Saturday, December 9, 2017

[Foot Fit Go Tri] Race Diary: Ironman Thailand 70.3 ไม่ไตรไม่รู้

ห่างหายจากการวิ่ง เราหนีไปไตรมา :)

วันนี้พูดได้แล้วว่า.. IM 70.3 IRONMAN FINISHER เลยอยากมาเล่าให้ฟังค่ะ



ย้อนกลับไปประมาณสองปีพี่ๆเพื่อนๆในแก๊งค์วิ่งเริ่มหันไปเล่นไตร จากที่วิ่งกันมาจนเบื่อ เราที่หมดใจหมดไฟกับการวิ่ง เพราะผ่านสนามวิ่งมาพอสมควร จำตัวเลขที่แน่นอนไม่ได้ แต่น่าจะ 5 full marathon, 9 half marathon และอีกหลายสิบ mini marathon พยายามตั้งเป้าเพิ่มระยะ ในใจอยากไปลอง ultra แบบใครๆดูบ้าง แต่.. ด้วยอาการบาดเจ็บที่รุนแรงมาก จนทำให้ไม่สามารถวิ่งได้เหมือนเคย หนักสุดก็แทบจะเดินไม่ได้และใช้ชีวิตลำบากเลยทีเดียว ปล่อยร่างกายให้เยียวยาตัวเอง ไปพร้อมๆกับการห่างหายจากการวิ่ง และเมื่อพอเริ่มกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ก็ตั้งใจกับตัวเองว่า จะไม่กลับไปผิดพลาดเหมือนเดิมที่วิ่งเยอะจนลืมดูแลว่าตัวเองไม่ไหว ลืมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรง และตั้งใจไว้เลยว่า จะไม่บ้าวิ่งอีกแล้ว

ตั้งแต่ช่วงที่ยังวิ่ง ได้รู้จักพี่ๆที่เค้าเป็น Ironman บ้าง ตอนนั้นรู้สึกประหลาดใจ ไอพวกทนุษย์บ้าทำไมอึดกันขนาดนั้น ตอนนั้นไม่ได้มีความรู้เกี่ยวกับไตรกีฬาหรือมนุษย์เหล็กเลย แต่ก็เคยมีความฝัน “วันหนึ่งฉันอยากเป็น Ironman” เพราชอบรอยสักเท่ห์ๆที่พี่ๆเค้าสักกันไว้ที่น่อง แต่...เราก็ยืนยันหนักแน่นมั่นคง ว่ายังไงก็จะไม่ไปไตร เพราะแม่เคยบอกไว้ว่าแค่นี้ก็พอแล้ว บวกกับไม่เคยคิดว่าจะซื้อจักรยานเพราะมันจะกลายเป็นจักรบาน ความคิดที่จะเล่นไตรจึงไม่เคยมีในหัว และฝันที่อยากเป็น Ironman คงไม่มีวันเกิดขึ้นได้

ตัดกลับมาที่ต้นปี 2017 เมื่อชีวิตมันเซ็งจนถึงจุดที่รู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอมาก เราก็เลยต้องหาอะไรทำเพื่อสร้างพลังให้ตัวเองอีกครั้ง เพื่อนๆคงใช้จุดจิตใจอ่อนแอของเรา จัดการป้ายยาซะมันเดินไปซื้อจักรยานแบบงงๆ ไม่ซื้อธรรมดานะ มันซื้อรถ Time Trial สำหรับแข่งไตรเลยจ้า ซื้อทั้งที่ไม่มีความรู้อะไรเลยเกี่ยวกับจักรยาน พร้อมประกาศมุ่งมั่นว่า ‘บบจะโกไตรไปเป็นคนเหล็ก’ ซึ่ง ณ ตอนนั้นก็ปั่นจักรยานเป็นแค่ระดับเด็กขี่เสือภูเขาหรือจักรยานแม่บ้านเท่านั้น

สมัยเพิ่งเริ่มหัดขี่จักรยาน

หลังจากวันที่มีจักรยานในครอบครอง ก็เริ่มฝึกขี่ ครั้งแรกมันไม่ง่ายเพราะมันไม่ใช่เฟสสัน! เรียกว่าเริ่มต้นใหม่จากศูนย์กับจักรยาน แต่โชคดีที่ได้โค้ชดีเลยทำให้พัฒนาการเร็วมาก เร็วแบบว่าแค่สองเดือนหลังจากซื้อคันแรก เสือหมอบคันที่สองก็ถือกำเนิดมา

เริ่มลองเล่นไตรครั้งแรกกับงาน Tri Dash ว่าย 800 ปั่น 20 วิ่ง 5 เป็นการลงสนามครั้งแรกหลังจากปั่นจักรยานมาแค่ 2 เดือนงานนี้ทำให้รู้ว่า ว่ายน้ำห่วยมากกก จากคนที่ว่ายน้ำเป็นมาทั้งชีวิต พอจะมาเล่นกีฬาจริงจังทำให้รู้ว่าที่ผ่านมาว่ายผิดว่ะ และยังอ่อนหัดกับจักรยานนัก ยังไม่เข้าใจรถ ยังเปลี่ยนเกียร์ไม่เป็น ปั่นเป็นหนูถีบจักร จบงานนั้นทำให้เรียนรู้จุดอ่อนของตัวเอง เริ่มมาตั้งสติและตั้งใจฝึกจักรยานมากขึ้น

Roackman Tri ระยะ Olympic ครั้งแรก

จาก
Dash เราก็ไปสู่สนามระยะ Olympic (ใช่ค่ะเราข้าม sprint ไปเลย) กับงาน Rockman ว่าย 1,500 ปั่น 40 วิ่ง 10 งานนี้เป็นการว่าย open water ครั้งที่ 2 ในชีวิต ก่อนจะถึงวันแข่ง ลองไปเรียน open water เพื่อลองว่ารอดไหม จากงานนี้ทำให้รู้ว่า จุดอ่อนที่แท้จริงของตัวเองคือการว่ายน้ำ ถึงกับมีคำพูดติดปากเลยทีเดียวว่า “อย่าให้บิ๋มได้ขึ้นจากน้ำ” เพราะมันว่ายช้า แต่มันจะมาไล่ทุกคนที่จักรยานและวิ่งได้เสมอ

จบงานนั้นแบบสบายๆ แต่ก็ยังมีความนอยเรื่องการว่ายน้ำอยู่มาก แล้วขบวนการป้ายยาก็เริ่มทำงานกันหนักมากอีกครั้ง ทุกคนยืนยันว่ายังไงเราก็จบ 70.3 แน่นอน สุดท้ายเลยตัดสินใจสมัคร 70.3 ที่ภูเก็ต เพราะตั้งใจว่าจะใช้เป็นสนามตัดสินใจว่าจะไปต่อหรือไม่กับระยะ full 70.3 Ironman คือสนามที่ต้องว่าย 1,900 ปั่น 90 วิ่ง 21 สนามที่คนเล่นไตรหลายคนยังลังเลที่จะสมัคร แต่ฉันกับชีวิตที่เล่นไตรมาแค่ 4 เดือนจ่ายหมื่นสองไปและคงถอนตัวไม่ทันแล้ว

Race week
1 สัปดาห์ก่อนแข่งไม่ได้ซ้อมเลย ไม่ได้ตั้งใจ taper แต่ชีวิตวุ่นวายมาก จนทำให้ไม่สามารถซ้อมได้ 2 วันก่อนเดินทางอยู่ดีๆก็เริ่มนอย กลัวว่ายน้ำไม่ได้ เครียดจนกินข้าวไม่ลงกันเลยทีเดียว

Bike check-in ยังชิลๆ


2 วันก่อนแข่งบินไปภูเก็ตเพื่อเตรียมตัว และรู้สึกตัดสินใจถูกที่เดินทางตั้งแต่วันศุกร์ (แข่งวันอาทิตย์) เพราะมีเวลาได้ดูทาง กิน นอนอย่างเต็มที่ มีเวลาได้ลองรถหลังจากประกอบและลองลงไปว่ายน้ำ รู้สึกชินพื้นที่ขึ้นมานิดนึง ยังรู้สึกว่ามาเที่ยวเล่นอยู่จนกระทั่งถึงเวลา bike check-in เริ่มรู้สึกว่าเอาจริงแล้วหรอวะ ...


Race day



Swim
รู้ว่าคือจุดอ่อนของตัวเอง เลยตัดสินใจหาครูว่ายน้ำ ช่วยได้มาก ว่ายดีขึ้น จากที่ไม่เคยรู้จักคำว่าจับน้ำก็เริ่มทำได้ ว่ายน้ำเป็นสิ่งที่ซ้อมน้อยที่สุด ว่ายแค่สัปดาห์ละครั้ง บางทีก็สองสัปดาห์ครั้ง เพราะช่วงฝนตกและการประจำเดือนเป็นอุปสรรคในการซ้อม (จริงๆคือข้ออ้าง) มั่นใจว่างานนี้อย่างน้อยต้องทันคัทออฟแน่นอน ก่อนแข่งลงไปซ้อมว่ายวันเสาร์ยังว่ายได้สบายใจ แต่แล้ว .. เช้าวันอาทิตย์เดินไปขอหมวกว่ายน้ำสีขาว สำหรับคนที่ต้องการ special attention เพราะคิดว่าใส่ไว้จะอุ่นใจมากกว่า ลงวอร์มก่อนปล่อยตัว แต่ดันลงวอร์มก่อนฟ้าสาง เลยทำให้ว่ายไม่ได้เลย ทำยังไงก็ไม่ได้ เดินกลับขึ้นมาที่หาด ยืนร้องไห้ พยายามสงบตัวเอง ยืนทำสมาธิสวดมนต์ เดินไปต่อแถวปล่อยตัวกลุ่ม 46+ พยายามพูดคุยกับคนอื่นให้ลืมๆว่านอย ถึงเวลาปล่อยตัว อยู่แทบท้ายสุด ดีที่คนไม่เยอะไม่ตีกันแล้ว ลงน้ำ 200 เมตรแรก พานิคตามเคย หาจังหวะหายใจไม่ได้ว่ายไม่ได้ ว่ายกบรัวๆ สุดท้ายเกาะพี่ผชคนนึงไป ว่ายข้างเค้าไปในเพซเดียวกันเลยว่ายรอด เจอแมงกระพรุน แสบดีแต่พอขึ้นจากน้ำมารีบเลยลืมว่าแสบ ว่ายดีกว่าที่คิด แต่ช้ากว่าที่ซ้อม ขึ้นจากน้ำมาเอาจักรยานดันเป็นตะคริวเลยต้องนั่งยืดแปบนึง จบที่ 1,900 m : 58.42 mins




Bike
เป็นสิ่งที่มั่นใจรองลงมาจากวิ่ง เพราะช่วงที่ผ่านมาเน้นหนักไปทางปั่น การซ้อมของเราคือการปั่นยาวทุกเสาร์ และซ้อมบนเทรนเนอร์อาทิตย์ละ 1-2 ครั้ง สลับระหว่างซ้อมโปรแกรมกับซ้อมปั่น zone 2 ช่วงแรกที่พื้นฐานจักรยานยังไม่ดี ก็ซ้อมแต่ zone 2 วนไป หาทุกวิถีทางทำให้สามารถอยู่บนจักรยานได้อย่างน้อย 2 ชม. 2 เดือนก่อนแข่งเป็นช่วงเห่อขึ้นเขา เลยปั่นขึ้นเขาใหญ่ 3 รอบ 3 วีคก่อนแข่งซ้อมยาวสุด 104 โลในงานแข่งจักรยาน LRT แก่งกระจาน และ 2 สัปดาห์ก่อนแข่งยังไปปั่นแข่งในงาน Bangkok Bank Cycling Fest 1 สัปดาห์ก่อนแข่งยังไปปั่นวนรอบอ่างเก็บน้ำบางพระอยู่ เรียกได้ว่า ในจำนวน 3 กิจกรรม เราให้เวลากับการซ้อมปั่นมากที่สุดแล้ว

สั่งใจสั่งขาตัวเองให้ปั่น ต้องไม่เข็น
วิวสวย ณ โลที่ 60

ตอนแรกที่เพื่อนชวนสมัครงานนี้บอกว่าทางปั่นตรงๆ ยาวๆ แต่พอประกาศเส้นทางแข่งเท่าแหละ หัวใจจะวาย ตอนยังไม่เห็นทางคิดว่าเนินก็น่าจะปั่นได้เพราะขึ้นเขามาบ้าง นอยกับทางตั้งแต่ขับรถดู ขนาดนั่งรถยังร้องตลอดทางว่า ‘เหี้ยๆๆๆๆ’ กลัวมากถึงขั้นนั่งเงียบในรถ จำชื่อนี้ไว้จนตาย ในทอน ตรีสรา นอยเพราะเคยแต่ขึ้นเขาด้วยหมอบ ไม่ใช่ TT 

ภาพตะกายเนิน
credit photo: emaphotofactory.com

คุณคนข้างๆออกไปลองปั่นให้และกลับนั่งบรีฟว่าเส้นทางเป็นยังไง พร้อมบอกว่า เข็นเถอะ .. (อ้าวเห้ย!) แต่ก็ตั้งเป้าไว้ในใจ ว่าจะไม่เอาขาแตะพื้นเสียชื่อโค้ชไม่ได้ ปั่นขึ้นทุกเนินแบบสบายๆในขณะที่หลายคนลงเข็น มีเสียงเพื่อนโค้ชที่เข็นอยู่ตะโกนไล่หลังมา ‘โค้ชดีเว้ยย ขึ้นเขาพริ้วเลย’การปั่นขึ้นทำให้แซงมาได้หลายคน ตั้งใจจะไม่ลงเข็นแต่ต้องยอมลงเข็นลงเขาเพราะเจ้าหน้าที่ถึงกับยกมือไหว้ เพื่อความปลอดภัย ปั่นปลิวๆมาตลอดทางกินเจลทุก 30 นาที จน 10 โลสุดท้ายต่อสู้กับตัวเองหนักมาก ขาไม่ไปแล้ว แต่ใจสั่งว่ามึงต้องไป มึงต้องไป พอกลับเข้าประตูลากูน่าเท่านั้นแหละไม่รู้พลังมาจากไหน ปั่นบี้มากับผชอีกคนที่พยายามไล่เค้ามาตลอดทาง สุดท้ายทำเวลาได้ตามตั้งใจคือ sub 4  ปั่นได้ดีเกินคาดโค้ชสอนมาดีจริงๆ จบที่ 90km : 3.52hr




Run
เราซ้อมวิ่งสัปดาห์ละ 1ครั้ง ซ้อมบริค ลงมาวิ่ง 5 โลหลังปั่นยาวประมาณ 3 ครั้งก่อนแข่ง ถือว่าวิ่งน้อยมากแต่ก็วิ่งอยู่เรื่อยๆ การวิ่งเป็นวิ่งที่ถนัดที่สุดแต่ที่ทำให้ไม่มั่นใจคือไม่ได้ซ้อมยาวเลย วิ่งยาวสุด 15โล 4 วีคก่อนแข่งเท่านั้น และหลังจากนั้นวิ่งไม่เคยเกิน 10 โล เพราะหลังจากวิ่งทุกครั้งจะมีอาการตึงและเจ็บในจุดที่เคยบาดเจ็บเสมอเลยไม่อยากวิ่งเร็วและไม่อยากวิ่งเยอะกลัวสภาพจะแย่ก่อนแข่ง ตั้งแต่บาดเจ็บแล้วกลับมาวิ่งอีกครั้งยังไม่เคยวิ่งเกิน 15 โลไม่รู้ว่าถ้าหลุด 15 โลไปแล้วสภาพจะเป็นอย่างไร บวกกับ 1 เดือนก่อนแข่งนั้น ทุกครั้งที่ไปวิ่งจะเป็นตะคริวทุกครั้ง


เส้นทางวิ่งวนในลากูน่า

ตามแผนคือจะค่อยๆวิ่งห้ามเร็ว และห้ามช้ากว่าเพซ 8 พอได้ลงมาวิ่งก็วิ่งแบบอารมณ์ดีเพราะมั่นใจว่ายังไงก็จบแน่ๆแล้ว ความโชคดีคือวันแข่งไม่มีแดดเลย ร้อนแบบทนได้ วิ่งไปเอาน้ำราดตัวไปไม่ร้อนก็ราดเพราะจะได้อารมณ์ดีสบายใจไม่เครียด ไล่เก็บคนตามทางวิ่งเช่นเคย ทำได้ตามที่ตั้งใจว่าจะไม่เดินเลย เหนื่อย เหนื่อยมาก เจลที่พกมา 4 ซองหล่นหายไป 2 ตอนไหนก็ไม่รู้ แพลนที่ต้องกินทุก 30 นาทีเลยรวนๆ สิ่งที่สะกดจิตตัวเอง
ตลอด 21 โลคือการท่องประโยคนี้ในหัว ‘มึงทำได้บิ๋ม มึงแค่ต้องไม่หยุด’ วนอยู่ในใจเหมือนคนบ้า เจอโค้ชปั่นมา ดีใจมากกกกก มีพลังขึ้นนิดนึง แต่แล้ว.. ที่โล 18 ปีศาจมา ตะคริวขึ้นสองขา พอขยับแขนเพื่อยืดตัว ตะคริวเกาะไหลและอกซีกขวาทันนี้ ตอนนั้นใจเสียแล้ว อีกแค่ 3 โล ไม่เอาดิวะ เลยกลับไปสะกดจิตตัวเองเหมือนเดิม รู้ตัวว่าหยุดไม่ได้ ถ้าหยุดคือจบ วิ่งต่อไม่ได้แล้ว ท่องวนไปเรื่อย ‘มึงทำได้บิ๋ม’ กลับตัวสุดท้ายก่อนเข้าเส้น เจอโค้ชจอดรออยู่เลยตะโกนบอกว่า ‘จบแล้วววว ไปรอเลยยยย’ จบที่ 21 km : 2.27 hrs

ตอนวิ่งร่าเริ่งมาก .. รอดแน่แล้ว

ระหว่างแข่งมีความคิดมากมายวิ่งเข้ามาตีกันในหัว ตั้งแต่ฉันมาทำอะไรที่นี่ เหนื่อยไหมสิ่งที่เธอทำอยู่ ทำไปแล้วได้อะไร อะไรพาให้ฉันมาทำสิ่งนี่อยู่ตรงนี้ แข่งจบแล้วเราจะโพสเฟสบุคว่าอะไรดีนะ นึกยิ้มกับตัวเองว่าเราทำอีกสิ่งที่ challenge ตัวเองได้แล้ว แต่ก็นึกสมเพชตัวเองที่ทำไมต้องเหนื่อยพิสูจน์ตัวเองว่าแนเป็นคนแกร่งทั้งๆที่ข้างในช่างเปราะบาง



แต่..นาทีก่อนถึงเส้นชัย หลังจากอยู่ในสนามแข่งมา 7.30 ชม. นาทีนั้นไม่คิดอะไรเลย นอกจากว่า ‘กูจบแล้ววววว’ ตั้งหน้าตั้งตาวิ่ง มีคนตะโกนเชียร์ตลอดทาง ร้องโว้ยๆๆๆๆไปตลอดทางเช่นกัน จะได้กินข้าวแล้วว ไม่ต้องกินเจลแล้ววว

เล่นไตรสนุกไหม .. เล่นมาแค่สองงาน ซ้อมมั่วๆมาประมาณ 6 เดือน ตอบได้ว่าสนุกดีนะ เพราะมันต้องซ้อมสามอย่างเลยเลือกทำให้ไม่เบื่อได้ วันที่ขี้เกียจปั่น เราก็จะหนีไปวิ่ง วันที่ไม่อยากว่าย เราก็ไปปั่น แต่การสลับแบบนี้ทำได้เพราะเราไม่มีตารางซ้อมที่แน่นอน แค่รู้ว่าใน 1 สัปดาห์จะต้องทำอะไรบ้าง วันที่สะดวกก็ไปทำแค่นั้น ตามสไตล์บิ๋มบิ๋มตั้งแต่สมัยวิ่ง ไม่ชอบการมีโค้ช มีกฎเกณฑ์ยังไง ตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น มันเลยไม่ค่อยไปไหนได้ไกลไง

พอจบระยะ 70.3 ความคิดที่จะลง full Ironman ก็หายไป บางคนก็บอกว่าเราเพิ่มระยะเร็วไปอาจทำให้เบื่อเร็ว น่าจะค่อยเป็นค่อยไป แต่เราคิดว่ามันไม่ได้อยู่ที่การเพิ่มระยะช้าหรือเร็ว แต่เป็นความเหนื่อยจากการซ้อม และเวลาที่ต้องทุ่มเทไปกับการซ้อมที่ทำให้เรายังไม่อยากหันมาเอาจริงเอาจังกับไตรกีฬามากกว่า นับถือคนทำงานออฟฟิศที่สามารถเอาจริงเอาจังกับการเล่นกีฬาได้ 

แต่ถ้าใครกำลังเบื่อกับการวิ่ง หรือการทำกิจกรรมอย่างเดียว อยากให้ลองดูนะ มันท้าทายดี อย่างน้อยก็สักครั้งในชีวิตให้เอาไว้โม้ได้ เชื่อเหอะว่าคุณทำได้ เราลองมาแล้ว J จริงๆ ือการทำกิจกรรมอย่างเดียว อยากให้ลองดูนะ มันท้าทายดี และบอกได้เลยว่า ไตรกีฬานี่ไม่มีแต้มบุญเก่า ซ


Tuesday, June 20, 2017

[Foot Fit Go Tri] ครั้งแรกกับการว่ายน้ำแบบ Open Water

ตั้งแต่ตัดสินใจพาตัวเองเข้าสู่โลกคนบ้าหรือไตรกีฬา โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ “ฉันจะเป็น Ironman” ก็เริ่มตั้งสติวางแผนคิดว่าฉันจะต้องเริ่มอย่างไรดี นอกจากการวิ่งแล้ว อุปกรณ์สำหรับกิจกรรมประเภทอื่นๆเราแทบไม่มีเลย อย่างแรกที่ทำเพื่อมัดมือชกตัวเองไม่ให้เปลี่ยนใจจากเป้าหมายนี้คือ “การซื้อจักรยาน” หลังจากขายไตซื้อจักรยานแล้ว มานั่งคิดว่ายังขาดอะไรอีกเพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมกับการจะไปเป็นนักไตรกีฬากับเขาบ้าง คงเป็นสกิลการว่ายน้ำแบบ Open Water ที่ไม่เคยมี และไม่เคยคิดว่าจะต้องทำ



แต่เมื่อตัดสินใจจะเล่นไตรกีฬา หนึ่งในสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้คือการต้องว่ายน้ำทะเล ดังนั้นเพื่อเป็นการก้าวข้ามผ่านความกลัวของตัวเอง และอยากรู้ว่าเราจะชอบไหมกับการต้องว่ายน้ำแบบนี้ เผื่อถ้าไม่ชอบจะได้ตัดเป้าหมายนี้ออกจากชีวิตไป เลยเลือกสมัครลงเรียนว่ายน้ำแบบ Open Water โดยได้รับการแนะนำจากสองเพื่อนสาวศิษย์จ่าโอ

คอร์สเรียน Open Water ของ Sport Buddy จะแบ่งเป็นรุ่น แต่ละรุ่นจะเปิดรับจำนวนจำกัด เราเป็นเด็กรุ่น 44 ตอนสมัครไปนี่ก็ไม่ได้มีความรู้อะไรเลย แค่เพื่อนส่งมาว่าอันนี้แหละที่แกต้องไปเรียน ก็จัดการสมัครไปทันทีเพราะกลัวตัวเองเปลี่ยนใจ (ตีเหล็กมันต้องตีตอนร้อน) หลังจากสมัครเรียบร้อย ก็จะได้รับการ invite เข้า Group LINE ที่มี note แจ้งรายละเอียดการเรียนและสถานที่นัดพบคร่าวๆ



คอร์สเรียนแบ่งเป็นสองวัน บ่ายวันเสาร์จะเป็นการลงสระ และเช้าวันอาทิตย์จะเป็นการลงทะเล รอบของเรามีสมาชิกไม่มาก วันเรียนมีนักเรียนในรุ่นรวม 5 คน โดยมีเราเป็นผู้หญิงคนเดียว สวยสุดในสระเลยทีนี้ หลังจากการแนะนำตัวพอหอมปากหอมคอ ก็เริ่มด้วยการเรียนรู้ทฤษฎีกันเบื้องต้น ทั้งท่าว่ายน้ำที่ถูกต้อง การใช้แขน การตีขา และก็ถึงเวลาลงสระ




เริ่มด้วยการสั่งให้ว่ายวอร์ม คนละ 200 เมตร ปกติก็ว่ายได้เป็นกิโลเลยไม่ได้หวั่นใจ แต่.. ปกติว่ายแต่สระ 25 เมตร พอมาเจอสระ 50 เมตรนี่ก็เหนื่อยใช่เล่นเหมือนกัน จากนั้นก็เริ่มการเรียนจริงจังด้วยการฝึกท่า drill และครูก็จะประกบดูรายคนเลยทีเดียว




ด้วยความที่เราว่ายน้ำมาตั้งแต่เด็ก เรียกได้ว่าสมัยเด็กๆนี่ว่ายน้ำจริงจังมาก จนแทบจะไปคัดตัวเป็นนักกีฬาอยู่แล้ว แต่พอโตขึ้นมันก็เลิกไปเอง โดยจำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอะไรทำให้เราเลิกว่ายน้ำ ดังนั้น เรามั่นใจมาตลอดว่าเราเป็นคนว่ายน้ำเป็น ว่ายได้ แต่ .. การมาเรียนครั้งนี้ทำให้เราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่หมด ความมั่นใจที่เคยมีหายไปหมดสิ้น เพราะโดนแก้ตั้งแต่ก้มหน้า ให้ยกศอกไม่ใช่ดึงศอก ตีขาด้วยสะโพกไม่ใช้จากต้นขา มือไม่งุ้มเอามือพายสิ เอาเป็นว่าโดนครูทั้งจิก ทั้งดุ ทั้งส่ายหัวตลอดเวลา





จากนั้นจะเป็นการสอนการเอาตัวรอดในน้ำ ทั้งการลอยตัวเพื่อพักเหนื่อย หรือจะเอาไว้ลอยยามต้องรอความช่วยเหลือหรือหลบข้าศึกก็ได้ การช่วยเหลือตัวเองยามเป็นตะคริวในน้ำ แล้วก็การเอาตัวรอดยามไปแข่งแล้วต้องเจอคนมา attack สรุปแล้วก็ได้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้เยอะพอควร แม้จะต้องทนตากแดดในสระว่ายน้ำยามบ่ายก็ตาม




วันอาทิตย์ วัน D-Day วันที่ทุกคนจะต้องไปเปิดประสบการณ์การว่าย Open Water นัดกัน 05.45 น. ณ หาดดงตาล ฐานทัพเรือสัตหีบ สำหรับเรามันคือครั้งแรก แต่สำหรับคนอื่นน่าจะไม่ใช่ เพราะดูจากความคึกกลบเกลื่อนความนอยแล้ว เราน่าจะมีเยอะกว่าคนอื่น ต้องเกริ่นก่อนว่า เราเป็นคนไม่ชอบน้ำทะเลเอามากๆ ไม่รู้ว่าตัวเองกลัวหรือเปล่า แต่จากที่เคยไปดำน้ำแบบ snorkeling มาก็สามารถทำได้แต่แค่ไม่เอนจอยกับการอยู่เวิ้งว้างในทะเลที่มองไม่เห็นอะไร และรู้สึกขยะแขยงทุกครั้งที่ต้องลงน้ำทะเลเพราะมักจะคันคะเยอเสมอ เลยฝังใจว่า “ฉันเป็นคนเกลียดการเล่นน้ำทะเล”




พวกเราเรียนเทคนิคต่างๆมาเมื่อวานแล้ว วันนี้จึงไม่มีการบรีฟอะไรมาก ทีมครูดูชิลมาก จัดเตรียมน้ำ ขนม ข้าวต้มมัด ข้าวเหนียวหมูปิ้งไว้ให้พร้อม พอฟ้าเริ่มสว่างก็บอกว่าเอาล่ะ มาวอร์มเตรียมตัว เสร็จแล้วก็สั่งให้ว่ายวอร์ม 100 เมตร.. ค่ะ ว่ายเลย เราก็ทำใจดีสู้เสือ เอาก็เอาวะ วิ่งไปขอกำลังใจคุณคนข้างๆที่ทำหน้าไม่เข้าใจว่าตื่นเต้นทำไม แล้วเดินงกๆเงิ่นๆแบบระวังลื่นสุดชีวิตลงทะเลไป สูดหายใจลึกๆแล้วจ้วง  เสร็จสิ้น 100 เมตร กลับเข้ามา วิ่งไปหาคุณคนข้างๆพร้อมบอกว่า “เค้าว่าเค้าไม่โอเคว่ะ” .. “ว่ายน้ำแรกๆมันก็เหนื่อยป่ะ เดี๋ยวก็โอเค” .. เออ ก็ได้วะ




หลังจากวอร์ม ครูให้พักบันเทิงใจ แล้วสั่งว่า เดี๋ยวเราจะว่ายไปที่ทุ่นส้มนั้น ระยะทาง 300 เมตร ไปแล้วกลับเลยนะ ทุ่นส้มผ่านไปด้วยดี ความตื่นเต้นมันมาตรงทุ่น 13 นี่แหละ มองไกลลับตาแทบไม่เห็น กับระยะทาง 700 เมตรจากฝั่ง รอบแรกไปถึงเราจะแวะถ่ายรูปและฝึกลอยตัวกัน ได้รับบรีฟมาตามนี้ และทุกคนก็ออกเดินทาง




ทุ่น 13 มันไกลมาก ว่ายเท่าไหร่ก็รู้สึกว่าไปไม่ถึงสักที อยู่ดีๆก็มีครูโผล่มาข้างๆบอกให้หยุด แล้วบอกว่า เห็นมั๊ยว่าเป้าเราอยู่ที่ไหน คือ เราว่ายออกนอกเส้นทางมาซะเสียทิศเลย ครูเลยบอกว่า “ให้เปลี่ยนเป็นท่ากบทุก 10-15 stroke เพื่อดูทางนะ” กว่าจะพาตัวเองกลับเข้าเส้นทางได้ก็เล่นเอาเหนื่อย เข้าใจแล้วว่าการหลงทิศแล้วเพิ่มระยะให้ตัวเองนี่มันโง่ชัดๆ สุดท้ายก็พาตัวเองไปถ่ายรูปคู่กับทุ่นได้สำเร็จ ขากลับไม่แย่มาก เพราะใจมันบอกว่าเรากำลังจะกลับ บวกกับทิศทางคลื่นที่ช่วยพัดเราเข้าไปด้วย ขึ้นฝั่งมาพัก รอบนี้คงจะใช้พลังงานไปมาก เลยจัดหมูปิ้งกับสัปปะรดล้างเค็มในปากซะอิ่ม




การว่ายรอบสุดท้าย ครูให้ทุกคนตกลงกันเองว่าจะไปทุ่นไหน พวกเรามองหน้ากันอึกอัก แล้วก็พูดออกมาเท่ห์ๆว่า ไปทุ่นไกลก็ได้ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว นั่นสิ .. ใครมันจะกล้าพูดออกมาว่า ขออันใกล้สุดค่ะพี่ แต่รอบนี้โจทย์คือให้ไป แล้วกลับเลย ไม่มีแวะพัก ไม่ให้แวะคุยกัน สูดลมหายใจแล้วพาตัวเองออกไป อาจเพราะความเหนื่อยจากการที่ว่ายมาหลายรอบ รอบนี้เรารู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยมาก เวิ้งว้าง อ้างว้างกลางทะเลสุดๆ จุดหมายมันไกล ไกลจนมองไม่เห็น คลื่นมันก็มาตลอด (ก็แกอยู่ในทะเล) ทั้งต่อสู้กับคลื่น กับจิตใจตัวเองตลอดทาง พอเริ่มเหนื่อย ท่าก็พัง แล้วก็เริ่มจินตนาการถึงสิ่งที่ตามองไม่เห็นในน้ำ กระพรุนก็กลัว เอ้ยแล้วเงาดำๆที่หางตานั่นอะไร




บางช่วงที่ท้อจนจิตหลุดกลางทะเล ถามตัวเองว่า 'กูมาทำอะไรที่นี่?' แล้วก็เกือบยกมือขอความช่วยเหลือ แต่ .. สติที่ยังพอมีรีบบอกตัวเองว่า 'มึงอยากเป็น Ironman ไงบิ๋ม'


การลอยตัวในทะเล

สุดท้ายพาตัวเองกลับเข้าฝั่งได้สำเร็จ 1.4 กม. รอบแรกเราใช้เวลาไป 44.57 นาที แต่รอบที่สองใช้เวลาไป 49.54 นาที ยังถือว่าว่ายช้าอยู่มาก ต้องพัฒนาตัวเองอีกเยอะ แต่ยิ้มให้ตัวเองเบาๆ ที่กล้าเอาชนะความกลัวของตัวเอง

สรุปแล้วว่า คอร์สเรียน Open Water กับ Sport Buddy สนุกดี เหมาะสำหรับใครที่คิดจะเล่นไตร หรืออยากลองว่าย Open Water ดูแต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ลอง หรืออยากมาลองเพราะอยากรู้ว่าตัวเองจะชอบไหมก็ได้ ที่เราว่าดีก็เพราะบุคคลากรและทีมที่พร้อมมาก ทีมจ่าโอและทีมครูทุกคนเป็นทหารเรือ ดังนั้นมั่นใจได้ว่า ชีวิตเราไม่อันตรายแน่นอน (แต่ก็ต้องมีสติเอาตัวรอดกันด้วยนะจ๊ะ) ตลอดการว่ายออกทะเล ทีมครูคอยดูแลดีมาก ทั้งว่ายประกบ ทั้งมีเรือเร็ว เรือแคนู และรถพยาบาลรอบนฝั่งพร้อม

การว่ายน้ำทะเลมันไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ครูบอกว่า “ในทะเลมันไม่มีอะไรหรอก เราคิดไปเองทั้งนั้น” ไม่รู้ว่าครูพูดเพื่อให้ไม่กลัว หรือเพราะทุกอย่างมันอยู่ที่จิตและใจของเราจริงๆ แต่เชื่อเถอะ เราทำได้ ทุกคนก็ทำได้ ไม่ลองจะรู้ได้ไง :)


Friday, April 7, 2017

[Foot Fit Journey] เรื่องเล่าจาก Everest Base Camp Trekking: Day 9 Kalapathar - Pangboche

 “โบกมือลา Everest Base Camp

[25 ธันวาคม 2559] Kalapathar (5,550m) Gorakshep (5,164m) – Pangboche (3,985m)




เข้านอนตั้งแต่ทุ่มนึง นอนร้องไห้ขี้มูกโป่งเพราะตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเอาอย่างไรกับชีวิตดี ตื่นตั้งแต่กลางดึกเพราะเสียงลมพัดแรงมาก (จริงๆการนอนไม่หลับบนระดับความสูงนี้คือเรื่องที่เกิดขึ้นได้เป็นปกตินะ) รู้ได้เลยว่าข้างนอกที่มันหายนะชัดๆ ตอนนั้นในหัวคิดวา “ให้กูออกไปเดินในสภาพอากาศแบบนี้น่ะหรอ นรกชัดๆ” เลยทำให้ยิ่งนอนไม่หลับเพราะมัวแต่คิดว่าเอายังไงดี จะไม่ขึ้นยอด Kalapathar แล้วนอนต่อเพื่อเก็บแรงแล้วไปอีกสองที่ที่เหลือ หรือจะเป็นไงเป็นกัน หรือ .. จะกลับบ้าน




สุดท้าย .. ลุกขึ้นมาตอนตีสาม จัดการเก็บของ แพคทุกอย่างลงกระเป๋า แต่งตัวเพื่อออกไปขึ้น Kalapathar ใส่ทุกอย่างที่จะทำให้ตัวเองอุ่นที่สุด จนตัวกลมดิ๊ก จำได้เลยว่าวันนั้นใส่ถุงเท้าไปสามชั้น แทบขยับนิ้วเท้าไม่ได้เลยทีเดียว เปิดประตูห้องนอนเดินออกไปห้องรับแขกเพื่อรอประกาศ หนาวมาก หนาวจนต้องทบทวนตัวเองว่านี่กูทำอะไรอยู่ หนาวจนต้องถามตัวเองว่า "นี่มึงบ้ารึเปล่า?"  ตอนนั้นรู้แล้วว่ายังไงก็ต้องไม่รอดแน่ๆ พอเปิดประตูโรงแรมออกไป หันไปถามประกาศว่า นี่มันกี่องศา ทำไมหนาวขนาดนี้ ประกาศบอกว่า "-20" นี่เราจะมีชีวิตรอดจริงๆเหรอ...


สภาพทางเดินขึ้นที่ถ่ายตอนฟ้าสว่างแล้ว

นอกจากเรากับประกาศแล้ว มีฝรั่งอีก 3 คนที่ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว ลมแรงมาก แรงจนแทบไม่ต้องเดินลมก็สามารถพัดตัวเราให้เคลื่อนที่ได้ ลมแรง หนวมาก สบถไปจนตลอดทาง เดินไปก็โวยวายไป ไม่เอาแล้ว เราไม่อยากทำสิ่งนี้แล้ว สุดท้ายบอกไกด์ว่า เราเดินไม่ไหวแล้วมันหนาว ไกด์เสนอทางเลือกสองทาง “เดินลง” หรือ “รออยู่ตรงนี้ อีก 1 ชม.พระอาทิตย์ก็ขึ้นแล้ว” ณ ตอนนั้นทางเลือกทั้งสองอย่างนี้แย่ทั้งคู่ ให้เดินลงก็เสียดายที่อุตส่าห์ตะกายขึ้นมา แต่ถ้าจะให้หยุดรอตรงนี้คงจะแข็งตายแน่ๆ

รูปคู่ที่ดีที่สุดของเรากับ Everest

พยายามค่อยๆเดินต่อ แต่รู้สึกปวดมือมากเลยก้มลงมองมือตัวเอง สิ่งที่เห็นทำให้เราแทบช็อค ถุงมือเรามีน้ำแข็งเกาะเต็มไปหมด เพราเราดันทำน้ำหกใส่ถุงมือก่อนออกมา ประกาศบอกให้เราถอดออกซะก่อนมือจะแข็งตาย แล้วก็ถอดถุงมือตัวเองออกมาให้เราใส่ หล่อขึ้นมาทันที

สุดท้าย.. เราไม่สามารถทนกับแรงลมและความหนาวระดับ -20 องศาได้อีกต่อไป เลยตะโกนบอกไกด์ว่า “No more! I cannot move and will not move!” สิ่งทิ่คิดและรู้สึกตอนนั้นคือ ฉันจะมาตายตรงนี้ไม่ได้ มันเหนื่อย หายใจไม่ออกจนแทบจะขาดใจจริงๆ ประกาศคงรู้แล้วว่า ณ จุดนั้นเราไม่ไหวแล้ว เพราะปากเราม่วงหมดแล้ว (เค้ามาบอกเราทีหลังว่ารู้ว่าเราไม่ไหวเพราะอะไร) เค้าเลยบอกว่า โอเค ยูหันหลังกลับมาสิ


แสงแรกของวันบนยอดเขา Everest



ภาพที่เห็นคือแสงแรกบนยอดเขาเอเวอร์เรสต์ มันมหัศจรรย์มาก การได้เห็นภาพนี้ด้วยตาของตัวเองมันสวยงามกว่าที่เคยเห็นในภาพถ่ายมาก เราอึ้งกับภาพที่เราเห็นจนน้ำตาคลอ ประกาศบอกว่า ดูวิวตรงนี้ก็ได้ ขึ้นไปก็เห็นภาพไม่ต่างกันแล้ว ภาพตรงหน้าสวยมากแต่เราไม่สามารถกดชัตเตอร์ถ่ายภาพได้เพราะมือแข็งไปหมด ไกด์บอกว่า ตอนนี้ยูอยู่ที่ 5,500 เมตรแล้วนะ ความสูงที่ยูทำได้สำหรับทริปนี้ (ขาดอีกแค่ 50 ม. เราก็ไปไม่ถึง นี่มารู้ทีหลังนะว่าขาดอีกแค่ 50 ม. ไม่งั้นคงจะพยายามขึ้นไป ทำไมแกไม่บอกชั้นตั้งแต่บนเขาวะ)


โบกมือลาเอเวอร์เรสต์

ตลอดทางที่เราเดินขึ้น Kalapathar เราคุยกับตัวเองและทำให้ตัดสินใจว่า เราพอแค่นี้เถอะ เราใช้ชีวิตเกินขีดจำกัดตัวเรามากเกินไปแล้ว ถ้าเราไปต่อตามที่ตั้งใจเราจะไม่สนุกแล้ว รอให้ร่างกายและใจพร้อมค่อยไปจะดีกว่า

ระหว่างเดินลง เราบอกกับประกาศว่า เราตัดสินใจแล้วว่าเราจะไม่ไปต่อ “เราอยากกลับบ้าน และเราจะกลับบ้าน” พอพูดคำนี้ออกไป เรายิ้มและมีความสุขขึ้นทันที เราได้เห็นสิ่งที่เราอยากเห็นแล้ว และคิดว่าพอแล้ว ถ้าไปต่อเราจะไม่สนุกกับมันแล้ว ร่างกายเราพอแล้ว และใจเราสู้มาจนสุดแล้ว

ประกาศหันมายิ้ม แล้วบอกว่า “โอเค เรากลับบ้านกัน”

แล้วเราก็..โบกมือลาเอเวอร์เรสต์กัน

.......


เฮลิคอปเตอร์กู้ภัย

ก่อนที่เราจะออกจากโรงแรมก็มีเรื่องน่าตื่นเต้น เป็นครั้งแรกที่เห็นการกู้ภัยด้วยเฮลิคอปเตอร์ เด็กหนุ่มกลุ่มนึงที่เดินขึ้นมาพร้อมๆกันนี่แหละ เป็นกลุ่มวัยรุ่นที่มีอีเนอร์จี้มาก สุดท้ายด้วยความบ้าพลังของพวกเขานี่แหละเลยทำร้ายตัวพกเขาเอง น้องๆเดินจาก Lobuche ไป EBC เลยโดยไม่หยุดพักที่ Gorakshep ก่อน ตอนแรกก็ปกติดี อยู่ดีๆคนนึงดันมีอาการ stroke .. คงจะจริงอย่างที่เค้าว่า อย่าซ่าบนภูเขา ภูเขาไม่เคยปราณีใคร


หลายคนที่ขึ้นมาแล้วไม่ได้กลับลงไป

ตลอดทางเดินลง ทุกคนต่างทักทายกันด้วยคำว่า “Merry Christmas” อากาศเย็นมาก ลมแรงตลอดทาง หิมาลัยคงอยากให้ของขวัญคริสต์มาสกับทุกคน จากการหยุดพูดคุยกันได้ความว่า วันสองวันที่ผ่านมาที่นัมเชและลุกลาหิมะตกหนักมาก อากาศเปลี่ยนแปลงเร็วจริงๆ เมื่อวานเราโชคดีมากที่สามารถไปถึง base camp ได้พร้อมกับอากาศดีๆ และตลอดทางที่เราเดินนั้นอากาศดีมาก แต่วันนี้ ขาลงอากาศเปลี่ยนจนรู้สึกได้ หนาวขึ้นมาก สลับกับมีหิมะตกบ้างประปราย ขอบคุณหิมาลัย ที่เป็นใจกับเรา ประกาศบอกว่า วันนี้อากาศแย่จริงๆ เค้าไม่เคยขึ้น Kalapathar แล้วเจอลมแรงขนาดนี้ เช้านั้นมีแค่กลุ่มฝรั่ง 3 คนนั้นที่ขึ้นถึง นอกนั้นไม่มีใครขึ้นสำเร็จเลย




ตลอดทางเดินลงวันนี้ เราเริงร่ามาก อารมณ์ดีเหมือนอลิซวิ่งเล่นในดินแดนมหัศจรรย์ สิ่งที่กังวลทั้งหมดหายไป เรากำลังจะกลับบ้านแล้ว


ให้รางวัลตัวเองเป็นแกงเขียวหวานทูน่า โคตรอร่อย!

ลงมาถึงระดับ 4,000 ม. กลับมาพักโรงแรมเดิม และยังเป็นลูกค้าคนเดียวของโรงแรมนี้เช่นเคย รู้สึกดีขึ้นมาก เริ่มกินได้และอารมณ์ดีขึ้น ความสูงมันมีผลกับคนระดับน้ำทะเลอย่างเราจริงๆ 

Saturday, March 11, 2017

[Foot Fit Journey] เรื่องเล่าจาก Everest Base Camp Trekking: Day 8 Lobuche – Gorakshep - EBC

 “วันที่เหยียบ Everest Base Camp

[24 ธันวาคม 2559] Lobuche (5,000m) – Gorakshep (5,164m) – Everest Base Camp (5,364m)




วันคริสต์มาสอีฟ เลยรู้สึกสดใสเป็นพิเศษ เราออกเดินทางจาก Lobuche ประมาณ 8 โมงเพื่อไปให้ถึง Gorakshep ก่อนเที่ยง จะได้พักกินข้าวแล้วค่อยเดินต่อไป EBC ในตอนบ่าย วันนี้จะเป็นวันที่เราถึงจุดหมายของเราแล้ว นั่นก็คือ Everest Base Camp เลยทำให้วันนี้รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ ลืมอาการเหนื่อย อาการล้าไปได้ชั่วขณะ

เมื่อคืนนอนหลับไม่ค่อยสนิท ซึ่งไกด์กมาบ่นให้ฟังว่าทุกครั้งที่มาพักที่นี่เค้าจะนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเริ่มอยู่ในระดับความสูงที่มากกันแล้ว ก็จริงนะ ตั้งแต่เดินขึ้นสูงมาเรื่อยๆ แม้จะเหนื่อยแค่ไหนเราก็จะหลับไม่สนิท มันจะหลับๆตื่นๆตลอดคืน แต่ก็ต้องพยายามบังคับตัวเองให้นอนให้ได้ เพราะรู้ว่ามีระยะทางยาวไกลรอเราอยู่ในวันรุ่งขึ้น


ทางเดินไป Gorakshep

อาจจะด้วยเพราะความสูง และการที่หลับไม่ค่อยเพียงพอ ทำให้เราไม่ค่อยอยากอาหาร เรากินน้อยลงมาก และบางทีก็เลือกที่จะไม่กินอะไรเลยในตอนเช้า เพราะกินไม่ไหวจริงๆ มันยากที่จะกลืนอะไรลงคอทั้งนั้น และพอไม่กิน มันก็ทำให้ระหว่างทางเดินไม่มีแรง บางครั้งรู้สึกเหนื่อยมาก เดินไม่ไหว ก็เลยหยิบเอาขนมที่พกมาเข้าปาก หูยยย short bread ที่พกมาแม่งอร่อยมากก อร่อยจนร้อง..อื้มมม ออกมาดังๆ นี่ที่กูไม่มีแรง คือกูหิวนั่นเอง

ทางเดินวันนี้มีแต่หิน ทรายและพุ่มไม้เตี้ยที่ดูแห้งแล้งมาก บรรยากาศเข้าใกล้ดาวอังคารไปทุกที ประกาศ (ไกด์ของเรา) บอกว่าทางที่เรากำลังเดินอยู่นี้ เราเดินบน Khumbu Glacier หรือหินใต้เท้าเรานั้นคือน้ำแข็งนั่นเอง ทางเดินนั้นเดินยากมาก ไม่มีทางที่ชัดเจน ต้องก้าวไปนก้อนหินทีละก้อนและต้องเล็งให้ถูกว่าก้อนที่แกเหยียบลงไปนั่นน่ะมันจะไม่เคลื่อนตัว


ร่องรอยจารึกบนทึกความทรงจำของผู้ชิต EBC

นั่งอ่านแล้วก็เพลินดีนะ

เรามาถึง Gorakshep ประมาณ 11 โมง แวะเข้าที่พักเพื่อเก็บข้าวของและกินอาหารเที่ยงก่อนจะเดินต่อไปยัง EBC ในตอนบ่ายและจะกลับมานอนค้างที่นี่ โรงแรมน่าจะเป็นโรงแรมยอดฮิตดูได้จากของที่ระลึกที่คนฝากไว้มากมาย มีของคนไทยด้วยนะ นั่งอ่านแล้วก็เพลินๆดี สมกับที่ EBC เป็นจุดหมายที่ใครหลายคนใฝ่ฝันว่าจะมาเหยียบมาเยือนสักครั้งในชีวิต ความตื่นเต้นที่ว่าเรากำลังจะไปถึง EBC แล้วทำให้ลืมความเหนื่อยไปได้ชั่วคราว




การที่ไม่ต้องแบกข้าวของติดตัวไป EBC ทำให้การเดินง่ายขึ้นเยอะ เราทิ้งของที่คิดว่าไม่จำเป็นเอาไว้ในห้องพัก พกไปแค่น้ำ ทิชชู่ และขนมนิดๆหน่อยๆไว้เติมพลัง แล้วก็เอากระเป๋าให้ลูกหาบสะพายแทน สบายตัวล่ะ ตลอดทางที่เดินไปก็อารมณ์ดีเริงร่า เพราะตื่นเต้นกับจุดหมายปลายทางที่กำลังจะไปถึง แต่ทางมันก็ช่างเวิ่งว้าง มองไม่เห็นจุดหมายเลยจริงๆ จนประกาศชี้ให้เห็นว่า ตรงนู้นน่ะ คือ base camp แล้ว อีกนิดเดียวเอง




อีกนิดเดียว ... แต่ภาพที่เห็นนี่คืออยู่ด้านล่างๆลิบๆ ให้ลองนึกภาพตามว่าตอนนี้เรากำลังเดินอยู่บนเขา และ base camp คือการต้องเดินลงเขาไป แล้วขึ้นเขาไปอีกลูก .. อีกนิดเดียวเอง .. คิดภาพตอนไปว่าท้อแล้ว คิดถึงตอนขากลับนี่หมดแรงยิ่งกว่า เพราะเราต้องกลับทางเดิม ดังนั้น เดินลงไปเท่าไหร่ แปลว่าแกก็ต้องไต่ปีนเขาขึ้นมาเท่านั้นแหละจ่ะ

จุดสีๆเล็กๆในภาพคือคน ที่เรามองลงไปเห็น

ทางเดินสุดเวิ้งว้าง


เส้นทางนี้ถือได้ว่าเป็นเส้นทางน่าขนลุก เพราะอย่างที่เรารู้กันว่า มีผู้คนมากมายที่มาที่นี่เพื่อตามความฝัน แล้วได้อยู่กับฝันตัวเองตลอดไปไม่ได้กลับลงมา ตลอดทางเราจะเห็นป้ายชื่อคนมากมายวางเอาไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริงๆ แต่ถึงความรู้สึกจะชวนขนหัวลุกมากเท่าใด การปวดฉี่ก็ไม่เคยปราณีใคร ยิ่งวังเวงและหนาวเท่าใด การจะอั้นไว้ก็ยิ่งยากทวีคูณ ถ้าฉันเป็นหมา ก็บอกได้เลยว่าให้กลับมาที่นี่อีกก็ไม่มีหลงทางแน่นอน เพราะได้แสดงความทิ้งลายแทงบอกทางไว้กับหินหลายก้อนแล้ว


สภาพทางเดินตลอดทางจนไปถึง EBC

Everest Base Camp

วินาทีที่เท้าเหยียบลงบนพื้นที่ที่เรียกว่า Everest Base Camp ความเหนื่อยความล้าที่สะสมมาตลอด 8 วันหายไปหมด ไกด์เข้ามาจับมือแล้วกอดพร้อมพูดว่า “Congratulations you made it to the base camp!” หันมองรอบตัวแบบ 360 องศา ตัวเราหดเล็กลง เป็นเพียงแค่ส่วนนิดเดียวของโลก ภูเขาหิมะ และธารน้ำแข็งรอบตัวเราดูยิ่งใหญ่มาก ภาพเบื้องหน้าสวยงามเกินบรรยาย 


EBC 360 องศา

เราสามคน ณ EBC

เราถ่ายรูปอยู่ตรงนั้นอยู่ประมาณ 10 นาทีไกด์ก็ชวนให้เดินกลับ การเดินทางมาที่นี่ใช้เวลา 8 วัน แต่เรามีเวลาดื่มด่ำมันประมาณ 10 นาทีเท่านั้นเลยพยายามซึมซับภาพเพื่อเก็บเป็นความทรงขำให้ได้มากที่สุด เราโชคดีที่มาถึง base camp ในวันที่ท้อง
เปิดแล้วอากาศเป็นใจมาก แต่ .. หารู้ไม่ว่าเราไม่สามารถไว้ใจภูเขาได้เลย เพราะหลังจากนี้ จุดเปลี่ยนกำลังจะมาถึง ..





ระหว่างทางเดินกลับ อีกนิดก็จะถึงที่พักแล้ว อยู่ดีๆลมก็แรงขึ้นจนรู้สึกได้ว่ามันผิดปกติ ภาพตรงหน้าเราคือ ลมพายุที่พัดแรงจนหมุนเป็นลูกพายุกำลังพุ่งเข้ามาหาเรา พวกเราหยุดเดินเพราะไม่สามารถสู้กับทรายที่พัดสาดเข้าหน้าได้ จนต้องยืนหันหลังจนรอให้ลมสงบซักพักแล้วค่อยเดินต่อ ที่เค้าว่าอากาศบนเขาช่วงบ่ายนั้นน่ากลัวคงจะจริง แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยนแปลงจนเลวร้ายได้ขนาดนี้ เราพยายามเดินเอาตัวเองต้านลมเพื่อให้ถึงที่พัก กว่าจะฝ่ามาได้ก็เล่นเอาเหนื่อยเลยทีเดียว


Khumbu Glacier

เส้นทางน้ำแข็งด้านหลังคือทางเดินขึ้น camp 1

ตามแผนการของเรา วันรุ่งขึ้นเราจะต้องตื่นตี 4 เพื่อเดินขึ้นยอด Kalapathar ไปดูวิวภูเขาแบบ panorama ที่ระดับความสูง 5,550 ม. ซึ่งใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 2 ชม. และเดินลงอีกประมาณชั่วโมงนึง เสร็จแล้วเราจะเดินต่อไปยัง Chola Pass และ Gokyo Lake ซึงสองจุดหมายปลายทางนั้นยากลำบากกว่า base camp อยู่มากและหากเลือกที่จะไปแล้ว เราจะเปลี่ยนใจไม่ได้ ไปแล้วต้องไปให้ถึงไม่มีทางเลือกว่าไม่ไหวแล้วเดินย้อนกลับ และตามปกติแล้ว เส้นทางที่เราต้องไปต่อนั้นจะใช้เวลา 4 วัน แต่เรามีแค่ 2 วัน ดังนั้นแปลว่าในแต่ลัน เราจะต้องเดินมากกว่าคนอื่นอีก 1 เท่าตัวเพื่อให้สามารถพิชิตสองจุดหมายนี้ได้ในเวลา 2 วัน

ด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอด 8 วัน บวกกับอากาศที่เบาบางลงทุกวัน อากาศที่หนาวจนถึงกระดูก ทำให้เราเกิดอาการจิตตกและดราม่า หลังมื้อเย็นที่ต้องนั่งคุยกับไกด์ เราคุยกันถึงแผนว่าเราจะเอาอย่างไรกัน ไกด์ถามว่าจะไปต่อไหม เราไม่สามารถตอบได้ ไกด์บอกว่า “ไอคิดว่ายูทำได้” แต่เรากลับไม่แน่ใจในสภาพตัวเองจริงๆ และน้ำตาก็ไหลออกมา ไหลไม่หยุด เป็นครั้งแรกในทริปที่เรารู้สึกอ่อนแอมาก ณ ขณะนั้น ความเงียบเข้ามาครอบงำโต๊ะอาหาร และเรารู้สึกว่างเปล่า เป็นช่วงเวลาที่เหงามากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้


เราเหนื่อยเกินไปแล้ว และเราอยากกลับบ้าน..