Friday, September 13, 2013

[Race Diary] Adidas King of the Road Thailand 2013 วิ่งเพลิ๊นเพลินจนลืมดราม่า [08.09.13]



สนามวิ่งที่ตั้งใจมาตั้งแต่แรกว่าจะต้องลงไปร่วมวิ่งให้ได้ เพราะพลาดจากปีที่แล้ว จริงๆไม่ควรเรียกว่าพลาด เพราะสนาม KOTR 2012 ดิฉันยังไม่รู้จักโลกของการวิ่งเลยด้วยซ้ำ แต่ก็พอได้รับรู้อยู่ว่ามีการจัดงานยิ่งใหญ่ประจำปีของอะดิดาส ดังนั้น ในปีนี้ เมื่อฉันได้ก้าวเข้าสู่โลกของการวิ่งอ่างเต็มตัวและจริงจัง (มาก) แล้ว มีรึที่ฉันจะพลาด

prop พร้อม

ไฮไลท์ของ Adidas King of the Road 2013 คือ เส้นทางการวิ่งขนานรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิ ถือเป็นงานวิ่งแรกในประเทศไทยเลยก็ได้ที่จัดบนเส้นทางนี้ โดยปกติเส้นทางนี้เป็นเส้นทางประจำของนักปั่น ที่มักจะไปรวมตัวกันซ้อมปั่นจักรยาน แต่ไม่ค่อยมีคนไปวิ่งสักเท่าไหร่ ส่วนตัวก็ไม่เคยไปเยือนถนนสายนี้ หรือพื้นที่นี้มาก่อนเลย เคยแต่ได้ยินคำร่ำลือ ว่าปั่นจักรยานสนุก แต่ออกจะเหงาไปเสียหน่อย เพราะสองข้างทางนั้นไร้วิวให้ดู ดังนั้น ภาพที่คิดเอาไว้คือ ถนนรันเวย์เรียบๆ ทอดยาวสุดสายตา และไร้ซึ่งร่มเงาของต้นไม้ จึงทำให้เกิดอาการหวั่นๆ ว่างานนี้จะต้องพ่ายแพ้ความร้อนแน่ๆ


สนามนี้เป็นหนึ่งในสนามที่พูดได้เต็มปากว่า เตรียมตัวมาดีที่สุดกินอิ่ม (มาก) ปริมาณการโด๊ปอาหารของสนามนี้เต็มแน่นมาก ตั้งแต่วันศุกร์กับแก๊งค์หมวยสู้ฟัด และวันเสาร์ที่ใส่อาหารเข้าปากตั้งแต่ลืมตายาวจนค่ำ จะบอกว่ามีพลังงานสำรองไว้วิ่งได้ถึงยอดเขาเอเวอเรสต์โดยไม่ต้องเติมพลังระหว่างทางได้เลยทีเดียว

บรรยากาศบนเส้นทางวิ่ง ขณะพระอาทิตย์กำลังตื่นขึ้นมาทำงาน

ช่วงเวลาก่อนที่จะวิ่งงานนี้ เป็นช่วงที่ซ้อมวิ่งยาวตามโปรแกรมสำหรับลงฟูล มาราธอนค่ะ ดังนั้นจึงไม่ห่วงว่าจะวิ่งในระยะ 16.8 กิโลเมตรไม่ไหว และวันพฤหัสก่อนหน้างาน ก็นึกคึกคักวิ่งซ้อมไป 20 กิโลเมตร เลยทำให้รู้สึกว่า ช่วงนี้กล้ามขาทรงพลังมาก และวิ่งได้แน่นมาก เรื่องระยะไม่หวั่น แต่อย่ามาถามกันเรื่องเวลา
 
ตื่น 3.30 ล้างหน้าอาบน้ำแต่งตัว อุตส่าต์วางแผนไว้ว่ามีเวลาพอสำหรับการเตรียมตัวและหาอะไรรองท้อง แต่ก็พลาดจนได้ ออกจากบ้านตี 4 ถึงที่หมายบวกหลงทางประมาณเกือบๆตี 5 ค่ะ ด้วยความที่หลงทาง จึงทำให้เกิดอาการรน ลืมนู่นลืมนี่ วิ่งไปมาเอาของที่รถ วิ่งไปห้องน้ำ สุดท้าย ไม่มีอะไรรองท้อง ไม่ได้วอร์ม (แต่ก็สามารถนับการวิ่งไปเอาของหลายรอบเป็นการวอร์มได้เนอะ) และที่สำคัญ พูดมากเม้าท์มากก่อนปล่อยตัว นางคอแห้งหิวน้ำมากค่ะ

ทางยังอีกไกล

บรรยากาศงานคึกคักมาก งานนี้มีนักวิ่งหน้าใหม่เยอะแยะ และเป็นงานที่รวมเหล่านักวิ่งเอาไว้มากที่สุดงานหนึ่งเลยทีเดียวตามสไตล์งานใหญ่ของแบรนด์ดัง เช็คอินเตรียมพร้อมสำหรับการปล่อยตัว บอกตัวเองว่า เอาชิลนะงานนี้ 10 กิโลแรกไปสบายๆ ไม่ให้เหนื่อย ไม่ให้หมด แล้ว 7 กิโลที่เหลือค่อยประเมินกันอีกที 


ออกตัววิ่งไปกับเพื่อนสาวในแก๊งค์ สักพักก็แยกย้ายกันตามจังหวะของตัวเอง อารมณ์ดีเบิกบาน เพราะตั้งใจว่าจะวิ่งให้สนุก เลยทำให้พูดคุยทักทายกับพี่ๆที่รู้จักไปเรื่อยๆ แวะทัก แวะวิ่งแซวขนานกันไปบ้าง จนได้มาเจอสองหนุ่มจาก Check Rate Running ที่พักหลังเจอกันทุกงานวิ่งจนคุ้นเคย และพอจับจังหวะได้ว่าเราวิ่งพอๆกัน จึงขอติดสอยห้อยตามเป็นเพื่อนร่วมทางกันไป 

เห็นตู้นี้แล้วมั่นใจ ฉันไม่ตายแน่ๆ
วิ่งเกาะกลุ่มกันสามคน หนุ่มสอง สาวหนึ่ง ภูมิใจที่สวยที่สุดในกลุ่มนี้ ฮา..ตกลงกันว่า เราจะวิ่งในระดับ pace 6.3 ไม่เร็วเกินนี้ไปเรื่อยๆ แล้วหลังจากกลับตัวค่อยว่ากัน และแล้วเราก็เกาะกันไปที่ระดับนี้จริงๆค่ะ วิ่งไป คุยไป แซวไปบ้าง เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันวิ่งด้วยความรู้สึกแบบนี้ เพราะปกติเวลาวิ่งจะไม่ชิลค่ะ จะไม่คุยกับใครเพราคุยทีไรสมาธิเสียและเหนื่อยทุกที ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่สามารถแซวคนได้ตลอดทาง ฮา..


ด้วยความที่ถนนเป็นเส้นตรง วิวสองข้างทางเป็นทุ่งหญ้า ไม่มีต้นไหม้ใหญ่ ไม่มีวิวอะไรให้มอง มีเครื่องบินขึ้น เครื่องบินลงพอให้รู้สึกว้าว จึงทำให้รู้สึกว่าเวลาผ่านไปช้ามาก วิ่งมาตั้งนานอะไรหว่าเพิ่งจะ 4 กิโลเอง แอบเบื่อเหมือนกันค่ะ พาลจะหลับเอา มีอาการรู้สึกเหนื่อยบ้าง แต่ด้วยความที่เกาะกลุ่มกับสองหนุ่มมา เลยยังพอมีคนลากๆเกาะๆกันให้วิ่งไป

2 หนุ่มเพื่อนร่วมทางของการผจญภัยวันนี้
รักษาระดับความเร็วให้ไม่เร็วเกิน pace 6 ไปจนถึงช่วงกลับตัว ตอนแรกคิดว่า ที่ตั้งใจจะวิ่งให้เร็วขึ้นหลังกลับตัวอาจจะไม่ไหวเสียแล้ว หลังจากกลับตัว คุณพี่ข้างๆเริ่มยุกยิกถามกันว่าเอาไหม นางก็บอกว่าไปก่อนเลย แต่อะไรเข้าสิงก็ไม่รู้ อยู่ดีๆก็มีพลังอย่างไม่น่าเชื่อ เพิ่มความเร็วขึ้นมาเรื่อยๆ จนรักษาระดับอยู่ที่ pace 5.3-5.5 ไม่ให้เร็วไปกว่านี้ คิดว่ายังเร็วได้อีก แต่ไม่อยากผิดแผนและหมดพลังจนพ่ายหมดรูปถึงกับต้องเดิน 


ช่วงเวลาหลังจากกลับตัวแล้วนี่เองที่เป็นช่วงที่สนุกที่สุดของทุกๆการวิ่ง การที่ได้วิ่งสวนทาง และทักทายกับพี่ๆเพื่อนๆที่รู้จักและคุ้นเคยกัน มันทำให้ลืมเหนื่อย ลืมเบื่อ ลืมระยะทางยาวไกลที่เหลือ คิดว่าสิ่งนี้เอง ที่ทำให้ฉันสามารถวิ่งครึ่งหลังได้สนุกกว่าครึ่งแรกจริงๆ ต้องขอขอบคุณทุกคนที่ตะโกนทักทายให้กำลังใจมา ณ ที่นี้ มันพิสูจน์ให้เห็นจริงๆว่า ทุกเส้นทางของการวิ่ง เราไม่เคยเหนื่อยคนเดียวจริงๆ

เครดิตภาพจาก www.shutterrunning.com

3 กิโลสุดท้ายยังคงรักษาระดับความเร็วได้ตามที่ตั้งใจ แต่เริ่มรู้สึกเหนื่อย พอมองเห็นรถพยาบาลข้างหน้า เลยคิดว่า แวะเพิ่มพลังฉี่อูฐสักหน่อยดีกว่า ช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร ดีกว่าไปหมดแรงเอากลางทาง ขอติงนิดนึง และฝากไว้กับผู้จัดงาน หากท่านทั้งหลายได้ผ่านมาอ่าน เกือบทุกครั้งที่วิ่งแวะเข้าไปขอแอมโมเนียจากหน่วยปฐมพยาบาลที่ปักหลักเม้าท์กันอย่างเมามัน น้อยครั้งมากที่จะมีสิ่งที่ขอยื่นมาให้ทันที แต่กลับต้องยืนรอ ส่วนตัวคิดว่า บนสนามวิ่ง เหตุการณ์ฉุกเฉินไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้ทุกวินาที ดังนั้นพวกคุณควรจะเตรียมพร้อมโดยมีสำลีชุบแอมโมเนียไว้ให้พร้อม มากกว่าที่จะต้องให้คนจะเป็นลม มาคอยยืนรอคุณแกะห่อ เปิดขวด เทชุบ ยื่นให้ นะคะ 

เครดิตภาพจาก www.shutterrunning.com

บ่นพอละเม้าท์ต่อดีกว่า หลังจากได้ฉี่อูฐมาสี่ก้อน นางก็ก็ยัดเข้าจมูกสูดปื๊ดใหญ่ๆ วิ่งไปดมไป กลายเป็นสูตรสำเร็จของดิฉันไปเสียแล้ว การได้ดมยาดม หรือ แอมโมเนีย มันเพิ่มพลังคึกจริงๆค่ะ ใครสนใจจะไปลองดู ไม่หวงวิชานะจ๊ะ กระทั่ง 2 กิโลสุดท้ายไม่รุ้แรงดีดมาจากไหน บอกตัวเองว่า เอาวะ วิ่งให้สนุกได้แล้วจึงวิ่งอย่างโลดแล่นลืมเหนื่อย ไปเรื่อยๆจนมาพบหนุ่มๆแก๊งค์เดิมที่พากันแซงขึ้นไปก่อน พร้อมหันไปถามว่า เอามั๊ยส่งสัญญาณมองหน้ากันอย่างงงๆ และก็วิ่งไล่จับแข่งกันจนถึงเข้าเส้นชัยในแบบที่ฉันรู้สึกเป็นอีกหนึ่งวันที่มีความสุข และรับรู้ได้ถึงหัวใจที่เต้นบอกว่า ฉันยังมีชีวิต’ และเป็นชีวิตที่มีความหมาย



จบสนาม Adidas KOTR 2013 กับระยะ 16.8 กิโลเมตร ในเวลา 1.39 ชั่วโมง ตอนแรกคิดว่าเป็นสถิติใหม่ของตัวเอง แต่เมื่อย้อนดูการวิ่งในระยะเดียวกันของ SuperSports 10 miles จึงทำให้รู้ว่า งานนั้นทำเวลาได้ดีกว่า แต่..งานนั้นทำให้บาดเจ็บสาหัสที่สุดในชีวิตการวิ่งเลยทีเดียว ฮา



16.8 กิโลเมตรที่ไม่เดินเลย และเป็นงานที่แวะพักใช้เวลากินน้ำแต่ละ station น้อยที่สุด ไม่บาดเจ็บ ไม่เหนื่อย สภาพแฮ๊ปปี้สมบูรณ์มากกว่างานไหนๆ ผลประกอบการที่ดีมากในวันนี้น่าจะเป็นเผลของการซ้อมวิ่งระยะยาวสัปดาห์ละ 1 ครั้ง และทำให้เข้าใจแจ่มแจ้งเลยว่า ถ้าเราวิ่งได้อึดแล้ว เราจะวิ่งได้เร็วเอง ต่อแต่นี้ไปก็ได้บทเรียนสอนตัวเองแล้วว่า ยามซ้อมไม่ต้องไว ไม่ต้องบ้า ไม่ต้องคึก ถึงเวลา ทุกอย่างจะออกผลของมันเองนะจ๊ะ