Tuesday, January 21, 2014

[Race Diary] จอมบึง มาราธอน งานวิ่งอารมณ์ดี มีหัวใจให้รับฝาก (19-01-14)



“..ท่านกำลังเข้าสู่บริการรับฝากหัวใจ ลงทะเบียนฝากไว้ตัวเอากลับไปใจเก็บรักษา..”

จอมบึง มาราธอน เป็นสนามวิ่งที่เล็งไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ก็ไม่ไปวิ่งเพราะตอนนั้นยังไม่คึกไม่บ้าพลัง และยังไม่มีชาวแก๊งค์ที่จะไปไหนไปกันแบบนี้ แต่ก็ตั้งใจไว้ค่ะ ว่าจะต้องไปสัมผัสสักครั้ง เพื่อพิสูจน์ว่ามันเจ๋งสมคำร่ำลือหรือไม่




แม้จะเป็นสนามวิ่งที่ตั้งใจว่า ยังไงฉันก็จะไป แต่กว่าจะตัดสินใจสมัครวิ่งได้ก็เล่นตัวอยู่นาน เพราะมัวแต่ลังเลว่าจะลงวิ่งระยะไหนดี ตั้งใจไว้แต่แรก ว่างานนี้จะลงวิ่งในระยะฟูลมาราธอน แต่ด้วยพิษผีมาราธอนที่ไม่ได้ตามมาเกาะตอนลงสนามกรุงเทพมาราธอน แต่นางดันมาสิงสถิตย์หลังจากวิ่งเสร็จ จึงขอเรียกนางว่า ผี finisher’ ละกัน ทำให้ไม่สามารถวิ่งระยะไกลได้เกิน 20 กม.อีกเลย และความรู้สึกอยากวิ่ง สนุกกับการวิ่งของฉันก็ลดลงอย่างน่าตกใจ กังวลนะคะเพราะโดยเนื้อแท้เป็นคนที่ชอบกดดันตัวเอง และเป็นเด็กขี้อิจฉา พอเห็นคนอื่นที่เค้ายังวิ่งกันได้อย่างสนุกสนานและมีเป้าหมายใหม่เรื่อยๆ ยิ่งทำให้รู้สึกกดดันว่า ทำไมฉันทำไม่ได้ มันเกิดอะไรกับฉันและเมื่อยิ่งกดดัน ก็ยิ่งหดหู่ เมื่อมันไม่สนุก มันก็วิ่งไม่ได้วนเป็นลูปอยู่แบบนี้ ฉันเลยประวิงเวลาสำหรับการสมัครวิ่งงานจอมบึง บอกตัวเองว่าจะสมัครในเดือนมกราคม โดยหวังว่าช่วงพักร้อนในเดือนธันวาคมจะมีเวลาเยอะมาก และคงวิ่งระยะไกลได้หลายครั้ง ขอรอดูว่าเมื่อใกล้วันงานแล้ว ร่างกายและจิตใจฉันจะพร้อมแค่ไหน

จัดพรอพเบาๆ

จนแล้วจนรอดก็ทำไม่สำเร็จ ไม่สามารถวิ่งซ้อมได้เกิน 20 กม. บวกกับเสียงจากคนข้างตัวที่บอกว่า “รู้ว่าวิ่งได้ แต่พอวิ่งเสร็จแล้วก็ต้องฟื้นสภาพเป็นเดือนจะวิ่งทำไม เอาแค่สนุกก็พอไหม” พอได้ยินก็เหมือนมีอะไรมาฉุดไว้จริงๆ จึงตัดสินใจลงระยะฮาล์ฟก็พอเพราะเกิดความสงสารร่างกายตัวเองขึ้นมากระทันหัน

บรรยากาศของงานคึกคักตั้งแต่ตอนไปรับเสื้อและเบอร์ค่ะ สถานที่กว้างขวาง จัดการได้ดี ไม่วุ่นวาย อาจเพราะช่วงที่เข้าไปรับนั้นคนน้อยมากจึงไม่ต้องต่อแถว เรียกว่า 5 นาทีก็เสร็จหมดทุกอย่างแล้ว จัดได้ดีกว่างานระดับชาติอีกนะคะ ตอนที่เข้าไปรับเสื้อและเบอร์ก็ยังเกิดความคิดว่า สมัครใหม่เป็นระยะฟูลมาราธอนดีไหม ยืนลังเลงอแงอยู่สักพักค่ะ ก็ได้ยินเสียงกระซิบข้างหูว่า หล่อนไม่ได้วิ่งเลยทั้งอาทิตย์และวันจันทร์มี 3 ประชุมรออยู่ ตายไม่ได้นะยะ ทันใดนั้นจึงพาตัวเองเดินออกมาจากหอประชุมเงียบๆค่ะ

เมื่อลงวิ่งแค่ระยะฮาล์ฟ จึงไม่มีความกังวลใจอะไร เป็นระยะที่มีไม่ต้องซ้อม ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรเป็นพิเศษ จึงเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนานในราชบุรี พาตัวเองเข้านอนสี่ทุ่ม แต่ก็หลับไม่ค่อยสบายเท่าไหร่เพราะที่นอนไม่สบาย และที่พักอยู่ใกล้บริเวณจัดงานเกินไปจึงได้ยินเสียงของเหล่าโฆษกที่พากันคึกตั้งแต่ตีสอง เวลาไปวิ่งตามงานต่างจังหวัดที่ต้องพักค้างคืน ที่พักนี่ถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญอันดับต้นๆเลยก็ว่าได้ ทั้งต้องเลือกให้เดินทางไปยังจุดปล่อยตัวสะดวก ไม่ไกลเกินไป และก็ไม่ควรใกล้เกินไปเพราะด้วยเรื่องเสียงนี่แหละ อีกอย่าง ที่นอนต้องนอนสบายค่ะ เราจะนอนไม่หลับหรือนอนไม่สบายไม่ได้ เพราะการพักผ่อนที่เพียงพอคือหัวใจสำคัญของการวิ่งเลยก็ว่าได้ ซ้อมดีแค่ไหน เตรียมมาดียังไง สุดท้ายถ้าไม่ได้นอน นอนไม่พอ หลายคนถึงขั้นจบไม่สวยนะคะ ดังนั้น ถ้าจ่ายได้ก็จ่าย เลือกดีได้ก็เลือกดีๆค่ะ

กองเชียร์ที่พบเห็นได้ตลอดระยะทาง
ขอบคุณในสปิริตของน้องๆหนูๆจริงๆ

ไปถึงจุดปล่อยตัวประมาณตี 5 30 นาทีก่อนปล่อยตัว แต่ก็ไม่ได้เตรียมพร้อมหรือเตรียมสติเท่าไหร่เพราะมัวแต่ไปต่อคิวเข้าห้องน้ำ โกรธตัวเองที่ไม่ได้จัดการให้เรียบร้อนก่อนออกจากที่พัก และนี่เองที่ทำให้เกิดดราม่าเล็กๆขึ้น 

เนื่องจากคิวห้องน้ำหญิงยาวมาก และเวลาปล่อยตัวของระยะฮาล์ฟก็ใกล้เข้ามาทุกที แต่คิดแล้วว่าถ้าวิ่งไปจะแย่แน่ อากาศก็เย็น เหงื่อไม่ออก จึงต้องยอมต่อคิวไป ทันใดนั้นก็มีมนุษย์ป้า ขออนุญาตเรียกแบบนี้เพราะถือว่าเป็นคนสูงวัยแต่ทำตัวไม่น่านับถือค่ะ ทุกคนเข้าคิว ทุกคนต้องการใช้ห้องน้ำ และทุกคนก็รู้ว่าเวลาปล่อยตัวใกล้มาถึงแล้ว แต่กลุ่มป้านี้วิ่งเข้ามา พร้อมตะโกนบอกว่า ฮาล์ฟจะปล่อยแล้ว ขอเข้าก่อนนะคะ แล้วพวกนางก็แซงคิวคนหน้าที่ต่อแถวอยู่ทันทีค่ะ มีหรือคะที่ฉันจะทน ปกติไม่ใช่คนปรี๊ด แต่ด้วยฤทธิ์กระเพาะปัสสาวะที่อุ้มน้ำอยู่ ดิฉันจึงตะโกนขึ้นมาดังม๊ากกกก “ก็วิ่งฮาล์ฟเหมือนกัน ก็จะปล่อยตัวแล้วเหมือนกัน ก็ต่อแถวสิวะ” ป้าที่วิ่งเข้าห้องน้ำไม่ทันเพื่อนนางที่แทรกเข้าไปแล้วรีบถอยกรูดมาต่อหลังดิฉัน พร้อมทำเป็นพูดกับพี่คนข้างหน้าฉันว่า เออเนอะ เหลืออีกตั้ง 10 นาที น่าจะทันเนอะ อากาศเย็นๆ ใจเย็นๆกันเนอะ...ในหัวยังคงปรี๊ดอยู่ค่ะ แต่พยายามหายใจลึกๆ รมณ์เสีย!

กองเชียร์หลักบริเวณเส้นชัย เชียร์ตั้งแต่ตีสาม

จบดราม่าห้องน้ำก็สะบัดบ๊อบสวยๆออกมาเตรียมพร้อมเริ่มภาระกิจ วันนี้ตั้งใจว่าจะวิ่งสนุกๆ ค่อยๆไปไม่รีบร้อน (ก็บอกตัวเองแบบนี้ทุกทีนะคะ) ไม่รู้ว่าร่างกายตัวเองฟิตไหมเพราะไม่ได้ขยับขามา 1 อาทิตย์เต็มๆ 2 กม.แรกจึงวิ่งประกบคู่ไปกับเพื่อนสาว เฮฮาไปกับกองเชียร์ที่บ้าพลังมาก มายืนเต้นยืนเชียร์กันตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น เรียกว่า กองเชียร์นี่พลังเยอะกว่านักวิ่งอีกค่ะ ช่วง กม.แรกจึงวิ่งไปเพลินๆ พอรู้สึกว่าวิ่งช้าไปจึงบ๊ายบายทิ้งเพื่อนลุยวิ่งเดี่ยว (ตลอด) พอเริ่มเข้าสู่ช่วงถนนที่ไกลชุมชน เสาไฟทิ้งช่วง และต้องวิ่งในความมืดท่ามกลางแสงดาวทำให้รู้สึกเหงาขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แต่..เมื่อไหร่ที่คุณรู้สึกเหงา หญิงลีจะมาหาคุณทันที

ซุ้มน้ำแข็งบำบัดสำหรับเหล่าฟินนิชเชอร์
 
งานนี้เป็นงานที่มีน้ำให้ทุก 1 กิโลเมตรเลยมั๊งคะ มีน้ำตลอดทาง จนทำให้ตัวเองสับสนกับการรับน้ำ โดยปกติจะรับน้ำทุก 2 กม. แต่พองานนี้มีน้ำถี่มาก จึงทำให้ระบบรับน้ำของตัวเองรวน วิ่งข้ามไปหลายสเตชั่นเพราะอากาศเย็น ทำให้ไม่เหนื่อยเท่าไหร่ อากาศวันนั้นเย็นมาก ส่วนตัวเป็นคนขี้หนาวอยู่แล้ว จะหนาวกว่าคนทั่วไปประมาณ 3 สเต็ปเสมอ และงานนี้มาในชุดแขนกุด กางเกงขาสั้น ดิฉันจึงสะท้านสุดๆเลยก็ว่าได้ วิ่งไปกรีดร้องไป ไม่ใช่เพราะเหนื่อย แต่เพราะหนาวมากกกกกก


มะพร้าวก็มี

ด้วยความที่ไม่ได้สนใจดูแผนที่เส้นทางวิ่ง จึงไม่รู้มาก่อนเลยว่า จุดกลับตัวจะไม่ได้อยู่ที่ กม.ที่ 10 หรือ 11 พอดี แต่จะเลยไปสักประมาณ กม.ที่ 13ได้ ตอนนั้นได้ชะเง้อมองหาจุดกลับตัว ทางข้างหน้าดูยาวไกลมองไปเท่าไหร่ก็ไม่เห็นจุดสิ้นสุด เห็นนักวิ่งที่กลับตัวมาแล้ววิ่งสวนมา แต่ทำไมฉันมองไม่เห็นจุดกลับตัวเสียที เมื่อจุดกลับตัวไม่ได้อยู่ในช่วงครึ่งทางอย่างที่คุ้นเคย แผนการวิ่งและการเติมเจลเพิ่มพลังจึงผิดเพี้ยนนิดหน่อย จริงๆก๊งเอง แต่พยายามหาเรื่องโทษนู่นนี่นะคะ


หยิบเจลมาเพิ่มพลังในกม.ที่ 13 ก่อนกลับตัว และหลังจากกลับตัวก็เพิ่มความเร็วเต็มที่ แต่ยังเตือนตัวเองให้คุมดีๆระวังจะหมดก่อนถึงเส้นชัย วิ่งแซงหลายคนที่กลับตัวมาก่อน จนมีพี่ท่านนึงทักว่า “ตามมาเร็วจัง ใส่แล้วหรอครับ” หันไปยิ้มแย้มร่าเริงตอบว่า ใส่เต็มที่แล้วค่า พร้อมเร่งฝีเท้าจากมา มองเห็นป้ายบอกว่าอีก 6 กม. to go คำนวนพละกำลังแล้วเหลือๆ อีกแค่ 2 รอบนิดๆสวนลุม สบ๊าย วิ่งเร่งมาเรื่อย จนถึงป้ายบอกทางว่าอีก 1 กม. to go แต่มองการ์มินแล้วระยะยังขาดอีกมาก จากที่ตอนแรกคิดว่าจะวิ่งสนุกๆ พอดูเวลาแล้วคิดว่าน่าจะทำ new PB ได้จึงพยายามเร่งฝีเท้าขึ้นอีก แต่เมื่อไม่รู้เส้นทางจริงๆว่าใกล้ถึงแน่แล้วหรือยัง จึงยังคงวิ่งยั้ง ไม่กล้าใส่พลัง และเมื่อมองเวลาอีกครั้งมันทำ new PB ไม่ได้แล้ว จึงบอกตัวเอง ไปช้าๆก็ได้วะ ฮ่า..พอมองเห็นโปรตุ้มเท่านั้น ใจชื้นขึ้นมา ว่าใกล้แล้วชัวร์ ดิฉันจึงจัดเต็มวิ่งปรู๊ดๆ บอกตัวเองว่าเอาให้หมด แม้จะไม่ได้สถิติใหม่ แต่ยังไงก็ไม่ขี้เหร่น่ะ



ถึงเส้นชัยแบบอารมณ์ดี๊ดี ไม่เหนื่อย ไม่ล้า ไม่หมดพลัง ฮาล์ฟมาราธอนสนามที่ 9 ระยะ 21.35 กม. ครั้งนี้จัดไป 2.13 ชม. แม้เวลาจะไม่ดีขึ้นจากสนามมิซูโนที่ทำไว้ แต่ก็พอใจมาก และรู้สึกว่าตัวเองแข็งแรงขึ้นมากที่สามารถวิ่งระยะฮาล์ฟได้อย่างสนุก แรงเหลือแม้ไม่ได้ซ้อมและร่างกายไม่ฟิต และทำให้รู้สึกเสียดายว่า รู้งี้ลงมาราธอนดีกว่าถ้าฉันจะฟิตปึ๋งขนาดนี้

สนามนี้ยังคงใช้สูตรการวิ่งเดิม คือ วิ่งครึ่งหลังให้เร็วกว่าครึ่งแรก นักวิ่งหลายคนจะเลือกใส่ให้เต็มที่แต่แรก เพราคิดว่าเมื่อมีแรงก็ใส่เต็มพลังไปก่อน เพราะไปเร่งตอนหลัง ก็ไม่มีแรงอยู่ดี แต่ถ้าคุณฝึกจัดสรรพละกำลัง และเรียนรู้ร่างกายคุณดีๆ คุณจะวิ่งได้ตลอดระยะทาง ไม่ต้องพักหยุดเดิน ไม่หมดสภาพตอนถึงเส้นชัย วิธีของฉัน เน้นว่าวิธีของฉันนะคะ มันใช้ได้ผลดีกับตัวฉันเอง คือ 3 กม.แรกวิ่งวอร์มเพื่อให้ร่างกายอุ่นขึ้น พอเริ่มรู้สึกอยู่ตัว ก็ค่อยเร่งความเร็วขึ้นมา และเมื่อผ่านระยะครึ่งแรก ของระยะทางทั้งหมด ค่อยเร่งความเร็วขึ้นอีก จนเหลือ 2 กม.สุดท้าย ค่อยใช้แรงทั้งหมดที่ยังเหลืออยู่ให้หมดค่ะ 

เส้นชัย คือ การวิ่งอย่างสนุก
 สนามจอมบึง มาราธอน งานวิ่งที่จัดได้ดีสมคำร่ำลือจริงๆ พลังกองเชียร์และรอยยิ้มของคนในพื้นที่ทำให้รู้สึกเสียใจ และเสียดายที่ไม่ตัดสินใจลงวิ่งระยะฟูลมาราธอน แต่ปีหน้า เจอกันแน่ที่ระยะฟูลค่ะ สำหรับใครที่ยังไม่เคยลงงานวิ่ง หรืออยากลองเพิ่มระยะวิ่งบ้างแต่ยังไม่รู้ว่าจะเลือกงานไหนเป็นงานแรก จอมบึงเป็นสนามที่เหมาะกับการลงวิ่งทุกระยะเป็นครั้งแรกค่ะ เพราะคุณจะประทับใจกับบรรยากาศของสปิริตที่ได้รับตลอดเส้นทางการวิ่งของคุณ สมแล้วที่ใครหลายคนยกให้เป็นงานวิ่งที่ครั้งหนึ่งในชีวิตนักวิ่ง คุณต้องมาสัมผัส และคุณจะอยากฝากหัวใจทิ้งไว้ที่จอมบึงเหมือนฉันค่ะ