที่ได้ดี ไม่รู้สึกหนักเท้าเลยแม้จะเข้าสู่กิโลเมตรที่ 30 ยังไม่รู้สึกว่ารองเท้าเป็นภาระ (การันตีด้วยน้ำหนักที่เบามากที่สุด เมื่อจับมาชั่งกันจะๆกับรองเท้าของเพื่อนๆ) จะมีก็รู้สึกเจ็บที่บริเวณนิ้วโป้งเท้าขวา เพราะรู้ตัวว่าซื้อมาผิดไซส์ ซื้อเล็กไปครึงเบอร์ พื้นรองเท้าไม่บางจนทำให้รู้สึกระบมฝ่าเท้า แม้จะวิ่งนานกว่า 5 ชั่วโมงแล้วก็ตาม วิ่งจบก็นึกขอบคุณรองเท้าในใจ ที่ไม่ทำร้ายกันสาหัสระหว่างทาง

เทียบกันหมดนี่ พี่แป๋นเบาชนะเลิศ

จะสปริ๊นท์ก็ทำได้ดี
400 เมตรก่อนเข้าเส้นชัย เป็นระยะทางที่เราวิ่งแบบสปริ๊นท์ ไม่ใช่เพราะอยากลองรองเท้า แต่เป็นเพราอยากถึงเส้นชัยจะแย่มันจะได้จบเสียที Wave Emperor ทำได้ดีกับการใส่วิ่ง pace 5 มันเบามากทำให้ยกเท้าเร่งสปีดได้สบายแม้จะวิ่งมา 41 กว่ากิโลแล้วก็ตาม พื้นรองเท้าไม่ลื่น มั่นใจได้ว่าไม่ล้มหัวฟาดแน่นอน

สภาพหลังมาราธอน ไม่ซักแต่ก็โชว์

แล้วมันเหมาะกับวิ่งทำเวลาหรือวิ่งมาราธอนล่ะ?
เอาตรงๆส่วนตัวคิดว่ารองเท้ามันเป็นแค่ส่วนหนึ่ง แต่ความสามารถของแกนั่นแหละ คือ ส่วนที่สำคัญที่สุด รองเท้ารุ่นนี้คือ racer ที่ใช้สำหรับวิ่งแข่ง วิ่งเร็ว หรือทำเวลาก็ดี เพราะมันเบา มันซัพพอร์ตในปริมาณที่จำเป็นเพราะต้องรักษาความเบา จะใส่อะไรมาเยอะๆคงไม่ได้ แต่จะเอามันไปใส่วิ่งมาราธอนก็ได้ สำหรับบางคนคงจะรู้สึกว่ามันบางไป ไม่ซัพพอร์ตเลย วิ่งยาวๆคงไม่ไหว อันนี้ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละคนเลยจริงๆ เราลองแล้ว ใส่แล้ว เราโอเคกับมันมากค่ะ แม้มันจะทำให้เท้าเราพอง แต่สำหรับเราใช่ปัญหาและเราจะไม่โทษว่าเพราะรองเท้าไม่ดี เราเชื่อว่ามันมีหลายปัจจัย เช่น วันนั้นเราเลือกถุงเท้าคู่ที่ไม่ได้เอาไว้ใส่วิ่งมาราธอนตามปกติมาใช้ และเราอาจจะซ้อมกับคุ่นี้น้อยไปเท้าเลยยังไม่ชิน
สรุปสุดท้าย



Mizuno Wave Emperor เป็นรองเท้าที่น่าสนใจและน่ารับไว้พิจารณาสำหรับคนที่ชอบรองเท้าแบบ racer ชอบรองเท้าวิ่งเบาๆ แต่ยังอยากได้การซัพพอร์ตบ้าง หรือยังไม่พร้อม ไม่ชอบวิ่งกับรองเท้าที่พื้นบางมากจนเกินไป แม้ตามคำแคลมเค้าจะบอกว่ามันเป็นรองเท้าสำหรับแข่ง แต่จะเอามาใส่ซ้อม ใส่วิ่งปกติก็คงไม่เป็นไร



รุ่นนี้วางขายที่ญี่ปุ่นเมื่อเดือนตุลาคม 2558 ทีผ่านมา ไม่รู้เหมือนกันว่ารุ่นนี้จะนำเข้ามายที่ไทยหรือไม่ จากที่ไปเดินเล่นในช้อปเมื่อเดือนมกราคม 2559 ยังไม่เห็นนะคะ ฉันไปได้คู่นี้จากร้านขายรองเท้าวิ่งชื่อว่า Steps ที่ Shimokitazawa และลอง google ก็เห็นมีขายในร้าน Mizuno ในญี่ปุ่นแล้ว สนนราคาประมาณ 13,900 เยน นี่ก็ว่าจะซื้อใหม่เพราะที่ซื้อมามันเล็กไปนิดนึง ใส่วิ่งยาวบ่อยๆคงดีต่อสุขภาพเท้า

ขอบคุณที่อ่านฉันบ่นจนจบ หวังว่าจะมีสาระ มีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะคะ


ใครสนใจรุ่นนี้ ไปทำความรู้จักเพิ่มเติมที่นี่ได้ค่ะ Mizuno Wave Emperor


Friday, February 12, 2016

[Review] รีวิวรองเท้าวิ่ง Adidas Prime Boost LTD


ไม่ได้เขียนรีวิวรองเท้าวิ่งนานแล้ว เพราะขี้เกียจบวกกับไม่ค่อยได้ซื้อรองเท้าวิ่งใหม่ค่ะ เพราะฉันเป็นคนประหยัด (แกซื้อใหม่มาสามคู่จากรีวิวสุดท้าย) แต่ก็เล็งเห็นว่ารีวิวรองเท้าวิ่งน่าจเป็นประโยชน์กับหลายคน โดยเฉพาะคนที่กำลังตัดสินใจซื้อรองเท้าวิ่งดีๆสักกคู่แต่มีไอเดียเป็นศูนย์เลยว่า จะซื้ออะไรดี ไอนั่นคนก็บอกว่าดี ไอที่เราชอบบางทีทำไมใครๆก็ไม่เชียร์

ปกติจะแชร์ประสบการณ์กับรองเท้าวิ่งผู้หญิง วันนี้ได้รับเกีรติจากหนุ่มๆมาช่วยเป็นแขกรับเชิญเพราะยังไงบิ๋มก็คงไม่มีวันได้ลองรองเท้าผู้ชายแล้วมาเม้าท์เป็นแน่แท้  อย่าเรียกรีวิวเลยดีกว่า เรียกว่ามาบอกเล่าว่าไอรองเท้ารุ่นนี้มันเป็นยังไง ที่จะมาชร์กันในรีวิวนี้ เป็นผลการทดลองใส่ ลองวิ่ง และความเห็นของหนุ่มหล่อ พี่หนึ่ง นักวิ่งที่ชอบช้อปรองเท้าวิ่งเป็นชีวิตจิตใจ จนเราทนไม่ได้ใน passion ของเค้าต้องไปรบกวนให้มาแบ่งปันความรู้สึกกับรองเท้าวิ่งที่เค้าได้ลองมา

ขอเปิดรีวิวแรกจากพี่หนึ่งด้วยรองเท้ารุ่นที่กำลังได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก อย่าง Adidas Prime Boost LTD เลยละกัน มันจะเป็นยังไง เด็ดคุ้มค่าคำเคลมหรือไม่ เชิญติดตามค่ะ


มันคือรุ่นในหนัง Avenges นั่นเอง
(ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต)

ทั้งนี้ ด้วยความที่บางคนอาจจะเวลาน้อย อยากได้เนื้อๆ เน้นๆ สั้นๆ เรพาะไม่อยากอ่านตัวหนังสือหลายบรรทัด แนะนำว่า อ่านแค่แบบสั้นพอ สำหรับใครที่ต้องการข้อมูลแน่นๆ เชิญอ่านไปเรื่องๆได้เลย




[รีวิว เวอร์ชั่นสั้น]

ยี่ห้อ: Adidas
รุ่น: Prime Boost LTD
สี: Silver
สภาพทดสอบ:
- พื้นผิวพื้นถนน
- อากาศ ชื้น ไม่มีฝน 28 องศาC
- งาน BITEC 2016
- tempo (เพส 4:30-5:30) ระยะ 5 กม
- easy (เพส 7:30-8:30) ระยะ 5 กม

หมายเหตุ: รองเท้า ซื้อเอง & ไม่ใช่ sample ที่ Adidas ให้มาเพื่อรีวิว

--------





สั้นๆเลยนะ เจ๋ง !!!

สมที่เอา 3 เทคโนโลยีที่ดีที่สุดของ Adidas มารวมกัน ใน racing ตัวนี้

ลองคิดตามอย่างนี้

1) สร้างมาจาก โครงของ ตระกูล Adios ที่ขึ้นชื่อเรื่อง เบาและเร็ว สถิติโลก 4 หนเป็นประกัน

2) เปลี่ยนเอาโฟม EVA ที่พื้นออก ใส่ Boost เข้าไป เด้งกระจายซิ

3) ผ้ายังกระด้างๆเหรอ เปลี่ยนเป็นผ้าถัก Prime Knit เลย ละมุนไปทั่ว แถมยังกระชับ

เป็นส่วนผสม ที่ลงตัว เบา ใส่สบาย

วิ่ง เนิบๆ ก็ได้ เร่ง ก็มา เร่งขึ้น เด้งดี สำหรับรองเท้าแบบ racing และ ที่สำคัญ เท่ห์มาก !!

นี่ คิดเอาเอง จากการที่เดินเล่น ใส่ทำงาน ใส่แล้วคนทัก โดยเฉพาะ ตามช้อป อาดิดาส ทักทุกร้าน

แล้วสิ่งที่ไม่ชอบล่ะ?

มีซิ แต่พอจะมองข้ามได้ถ้าเทียบกับ ข้อดี ไว้เล่าให้ฟังใน รีวิวฉบับเต็มละกัน (อ่ะ..มีกั๊ก)

--------

[รีวิว เวอร์ชั่นเต็ม]




glow in the dark

ข้อมูลเบื้องต้นของรองเท้ารุ่นนี้

เป็นตัวท็อปของรองเท้าวิ่ง Adidas (ใช่ครับ ท็อปกว่า Ultra Boost - จริงๆก็ อยู่คนละกลุ่มรองเท้าวิ่ง อันนึง comfort trainer อีกอัน racer แต่คนชอบถาม เลยเปรียบเทียบให้ดู)





เอาเทคโนโลยีที่ดีที่สุด 3 ส่วน ของ Adidas มารวมกัน

1) Adios เป็นตระกูล racing ของ Adidas
-  ดังมาจาก  Haile Gebrselassie ใช้รุ่น original สร้างสถิติโลก มาราธอนที่เร็วที่สุด
- รวมแล้ว สถิติมาราธอนที่เร็วที่สุดในโลก จาก ตระกูล Adios มาแล้ว 4 ครั้ง
- สถิติปัจจุบัน ก็เป็น รุ่น Adios Boost 2 โดย Dennis Kemetto ที่เวลา 2:02:57

2) Boost เป็น เม็ดพลาสติก เยอะๆ อัดแน่นๆ (คิดค้นโดย BASF) Adidas เอามาแทน โฟม EVA (ที่รองเท้าวิ่ง ส่วนใหญ่ใช้กัน) โดยให้ความเด้งที่มากกว่า

3) Prime Knit การทำผ้า upper ด้วยการถัก
ได้ ความยืดหยุ่น นุ่มสบาย


หมายเหตุ :
- ทั้ง Boost & Prime Knit เป็นชื่อเทคโนโลยี
- แต่ละรุ่น ก็ใช้ เทคโนโลนีพวกนี้ แตกต่างกันไป
- เช่น ความหนา/นิ่ม/เด้ง Boost แต่ละรุ่นก็ไม่จำเป็นต้องเท่ากั
- หรือ Prime Knit ของแต่ละรุ่น ก็ไม่จำเป็นต้องถักมาจากผ้าเดียวกัน/ความหนาเท่ากัน/ความรู้สึกตอนใส่เหมือนกัน

- - - - 

เปรียบเทียบ Prime Boost vs Ultra Boost

Adidas Ultra Boost

เทียบกันแบบ รองเท้าวิ่ง

1) หึ่ย จะเทียบกันจริงๆ เหรอ
- Ultra Boost นี่ มัน เป็น trainer ไว้ซ้อมวิ่ง ส่วน อยากใช้วิ่งแข่ง ก็แล้วแต่
- Prime Boost เป็น racer ไว้ใส่วันแข่ง ส่วน อยากใช้ซ้อมด้วย ก็แล้วแต่

2) Ultra Boost หนักว่าเยอะ
- วิ่งตอนขาล้า รองเท้าหนัก มีผลเยอะ
- Ultra Boost 320 กรัม/ข้าง
- Prime Boost 220 กรัม/ข้าง
- ทุกก้าว คุณต้อง ยกน้ำหนัก เพิ่ม 100 กรัม ฟังดูนิดเดียว ลองดูจิ ราว กม 30+ (เอา ผมที่ซ้อม น้อย เป็นตัวอย่าง) รู้เลย

3) พื้น Boost ของ Ultra Boost ส้นสูง + ทรงของพื้น --> ยืนแล้วหน้าจะทิ่ม & ท่าวิ่งจะดีไหมนะ

4) Boost ที่เห็นว่า หนาๆ ของ Ultra Boost น่ะ มันอยู่ตรงส้นมัน หน้าเท้า แทบจะเท่ากัน ใครใช้เดิน (ลงส้นอยู่แล้ว) น่าจะดี หรือ คนวิ่งลงส้น คงกระแทก ใส่กันสะใจเลย

5) ความ stable ของUltra Boost น้อยกว่า
- ผ้า PrimeKnit ของ Ultra Boost สบาย แต่ไม่กระชับ
- นึกภาพ เท้าเทไปซ้ายที ขวาที ในรองเท้า ระหว่างวิ่ง Ultra Boost เป็นแนวนั้นเลย
- กรงพลาสติก three strips ของ Ultra Boost ไม่กระชับอุ้งเท้า + แข็งกระด้าง (รู้สึกได้ ตอนวิ่ง)
- ส้น ของ Ultra Boost ลื้นหลุดง่าย
- Ultra Boost ไม่มีรูร้อยเชือกสำหรับทำให้ส้นกระชับ (runner's loops)
- ที่รั้งส้นรูปผีเสื้อ (โฆษณาเรียกว่างั้น) ของ Ultra Boost ไม่กระชับ แถมกระด้าง

6) Prime Boost มี Torsion (โครงพลาสติก ใต้ boost) เสริมให้ boost มี โครง ส่งแรง ดีดกลับ ได้ดี
- Ultra Boost มี แต่ ไม่รู้สึก snappy (ดีดกลับ)เท่า

7) ราคา 6,900 ของ Ultra Boost (2015) ได้มากับพื้น ที่"ห้าม"เดินผ่านพื้นเปียก (ลื่น หัวปัก ได้เลย)
- Ultra Boost รุ่น 2016 เปลี่ยนพื้น outsole แล้ว

8) Prime Boost เอาแบบมาจาก Adios Boost แล้ว เปลี่ยน ผ้าเป็นPrimeKnit
- Adios Boost เป็นรองเท้า ที่ใช้ ทำสถิติโลก มาราธอนปัจจุบัน

9) PrimeKnit ที่ใช้ใน Prime Boost บางกว่า + ยืดหยุ่น (ในจุดที่จำเป็น) กว่า + ระบายอากาศ ได้ดี
- Ultra Boost จะเป็น แบบ เสื้อกันหนาวไหมพรม มีรู ไม่ยืดหยุ่นมาก

10) อย่าเชื่อผม คนวิ่ง ระยะฟูล Ultra Boost เยอะแยะ เวลาดี มีความสุข ไปลองเอาเอง คุณแหละ ตอบตัวเองดีที่สุด

เอาไงดี เทียบแค่กับ Ados Boost พอไหม ครับ

- - - - 

เปรียบเทียบ Prime Boost vs Japan Boost


Adidas ที่มีในครอบครอง
(จากซ้ายไปขวา: Prime Boost, Japan Boost, Adios Boost)


ข้อมูลเบื้องต้น
Japan Boost 3 WD ไซส์ 9.0 US 
Prime Boost (2016) ไซส์ 9.0 US

น้ำหนัก
- แทบจะเท่ากัน +/- 10 กรัม

Outsole
- หน้าตา เหมือนกัน
- ความรู้สึกเหมือนกัน

Midsole
- หน้าตา เหมือนกัน
- ความรู้สึกเหมือนกัน

Upper
- จุดต่างหลักเลย
- JPB3 ใช้ ผ้าตาข่าย ที่บางลงจาก JPB2 จน คล้ายจะเสียทรง ตรงหน้าเท้า (vamp)  ที่จะดูยับๆตลอด & ระคายเคืองลดลง จากJPB2 แต่ยังกระด้างชนิดที่ คนที่ชอบวิ่งไม่ใส่ถุงเท้า ร้องแน่ โดยเฉพาะ ตรงลิ้น
- PB 2016 ใช้ PrimeKnit นุ่มเนียน
- PrimeKnit ที่ PB ใช้ บาง ยืดหยุ่น  และระบายอากาศ (เทียบกับ Ultra Boost)
- ลิ้น PB ก็ยังเป็น PrimeKnit
- tongue slide แทบไม่เจอ
- เชือก คล้ายกัน
- ทั้งคู่มี runners' loops

หน้าเท้า
- JPB3 กว้างกว่าเล็กน้อย เพราะเป็นรุ่นWD (หน้ากว้าง)
- PB ไม่ได้แคบ แค่ไม่กว้าง (เท่าๆกับ JPB รุ่นกว้างมาตรฐาน) ผมเท้า 2E พอใส่ได้ ใครกว้างกว่านี้ ไม่แนะนำละ

กลางเท้า
- JPB 3 = snug fit แนว racing flat ที่เจอ (ตามคาด)
- PB 2016 อธิบาย ยาก ใช้ PrimeKnit ถักถี่ๆเป็นรูป 3 stripes (ในรูปเป็น PB Avengers แต่ก็แบบเดียวกัน) เป็นโครงสร้างแทน --> เออ มันกระชับsnug & สบาย ในเวลาเดียวกัน (เจ๋งมาก ชอบ)

ส้นเท้า
- heel collar ของ PB ใช้ผ้า นุ่มสะมุนกว่า (JPB3 ก็สบาย ไม่ได้หยาบอะไร)
- heel counter นี่ส่วนต่าง หลักอีกอันเลย: ของ JPB 3 แข็ง และ โอบ ส้นเท้า รอบกว่า (ล้ำมาแทบถึงอุ้งเท้าเลย) --> heel lock ดีกว่า
- achilles dip (ตรงที่ส้นของรองเท้า โดน เอ็นร้อยหวาย) เว้ากำลังสวยทั้งคู่
- heel cup ของ JPB3 จะโน้มเข้าหา เอ็นร้อยหวาย มากกว่า
- สังเกตุจากรูป มุมบน (คอมเม้นที่แล้ว) จะเห็นพื้น Boost  สีขาว ตรงส้น ของ JPB3 ขณะที่ PB บัง พื้น Boost มิด
- ส่งผลให้ heel lock ของ JPB 3 กระชับมากกว่า (PB ก็กระชับอยู่)

- - - - 

หลายคนคงอยากรู้ หลังจากอ่านว่ามันดียังไงมาหลายนาที ว่ามาเลยดีว่าว่าเท่าไร่?
"ถ้า" เข้าเมืองไทย น่าจะราว ฿7,500 ตอนนี่เห็นที่อเมริกา $200 เทียบกับ Ultra Boost $180

จบไปแล้วกับรีวิวพร้อมเปรียบเทียบให้พอเข้าใจกันว่าสองรุ่นนี้มันแตกต่างกันยังไง ใครคันไม้คันมือ รอให้มาขายในช้อปไทยไม่ไหว ขอชี้เป้าให้ไปสอยกันเลยนะจ๊ะ เค้ามีใ้ลองให้จับจองเป็นเจ้าของที่ OUT-RUN 

Wednesday, February 3, 2016

[Race Diary] จอมบึงมาราธอน 2016: มาราธอนสนามที่ห้าพาเพลิน


ครบ 1 ปีพอดีที่ไม่ได้มาเล่าเรื่องวิ่งของตัวเอง งานวิ่งสุดท้ายที่ได้มาเขียนบล็อคเอาไว้ก็จอมบึงเมื่อปี 2015 หลายคนคงพาลคิดว่าเจ้าของพื้นที่นี้ได้ตายจากไปแล้ว เพราะดูเงียบเหงาเป่าสากมาก แต่จริงๆที่เงียบไปนี่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้วิ่งเลยนะคะ ยังวิ่งอยู่ (กล้าพูดมาก) แต่วิ่งน้อยลงมากด้วยหน้าที่การงานที่รัดตัวทำให้ไม่สามารถคึกได้อย่างเดิม (ข้ออ้างนั่นแหละ) และอันที่จริงงานวิ่งสุดท้ายที่ไปลงสนามมาก็ไม่ใช่จอมบึงซะทีเดียวนะ มีไปวิ่งเทรลยาหม่องตราเสือที่เขาใหญ่ และกรุงเทพมาราธอนด้วยนะจ๊ะ แต่ไม่ได้เม้าท์เพราะอายเขาที่ได้เกียรติ DNF เป็นสนามแรกตั้งแต่วิ่งมา

เอาความสำเร็จในอดีตมาอวด
และนี่ความช้ำชอก..ก็เอามาอวดเช่นกัน

เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า พล่ามไปมาก็คำแก้ตัวคนขี้เกียจทั้งนั้น ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ 3 ของเราแล้วที่ไปร่วมวิ่งงานจอมบึงมาราธอน ครั้งแรกคือปี 2014 ตอนนั้นเพิ่งวิ่งมาราธอนเป็นครั้งแรกในงานกรุงเทพมาราธอน เลยคิดว่าไม่อยากวิ่งมาราธอนติดกันมาเกินไป เลยเลือกลงระยะฮาล์ฟมาราธอน จำได้ว่าตอนนั้นวิ่งสนุกมาก อากาศดี และบอกกับตัวเองว่าจะต้องกลับมาวิ่งระยะมาราธอนที่นี่ให้ได้ และปี 2015 เราก็กลับไปตามที่ตั้งใจ ด้วยการลงระยะฟูลมาราธอน  ถ้าจำกันได้ ฟูลครั้งนั้นก็เป็นการไปวิ่งแบบไม่ตั้งใจ เพราะเราเพิ่งบาดเจ็บสาหัสมา สุดท้ายก็ตัดสินใจไปวิ่งในวินาทีสุดท้าย และสนุกมาก และนั่น.... คือเหตุผลที่ทำให้บอกกับตัวเองอีกครั้ง ว่าจะกลับมาซ้ำระยะมาราธอนที่นี่

คณะทรมานบันเทิง

เมื่อความแน่นอนในชีวิตคือความไม่แน่นอน ไอตอนที่ตั้งใจว่าจะไปวิ่งนั้น ชีวิตมันยังไม่มีอะไรที่คิดว่าจะทำให้รูปแบบการดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนไปแต่เมื่อมีโอกาส เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเราก็ต้องเข้าใจว่าชีวิตมันจะไม่เหมือนเดิม เนื่องจากฉันเปลี่ยนงานและช่วงแรกของการทำงานใหม่นั้นไม่สามารถจัดชีวิตตัวเองให้ลงตัวได้เลย การวิ่งเลยน้อยลงไปตามหน้าที่ที่มากขึ้น เมื่อเริ่มวิ่งน้อยมันก็เลยกลายเป็นขี้เกียจไปเลย บวกกับนิสัยไม่ดีส่วนตัวที่ไม่ชอบอะไรที่อยู่ในกระแส พอเห็นคนหันมาวิ่งกันเยอะๆ ซึ่งจริงๆมันคือหนึ่งในกระแสสังคมที่ดีมากนะ แล้วต้องมาแย่งกันสมัครวิ่ง มาสู้กับคนจำนวนเยอะๆในงานวิ่ง มันยิ่งทำให้ความรู้สึกสนุกกับโลกของการวิ่งของเราค่อยๆหายไป จนกลายเป็นว่าฉันยังวิ่งอยู่ แต่วิ่งตามโอกาสอำนวยเพื่อรักษาความฟิตที่ยากจะรักษาของตัวเองและไม่ไปวิ่งงานวิ่งแล้ว




จากที่เกริ่นไปตอนต้นว่า ก่อนจะมาวิ่งจอมบึงในครั้งนี้ งานสุดท้ายที่ฉันวิ่งคือ ฟูลมาราธอนในงานกรุงเทพมาราธอน ซึ่งทุกคนก็น่าจะสรุปความได้จากสิ่งที่ฉันพล่ามไปว่า “ฉันไม่เคยซ้อมวิ่งยาวเลย” ไม่ว่าจะเป็นก่อนกรุงเทพมาราธอน หรือก่อนจอมบึงมาราธอนในครั้งนี้ ทุกครั้งที่ลงระยะมาราธอน ยังคงหลอกตัวเองอยู่เสมอว่าตัวเองมีบุญเก่าอยู่ค่ะ ซึ่งมันคือการหลอกตัวเองจริงๆนะ ไม่มีบุญอะไรที่ช่วยได้เลยเมือ่ไม่ได้ซ้อม และแทบไม่ได้ออกมาวิ่ง ก่อนวิ่งระยะมาราธอนทุกครั้ง ระยะที่เราซ้อมได้มากที่สุดคือ 15 กม. ก่อนงานกรุงเทพมาราธอนประมาณ 1 เดือน และ 10 กม. ก่อนจอมบึงมาราธอน 1 สัปดาห์ พอเดาได้แล้วใช่ไหม ว่าฉันจะมีสภาพอย่างไรในสนามวิ่ง ....



ให้พูดตรงๆแบบไม่อาย จริงๆคือลืมว่าตัวเองจะต้องวิ่งมาราธอนในงานจอมบึง และกว่าจะจำได้ว่างานจอมบึงกำลังจะถึงแล้วก็ช่วงปีใหม่นั้นแหละ ก่อนหน้านั้นลืมทุกอย่างในโลก เพราะพาตัวเองหนีไปเที่ยวคนเดียวแบบมีความสุขมาก (ไว้มาเล่าเรื่องการเที่ยวคนเดียวครั้งแรกดีกว่า) จนลืมว่า เฮ้ยยยยย...จะวิ่งมาราธอนแล้วนะแก ครั้นจะให้ซ้อมมันก็ไม่ทันแล้ว แล้วก็เหมือนเคย ปลอบตัวเองว่า “กินบุญเก่า เราซ้อมระยะมาแล้วตอนงานกรุงเทพมาราธอนไง”

มีจัดบริการนวดไว้บริการฟรีด้วยนะเออ

โอเคมาเข้าเรื่องงานจอมบึงมาราธอนซะทีดีกว่า งานนี้ได้รับการกล่าวขานว่า “เป็นหนึ่งในสนามวิ่งที่ดีที่สุดในประเทศไทย” เห็นด้วยนะกับสิ่งที่เขาพูดกัน งานนี้จัดได้ดีมาก เป็นงานระดับอำเภอที่จัดได้ดีมากกว่างานระดับประเทศเสียอีก เรียกได้ว่าตบหน้าผู้จัดงานใหญ่ยักษ์ระดับประเทศที่เอาชื่อเสียงเมืองหลวงไปย่ำยีแล้วยังทำขายหน้าได้มากเลยทีเดียว ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปในเขตมหาวิทยาลัยฯ จนถึงเดินทางกลับ นึกอยู่ในใจตลอดนะว่า ไอคนที่เขาจัดงานระดับชาตินั่น เขาจะมาดูงานนี้บ้างไหมหนอ 

คนวิ่งเยอะ แต่บรรยากาศการรับเบอร์ไม่วุ่นวายเลย
มีการตั้งจุดรับแก้ทุกปัญหา

โอเคกลับมาที่เรื่องจอมบึง การรับเบอร์ รับเสื้อของงานนี้เป็นระบบมาก เจ้าหน้าที่ทุกคนรู้เรื่องทุกอย่างเป็นอย่างดี ทำงานได้รวดเร็วไม่มีความวุ่นวาย มีการประกาศประชาสัมพันธ์ และติดป้ายประชาสัมพันธ์สิ่งที่นักวิ่งและผู้ร่วมงานต้องรู้ไว้ตลอด มีเอกสารอธิบายทุกอย่างไว้ระเอียดมากแจกมาใน running kit ถ้าหยิบมาอ่าน ก็พูดได้ว่าเขาบอกเราแล้วทุกเรื่อง ทีเด็ดอีกอย่างของงานนี้ คือ ได้ มีการจัดกลุ่มในการปล่อยตัว โดยแบ่งเป็น A-D หรือ F ไม่แน่ใจ จัดกลุ่มตามระยะเวลาที่คิดว่าตัวเองจะวิ่งจบ ใครเป็นพวกขาแรงก็ไปก่อน จะได้ไม่เกะกะกัน ซึ่งก็เป็นการจัดระบบที่ดีนะ อยากให้งานใหญ่ๆที่มีนักวิ่งมาราธอนเยอะๆจัดแบบนี้ทุกงาน

ป้ายประชาสัมพันธ์เส้นทางการวิ่งชัดเจน


หลังจากรับเบอร์ ความรู้สึกตื่นเต้นก็มาเยือน ก่อนหน้านั้นไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่ตื่นเต้นเลยแค่คิดว่ามางานวิ่งอีกงาน วิ่งให้จบก็พอ แต่พอได้มาเจอบรรยากาศ เจอหน้าหลายๆคนที่คุ้นเคยกันทำให้รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะทุกคนดูเตรียมตัวมาพร้อมมาก แต่ฉันนี่สิยังกังวลว่าจะรอดไม่รอด เลยพาลกลายเป็นพารานอยด์มากจริงๆ พยายามจะนอนให้หลับก็นอนไม่ค่อยหลับตามประสาการเปลี่ยนที่นอน รู้ตัวอีกทีก็ตีสองแล้ว ถึงเวลาเผชิญหน้ากับมันอีกแล้วสินะ เจ้ามาราธอน
รีบพาตัวเองลุกจากเตียงเพื่อแต่งตัว เข้าห้องน้ำ เตรียมความพร้อม มื้อเช้าสำหรับมาราธอนครั้งนี้เป็นขนมปังสังขยา 2 ลูกกับน้ำเต้าหู้เวอร์จิ้น (ไม่ใส่น้ำตาล) 1 ถุงที่ซื้อมาจากตลาดนัด แล้วก็ออกเดินทางสู่จุดปล่อยตัว


ร้านครัวตะนาวศรีผู้สนับสนุนการวิ่งมาราธอนอย่างเป็นทางการ
ตลาดนัดราชรียามเย็น

บรรยากาศ ณ จุดปล่อยตัวคึกคักและดูจริงจังมาก งานนี้เค้ามีการถ่ายทอดสดด้วยนะเออ คือ เป็นงานที่โคตรบิ่งใหญ่ไปเลย หลังสัญญาณปล่อยตัวดัง ไม่มีเวลานอยด์อะไรอีกแล้วได้แต่บอกตัวเองว่าทำให้ดีที่สุด วิ่งไปได้สักพัก ยังไม่ถึง 2 กม.แรกดี โดนแซงเยอะมาก น่าจะเป็นสัก 100 คนได้ คิดในใจว่า “ทำไมนักวิ่งเดี๋ยวนี้วิ่งกันเร็วจังวะ จะรีบไปไหนมีอีกตั้งสี่สิบกว่าโลให้วิ่งนะแกกกกก” หลายคนดูท่าว่าซ้อมมาดี ดูฟอร์มดีมาก มันทำให้ฉันนึกย้อนถึงสมัยที่ฉันเป็นนักวิ่งมาราธอนที่ดี.. บางทีเราก็ไม่ควรยึดติดกับอดีตที่สวยงามเนอะ

ณ จุดปล่อยตัวที่คนเยอะมาก

ประคองตัวเองให้วิ่งไปเรื่อย และก็ต้องแปลกใจที่วิ่งได้ดีกว่าที่ตัวเองคาดไว้พอสมควร ผ่าน 10 กม.ที่เวลาประมาณ 1.10 ชม ถือว่าเป็นเวลาสำหรับ 10 กม.ที่ดีที่สุดในรอบสองปีได้ เริ่มใจชื้นยิ้มกริ่มว่าวันนี้จะต้องสวยงามแน่ๆ วิ่งไปได้อีกสักพักใหญ่ ท้องไส้เริ่มปั่นป่วน ดันมาป่วนตอนเข้าโซนไร้ส้วมแล้วด้วยสิ เจอห้องน้ำนึงเลยรีบวิ่งเข้าไป แต่กลับกลายเป็นว่าคิวยาวมาก ยืนรอสักพักรู้สึกเสียเวลา เลยตัดสินใจว่าวิ่งไปก่อนดีกว่าไปหาเอาดาบหน้า วิ่งไปอีกนิดนึง เจอบ้านที่มีธงเขียวอยู่ ซึ่งผู้จัดงานบอกว่า บ้านไหนที่มีสัญลักษณ์ธงเขียวแปลว่าสามารถไปขอเข้าห้องน้ำได้ เลยวิ่งเข้าไปทันที เจอลุงชี้ว่าส้วมหลังบ้านเลยลูก

กองเชียร์ให้กำลังมีให้ตลอดวิ่ง

แต่แล้วความรู้สึกผ่อนคลายที่จะได้ปลอดทุกข์ก็โดนทำลาย เมื่อถอดกางเกงนั่งยองๆลง และหันไปข้างๆเจอ “พี่เขียด” (ไม่แน่ใจว่าเรียกเขียดหรือเปล่า แต่มันไม่ใช่กบแน่) คุณเอ๊ย ณ สภาพถอดกางเกงไร้ทางสู้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือสะกดจิตพี่เค้า “อย่าขยับนะจ๊ะ ขอน้องปลดทุกข์เถอะ” เหมือนพี่เค้าจะเข้าใจนะก็เลยยอมอยู่นิ่งๆ แต่ชีวิตมักไม่เรียบง่ายให้สบายใจเสมอ เสร็จธุระหยิบขันตักน้ำขึ้นมา วินาทีที่เทน้ำออกจากขัน มันมีพี่เขียดกระโดดลงมา 1 ตัว หูยยย... พูดเลยยยย ช็อคมากกก สตั๊นและอึ้งทำใจไปหลายวิ และรู้ตัวเลยว่า รอบตัวมันจะต้องมีอีกเยอะ ได้แต่บอกตัวเองว่าอย่ามองไม่งั้นจะหัวใจวายตายคาส้วมคงไม่ดีแน่ พอกลับหลังหันมาจะเปิดประตูออกจากส้วมเท่านั่นแหละ คุณเอ๊ยยยย...เต็ม จัดเต็มทั้งผนังมาก กลั้นในใส่เพซสี่วิ่งออกจากส้วมกันเลยทีเดียว

งานวิ่งหนึ่งเดียวที่มีแจก "ขนมครก"

เลือดสูบฉีดจากส้วมแล้วเราก็มาตั้งสติวิ่งกันต่อไป ตั้งแต่โลที่สิบ จนเข้าส้วมและออกจากส้มมานี่วิ่งได้ดีมากนะ ยิ่งใกล้จุดกลับตัวกิโลที่ 25 นี่รักษาความเร็วได้ดีมาก อะไรไม่รู้ทำให้เราบอกตัวเองว่า “วันนี้ตายเป็นตายเจ้บเป็นเจ็บ ฉันจะเอา new PB จอมบึง” คุมให้อยู่ในช่วงเพซ 7 ได้ตลอด ดูเวลาคำนวนในหัว เราต้องจบภายใน 5 ชม.นิดๆได้แน่ๆเพราะตอนนี้เราวิ่งนำ pacer 5.30 มาตลอดทางและยังวิ่งสวยงามไปจนเกือบกิโลที่ 30 และที่นี่แหละ “พี่ตะคริว” เค้ามาหาเราอีกแล้ว


วิ่งอ้วนๆ ณ กม. 40

หลังจากตะคริวเริ่มตอด ก็ทำให้ใจสั่น ยิ่งต้องลดความเร็วลง แวะคลายเส้นถี่ขึ้นจน pacer 5.30 นำไปหลายช่วงตัวยิ่งใจเสีย แดดเริ่มร้อนขึ้น ร้อยจนเผาเหมือนอุณหภูมิ 40 องศา พี่หนึ่งหนุ่มเซอร์วิสแมนสองปีซ้อนมาประกบดูแล อัดสเปรย์และปั่นอยู่ข้างๆไม่ทิ้งไปไหน และคงจะเห็นเราเริ่มดูแย่เพราไม่พูดไม่จาเลยงัดไม้ตายแนะนำเทคนิคลดความร้อนด้วยการบอกให้เอายาหม่องป้ายที่จุดชีพจร พร้อมเอายาหม่องออกมาทาข้อมือ ข้อพับ หลังหูให้ เฮ้ยย..มันเป็นเทคนิคที่เริ่ดมาก คือ เย็นสบายอารมณ์ดีขึ้นมาเลยทีเดียว ขอให้ทุกคนนำไปใช้กันมันเจ๋งจริง

ยัง ยิ้ม ได้

ตะคริวยังไม่หายไปไหนและเริ่มหนักขึ้นจน กม.ที่ 39 แวะพักและรู้สึกไม่ไหวแล้ว ก้าวขาไม่ออกแล้ว แต่ฉันจะต้องไม่ DNF เพราะมันอีกนิดเดียวเท่านั้น หันไปบอกพี่หนึ่งว่า “ไม่ไหวแล้ว จะร้องไห้แล้ว” พี่หนึ่งบอกว่า “ถ้าร้องอย่าลืมถอดแว่นกันแดดออก คนอื่นจะได้เห็น ดราม่าดี” งอแงแค้ไหนสุดท้ายก็ต้องวิ่งอยู่ดี วิ่งไปจนไล่ทัน pacer 5.45 ที่มัวแต่ถ่ายรูป เลยบกมือไหวพี่ลุงมาดว่า ขอหนูเข้าเส้นชัยก่อนนะพี่ แล้วก็เลยวิ่งเกาะเค้ามาเรื่อยๆ




โค้งสุดท้ายก่อนเข้าม.ราชชภัฎจอมบึง หายใจลึกๆบอกว่าตัวเองว่ามันจะจบแล้ว กองเชียร์ตะโกนบอกให้สู้ๆ เลยถามเค้าไปว่าอีกไกลไหม พอได้ความว่า 400 เมตร จึงตัดสินใจเร่งสปีดเพื่อสปริ๊นท์เข้าเส้นชัย ถึงเส้ยชัยด้วย pace 5 กับเวลา 5.44 ชม. 'อีกหนึ่งสนามที่น้ำตาซึม ดีใจที่จบ ดีใจที่ทำได้ดีกว่าที่คิด ดีใจ..ที่ชนะใจตัวเองได้อีกครั้ง'




จอมบึงมาราธอนเป็นสนามวิ่งที่สนุกที่สุดในประเทศไทย สนุกเพราะกองเชียร์ สนุกเพราะน้ำใจของชาวบ้าน สนุกเพราะงานนี้ไม่มีอะไรให้หงุดหงิดใจ แต่จอมบึงมาราธอนในความทรงจำของฉันกำลังจะหายไป จอมบึงมาราธอนที่เป็นงานท้องถิ่น สนุกในแบบงานเล็กๆที่ชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจกัน แต่เมื่อจอมบึงกลายเป็นงานยิ่งใหญ่ มนตร์เสน่ห์ของจอมบึงก็ค่อยๆเลือนลางไป




คงต้องทิ้งท้ายไว้เหมือนทุกครั้ง ทุกคนวิ่งมาราธอนได้ แต่ใช่ว่าทุกคนจะวิ่งมาราธอนได้ หลังจบมาราธอนสภาพร่างกายฉันปกติดีค่ะ จะมีตึงก็แค่ 2 วันแรกจากนั้นก็สบายๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะวิ่งโดยไม่ซ้อมแล้วไม่เจ็บไม่ปวดได้เหมือนฉัน แม้จะไม่ซ้อมแต่ฉันยังวิ่งอยู่เรื่อยๆและออกกำลังกายสม่ำเสมอ แค่ทำเงียบๆ ไม่ไดออกสื่อเท่านั้นแหละน่า

ท้ายสุด .. มาราธอนไม่เคยง่าย โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ได้ซ้อม ถ้าซ้อมดีเราก็จะวิ่งสนุก แต่ไม่ซ้อมก็วิ่งสนุกไปอีกแบบนะ สนุกแบบสาหัส มาราธอนเป็น “ทรมานบันเทิง” ที่แท้จริง