Saturday, November 10, 2018

[Race Diary] TCS New York City Marathon 2018: ที่สุดของการวิ่งมาราธอน

I'm a NYC Marathon FINISHER!
...
New York City Marathon
It will welcome you
It will reward you
It will thrill you


Full Marathon สนามที่ 8 และเป็นสนามที่สนุกที่สุด ทุ่มเทที่สุด 

ครั้งแรกกับการมาวิ่งในสนาม worlds major นักวิ่งอบต.กับสนามระดับอินเตอร์สนามแรก บอกเลยว่าถ้าจะไม่ได้วิ่งสนามไหนๆอีกก็ไม่เสียดายแล้ว สำหรับเราการได้วิ่งที่นิวยอร์กคือตายตาหลับละ เพราะเชื่อว่ามันคือสนามที่สนุกที่สุดสมคำร่ำลือจริงๆ (ถึงไม่เคยสัมผัสสนามอื่นแต่ก็เชื่อว่าที่นี่สุด)

ทำไมถึงได้ไปวิ่งเล่นที่นิวยอร์ค
การได้มาวิ่ง New York Marathon นี่ไม่ได้แปลว่าเก่งหรือเทพเลยนะคะ มันใช้ดวงล้วนๆ คือสมัครแล้วจับฉลากเอาค่ะ หรือถ้าคุณเป็นคนมีความสามารถ สามารถเอา time ไป qualify ได้ค่ะ  สำหรับปีนี้สมัครกี่แสนไม่รู้ เราเป็น 1 ใน 13,000 ที่ได้ และมีนักวิ่งจากการคัดเลือกอื่นๆอีก เช่น elite charity ไรงี้ รวมๆแล้วคือ 50,000 คน ใครสนใจอยากไปสนุกที่สนามนี้ ลองติดตามข้อมูลจากเวปไซต์ของเค้าได้เลย TCS New York City Marathon สำหรับปี 2019 จะเปิดรับสมัครในวันที่ Jan 14 - Feb 14 2019 นะคะ

การซ้อม
สำหรับการวิ่งมาราธอนครั้งนี้ซ้อมไปทั้งหมด 12 สัปดาห์ วิ่งแค่อาทิตย์ละ 3 วันเท่านั้น ถือว่าน้อยมาก เพราะต้องสลับกับการซ้อมจักรยาน และระยะไกลสุดที่ซ้อมถึงคือ 35 กม. จริงๆนี่ก็ถือว่าเป็นการวิ่งมาราธอนสนามที่ 8 แต่เป็นสนามที่ 2 ที่เราซ้อมนะ เพราะหลังจากจบมาราธอนครั้งแรกแล้วนั้น จะวิ่งอีกกี่ครั้งก็ไม่เคยจะซ้อมเลย ดังนั้นสนามนี้จึงมีความคาดหวังที่สูงมาก

แต่.. แม้จะซ้อมดีแค่ไหน มันก็จะมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเสมอ 2 สัปดาห์ก่อนวิ่งเกิดเรื่องที่ไม่ได้แพลน คือคุณแฟนเข้า รพ. 1 อาทิตย์และอาการแย่พอดู จึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องดูใจอย่างใกล้ชิดทำให้เราไม่ได้ซ้อมจริงจังอีกเลยจนกระทั่งเดินทาง แถมช่วงที่ต้องตักตวงความพร้อมของร่างกายก็ไม่ได้นอนเลยเพราะต้องเฝ้าไข้ตลอด ก็ได้แต่หวังว่า บุญเก่าที่สะสม

Marathon Expo

ยิ่งใหญ่อลังการ




งานวิ่งที่มีคนร่วมงานระดับ 50,000 คนแต่จัดการได้ดีมาก เราใช้เวลาตั้งแต่เดินเข้าประตู ไปจนถึงรับ bib รับเสื้อเสร็จไม่เกิน 10 นาที ช้าตรงไปรอแถวลองเสื้อเพื่อเลือกไซส์ที่พอดี (ซึ่งตรงนี้เองได้เจอคนไทยมาร่วมเป็นอาสาสมัครช่วยงาน) เพราะจะไม่สามารถเปลี่ยนได้ ซึ่งถือว่าเค้าจัดการได้ดีมากนะ ที่ยอมให้คนลองก่อน และเจ้าหน้าที่ทุกคนสามารถตอบได้ทุกคำถาม ไม้ใช่ว่าอยากรุ้เรื่องนี้ต้องไปตรงนี้เท่านั้น เดินเจอ volunteer ที่ไหนอยากรู้อะไรถามได้เลย 

คนเยอะมากๆ

สาวน้อยคนนี้เป็นคนยื่นเบอร์ให้

นอกจากการรับเบอร์รับเสื้อแล้ว ทีเด็ดมันก็อยู่ตรงการช้อปปิ้งนี่แหละ ตระการตามากๆ อุปกรณ์สำหรับการวิ่งทุกอย่างมันมีมารวมไว้ให้คุณเลือก เอนจอยให้เต็มที่ ใช้เงินให้หมดกันไปเลย นี่กลับมาก็ยังคิดค่ะว่าทำไม๊ไม่ซื้อนู่นนี่กลับมา

มีชื่อนักวิ่งทุกคน เดินหาชื่อตัวเองสนุกเลย
อ่าน wish wall แล้ว inspired มาก

สิ่งที่เราเขียน
รวมดาวสนาม World's Major
เหรียญ 6 star  finisher

วันก่อนวิ่ง
สำหรับงานใหญ่ที่มีคนร่วมงานเยอะๆแบบนี้ เรื่องความปลอดภัยสำคัญมากๆ ทางผู้จัดเลยไม่อนุญาตให้เรานำของไม่จำเป็น/กระเป๋าส่วนตัวเข้าไปในงานค่ะ เค้าจะแจกถุงใสใบใหญ่ให้เราใส่ของเข้าไป สำหรับคนเลือก Poncho จะเป็นคาดแดง สำหรับใส่ของที่จะใช้และทิ้งที่ start village เท่านั้น สำหรับ Bag Check คือคนที่ฝากถุงกลับมาที่ Finish Line

ถุงที่เราแพคไป start villae
มี bagel กล้วย เครื่องกันหนาว

เราเลือกไม่ฝากของเพราะอยากได้ Poncho (เหตุผลแค่นี้จริงจริ๊ง) ดังนั้นเราต้องคิดและวางแผนดีๆว่าเราจะเอาอะไรติดตัวไปใช้จนถึงก่อนปล่อยตัว ซึ่งก็คืออาหาร เครื่องกันหนาวทั้งหลายที่พร้อมทิ้ง ดังนั้นพอวิ่งเสร็จเราจะไม่มีเสื้อผ้าก็ภาวนาว่าจะเดินกลับโรงแรมรอด

มีป้ายโฆษณาอยู่ทุกที่ และข่าวทุกช่องบิ๊วท์ทุกวัน

นิวยอร์คอยู่ไกลจากประเทศไทยซะครึ่งโลก การปรับตัวจึงสำคัญมากๆ เราไปถึงที่นู่นเย็นวันพฤหัส และต้องวิ่งในวันอาทิตย์ มันก็เหมือนจะมีเวลาให้ร่างกายชินนะ แต่..มันก็ยังไม่ชินซะทีเดียว วันก่อหน้านั้นแทบนอนไม่หลับ jet lag กินข้าวไม่ลง พูดง่ายๆคือกานไปว่งที่ time zone ต่างกันแบบนี้มีผลต่อร่างกายมากเลยทีเดียว



ด้วยความที่เดินทางมาคนเดียว ก่อนวิ่งเครียดมากๆทั้งเรื่องอากาศที่อยู่ดีๆก็หนาวมาก (ทั้งทีวันที่ไปถึงมันไม่หนาว) เรื่องความคาดหวังของตัวเอง และนึกภาพไม่ออกว่าจะต้องเจออะไร บวกกับยัง jet lag อยู่เลยอึนๆไม่สนุกนอนไม่หลับทุกวัน ทำให้เครียดถึงกับนั่งปล่อยโฮขี้มูกโป่งอยู่คนเดียว

ออกไปซุปเปอร์ซื้อของกินมาเตรียมไว้ ทั้งของที่จะกินก่อนวิ่ง พกไปที่ start village และอาหารมื้อเย็นหลังวิ่งเสร็จ เพราะมั่นใจว่าจะไม่มีแรงและไม่มีอารมณ์ที่จะะออกไปหาอาหารแน่ๆ พอแฟนตื่นได้คุยกัน เลยเริ่มตั้งสติจัดของใส่ถุง เลือกเสื้อผ้า และพาตัวเองเข้านอน ‘เราซ้อมมาแล้วก็ทำไปแบบนั้น ไม่ต้องเครียด’

Race day
กำหนดปล่อยตัว wave 4 คือ 11.00 น. (วิ่งเมืองนอกมันดีตรงนี้!) แต่ตื่นตั้งแต่ 5.30 เพื่อแต่งตัวและเดินทางไป start village โดยแต่ละคนจะได้สิทธิ์เลือกการเดินทางและเวลาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับ wave start ซึ่งก็ขึ้นกับเวลาที่คิดว่าจะวิ่งจบที่แจ้งไป เราได้สิทธิ์การเดินทางด้วย ferry ซึ่งต้องนั่ง subway ต่อด้วยการนั่ง ferry ข้ามไป Staten Island และต่อด้วย shuttle bus รวมเวลาการเดินทางทั้งหมดประมาณ 2 ชม. คือเลิกตื่นเต้นกันไปเลย

ก่อนขึ้น ferry ไป Staten Island

ตั้งแต่เดินไป subway คือหนาวมากกกก ลมแรง คิดว่าไม่รอดแน่ แต่ละคนมากันเต็มยศ คือเค้าจะใส่เสื้อกางเกงกันหนาวมาก่อน แต่จะเป็นของที่พร้อมทิ้ง ดังนั้นแฟชั่นมันก็จะน่ารักๆ อารมณ์ชุดนอนเก่าๆไรงี้ ส่วนเรานี่เตรียมมาน้อยไป นั่งสั่นอยู่คนเดียว

เจอคนอินโดที่เค้ามาชวนเราคุยตอนอยู่บนรถไฟ คนนี้เค้ามีเป้าหมายในการไปวิ่งที่ประเทศต่างๆ เค้าเห็นธงชาติเราเลยมาชวนคุย และที่เจ๋งคือ เห็นแบบนี้วิ่งมา 3 major แล้วนะจ๊ะ โตเกียว ชิคาโก และนิวยอร์คเก็บเรียบ เป็นคนมีดวงจริงจริ๊ง

ระหว่งรอขึ้นรถบัส ทั้งหมดนี้คือนักวิ่ง

พอมาถึง start village ก็จะแยกย้ายตามสีของตัวเอง ใครสีไหน block อะไรก็ไปรอตรงนั้น ถึงเวลาก็จะเรียกเข้าไปปล่อยตัวตาม wave เราเป็น wave สุดท้าย ไปถึงเกือบ 10 โมงละก็รออีกแป๊บเดียว ที่นี่จะมีน้ำ ขนม (ซึ่งหาไม่เจอ) แล้วก็ blue bin ไว้ให้บริจาคเสื้อผ้าที่เราใส่กันหนาวมา 

บรรยากาศ start village
ระหว่างยืนหนาวรอปล่อยตัว
กล่องรับบริจาคเสื้อผ้าและอุปกรณ์กันหนาว

ระหว่างที่รอก็จะเห็น waveก่อนหน้าปล่อยตัวด้วยการยิงปืนใหญ่ มองไปก็จะเห็นคนวิ่งบนสะพาน มันเจ๋งมาก

สำหรับอากาศในวันวิ่ง ถือว่าโชคดีมากที่เป็นวันแดดจัด เพราะก่อนหน้านั้นนิวยอร์คฝนตกและไม่มีแดดมาสองวันค่ะ ในเช้าวันวิ่งแดดแรงมาก อากาศ 7 องศา แต่มีแดดมาช่วยไว้ กว่าจะปล่อยตัวก็ไม่หนาวมากแล้วเพราะแดดเผามากๆ กลายเป้นว่าวิ่งไปแสบผิวไปมากกว่า แต่พอไปวิ่งในร่มเงาตึกก็หนาว หรือช่วงไหนเมฆบังแดดแป๊บเดียวคือหนาวเลย


RUN
วินาทีตอนปล่อยตัวคือน้ำตาจะไหล บิ๊วท์ทั้งพิธีกร ทั้งมีร้องเพลงชาติ สุดท้ายยิงปืนใหญ่พร้อมเปิดเพลง New York, New York ของ Frank Sinatra โอ้วโหวววว ขนลุก

ก่อนปล่อยตัว ตอนนั้น 7 องศา
ปล่อยตัวบนสะพาน Verrazano Bridge แปลว่าออกตัวก็ตะกายกันเลย สะพานยาวมากกก 3 miles ได้ พอลงสะพานเข้าสู่ Brooklyn ความสนุกก็เริ่มต้น

Verrazano Bridge หลังจากปล่อยตัวไม่นาน
เส้นทางการวิ่ง NYC Marathon เราจะวิ่งผ่านทั้ง 5 เขตของนิวยอร์คด้วยกัน ซึ่งถือว่าเป็นไฮไลท์ของสนามนี้เลยก็ว่าได้ และแต่ละเขตก็จะมีคนพื้นที่ออกมาเชียร์ มาชมกันอย่างสนุกสนามมาก ที่เด็ดที่สุดสำหรับเราคิดว่าเป็น Brooklyn เป็นเขตสนุกมากๆ เหมือนวิ่งอยู่ในงานปาร์ตี้ คนออกมาเต็มถนน ทั้งคอนเสิร์ต ทั้งเสียเชียร์  บิ๊วท์กันอย่างบ้าคลั่งมากกกกก มันเลยทำให้การวิ่งช่วงนี้โคตรเพลิน เพลินไปจนถึง 21 กม.

Brooklyn สนุกมาก เชียร์กันแบบบ้าคลั่งตลอดทาง
มีคอนเสิร์ต มีเวทีการแสดง
กิโลเมตรที่ 23 คือการตะกายขึ้น Queens Borough Bridge สะพานที่สูงที่สุดของสนาม จุดสูงสุดของสะพานคือ กม. 25 คุณเอ๊ยยยย แม่งสูงมาก ชันมากจนแทบจะกัดลิ้นตัวเอง ทางขึ้นก็โหดแล้ว ตอนลงแม่งโหดกว่าและทรมานขากว่ามาก สูงจบสะพานนี้รู้ตัวเลยว่าชีวิตไม่เหมือนเดิมแล้ว วันหลังวิ่งที่นั่งรถกลับมาขึ้นสะพานนี้ยังนึกอยู่เลยว่า กูวิ่งขึ้นมาได้ยังไง สูงประมาณตึก 10 ชั้นได้

เชียร์กันแบบนี้ตลอดทาง

ระหว่างทางคือเป็น hilly ทางขึ้นๆลงๆตลอด เจอธงชาติไทยเราก็จะวิ่งเข้าไปสวัสดีค่าาา ยังสนุกและคึกไปกับกองเชียร์ ยิ่งตอนได้ยินเพลง New York ของ Alicia Keys คือมันใช่ มันคือเมืองแห่งความฝัน

วันนี้วิ่งดีมากๆ จัดเพซ 6 มาได้ตลอดทางคิดว่าจบได้ที่ 4.30 แน่ๆ แต่.. สุดท้ายขาก็ยอมแพ้ ที่กิโลเมตรที่ 30 ตะคริวที่หน้าแข้งขวาก็มา พอตะคริวขึ้นเลยต้องผ่อนความเร็วเพราะถ้าต้องเดินตั้งแต่ตอนนี้ไม่ดีแน่ เงยหน้าเจอคนถือป้าย ‘Some days you might fail but not today’ บอกตัวเองว่าสู้ดิวะ มึงทำมาทุกอย่างก็เพื่อวันนี้ มึงจะเลิกไม่ได้!




อดทนวิ่งไปเรื่อยๆ บอกขาว่า ขอเถอะนะอย่าเพิ่งพัง แล้วก็มาได้เรื่อยๆจนเงยหน้ามองเห็นสะพาน ตอนนั้นคือน้ำตาไหลเลย ‘กูเจอสะพานไม่ไหวแล้ว’ มึงจะอะไรเยอะแยะ นี่ 5 สะพานแล้วนะโว๊ย ระหว่างตัดสินใจว่าเดินไหมก็เห็นคนถือป้าย ‘This is the last damn bridge’ โอ๊ยยย ก็ได้วะ last แน่นะเว้ย


พอลงสะพานจากนั้นคือการวิ่งเข้าสู่ 5th Avenue มองไปข้างหน้ามันสวยมาก มันคือถนนของความฝัน ตอนที่เห็น Empire State อยู่ตรงหน้ามันโคตรตื้นตัน เพราะรู้ว่ามันจะจบแล้ว


แต่.. นิวยอร์คไม่ทำให้ผิดหวัง จัดเนินชันยาวๆ ตั้งแต่กิโลที่ 38-40 มาให้ ชันจนท้อ ชันจนตะคริวขึ้นทั้งสองข้าง มีโม้เม้นต์เข่าอ่อนเซจนจะล้มแล้ว คนเดินเยอะ คนหยุดยืนเพราะไม่ไหวก็เยอะ ตอนนั้นจะร้องไห้ คิดอย่างเดียว จบเหอะ จบเหอะ ก้มมองการ์มิน รู้แล้วว่าพลาดดวงดาวทั้ง 4.30 และ 4.45 ไปแล้ว เลยคิดว่าเอาวะ enjoy the moment มึงทำดีที่สุดแล้วบิ๋ม

กลับมาดู profile สนามจาก Starva ถึงกับตกใจ
นิวยอร์คไม่มีทางราบ!

3 กม. สุดท้ายก่อนถึงเส้นชัย เป็นจุดที่กองเชียร์แน่นมาก มากันทุกชาติ ธงชาติไทยเด่นสุดบนตึกที่คาดว่าจะเป็นบ้านกงศุล รึเปล่า แต่กองเชียร์ไทยเหงามาก

1 กม. สุดท้ายใส่ทั้งหมดที่มี มันกำลังจะจบแล้ว เห็นป้าย last 800 m นี่แทบร้องไห้ ไม่ใช่ตื้นตัน แต่กำลังจะล้มแล้ว sprint สุดท้ายเหยียบ finish line ถึงกับกรี๊ดออกมาดังๆ เดินไปรับเหรียญทำหน้าเบะมาก ไม่ต้องห่วงเพราะทุกคนจะเข้ามากอดเราแน่นๆ โคตรอบอุ่นเลย

วินาทีเข้าเส้นชัย

จบที่ 4.58.55 ได้ new PB มาแค่ 1 นาที แต่ดีใจมากแล้วกับสภาพสนามแบบนี้ นิวยอร์คมันไม่มีทางราบ! และก็คิดว่าถ้าไม่ซ้อมเนี่ยน่าจะแย่ แถมไม่มีทางวิ่งแล้วสนุก เอนจอยกับบรรยากาศรอบตัวแบบนี้แน่ๆ

Finish Line

ณ เส้นชัย เต็มไปด้วยผู้คน


โมเม้นต์ที่เหยียบเส้นชัยนี่ดีใจมาก น้ำตาไหลเลยทีเดียว ไม่ใช่่ตื้นตันอะไรเลยนะ แต่ดีใจที่ไม่ต้องวิ่งอีกแล้ว มันจบเสียที ด้วยความเป็นงานใหญ่ คนเยอะ ที่ finish line ก็จะหนาแน่นมากๆ มันจะไม่มีซีนแบบ elite ที่เราเคยเห็น 

เดินเข้าเส้นชัยมาจะงงๆ ก็ค่อยๆเดินไปเรื่อยๆ จะมีคนยืนรอมอบเหรียญให้ มีช่างภาพเยอะมากๆมารอถ่ายรูป ขอให้เดินไปให้ทุกกล้องถ่าย แล้วคุณจะได้ภาพสวยๆ ถ่ายแล้วถ่ายอีกแล้วก็ยังต้องเดินต่อไป รับ emergency foil กันหนาวเพระาพอหยุดวิ่งแล้วมันหนาวจริงๆ รับ Recovery Bag ซึ่งในนั้นจะมีเครื่องดื่ม ผลไม้ และสแน๊คไว้ให้ ถุงหนักเลยทีเดียว การต้องแบกแล้วเดินต่อไปอีกเกือบครึ่งชั่วโมงหลังวิ่งก็มีทรมาน 

สาวน้อยคนนี้คือคนแรกที่กอดเรา
ภาพแรกหลังรับเหรียญ
ได้ผ้าห่มฉุกเฉินมาห่มกันหยาวแล้ว

เดินตามฝูงชนไปเรื่อยๆ

เราเดินต่อมาอีกเกือบครึ่งชั่วโมง ทุกคนเดินเหมือนซอมบี้ไร้เรี่ยวแรง แล้วก็มีให้แยกซ้ายขวา ทางหนึ่งสำหรับคนรับ Poncho อีกทางสำหรับคนไปรับกระเป๋าที่ฝากไว้ Poncho อุ่นมากๆ อุ่นมากกว่าที่คิดเอาไว้ สามารถห่อตัวเองเดินกลับมาอีก 20 นาทีจนถึงที่โรงแรมได้แบบไม่หนาวตาย แถมเก็บไว้เป็นที่ระลึกได้อีกด้วย บางคนมีไปถามหาขอซื้อในวันรุ่งขึ้นด้วยนะ


ผลประกอบการรอบนี้
ช้ากว่าที่ซ้อมนิดเดียว แต่ด้วยสภาพสนามคือถือว่าพอใจมากๆแล้ว

Marathon Monday!

เส้นชัยวันหลังวิ่ง

สำหรับงานวิ่งแบบ World's major แล้ว วันจันทร์รุ่งขึ้นหลังการวิ่ง ก็จะมีวันที่เรียกว่า Marathon Monday เหมือนเป็นการฉลองความสำเร็จ และนักว่งจะไปสลักเวลาวิ่งและชื่อบนเหรียญ รวมถึงช้อปปิ้งพวกเสื้อ Finisher 

เป็น NYC Marathon Finisher แล้ว

เสื้อมีหลายแบบนะ เดินเข้ามาซื้อได้เลย ไม่วิ่งก็ซื้อได้ ฮ่าๆ



และสำหรับนิวยอร์คจะมีความพิเศษที่นักวิ่งจะมีชื่อใน New York' s Times ฉบับวันจันทร์หลังวิ่ง แต่... ปีนี้เค้าใส่ชื่อนักวิ่งถึงแค่คนวิ่งจบที่ 4.55 เราจบที่ 4.58 ดังนั้น อดจ้าาาา งอน! ไม่ซื้อก็ได้!!!



บรรยากาศ ณ เส้นชัยวันหลังวิ่ง

คิวรอสลักเหรียญที่ Marathon Pavilion

ใครที่อยากลองสัมผัสบรรยากาศงานวิ่งระดับโลก โดยเฉพาะงานที่เค้าว่ากันว่ามันคืองานวิ่งมาราธอนที่สนุกที่สุด เราเชียร์ให้ลองเสี่ยงดวงกับงานนี้ดูค่ะ มันสนุกจริงๆ สนุกมากๆ คุ้มค่าการเดินทางไปครึ่งโลกจริงๆ ถามถึงเรื่องค่าใช้จ่าย นิวยอร์คไม่ได้โหดร้ายนะ เราสามารถจัดสรรทริปตามงบที่ตั้งไว้ได้ และถ้าถือโอกาสได้ไปเที่ยวด้วยสักครั้งมันก็ดีไม่ใช่น้อย 

สนามมาราธอนนี้ที่ไม่ได้สอนอะไรเรามากไปกว่า หรือพิเศษไปกว่าสนามอื่นๆที่เราเคยวิ่งมา
แต่สนามนี้ตอกย้ำให้เรากลับมามั่นใจอีกครั้งว่า "ไม่มีอะไรที่เธอทำไม่ได้ เธอทำได้ทุกอย่าง ถ้าเธอตั้งใจ"

สำหรับเรา..ตายตาหลับละ มันคือหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดของชีวิต พีคแล้ว
ของขวัญวันเกิดสำหรับขวบปีที่ 35 นี้มันดีจริงๆ


Monday, August 13, 2018

[Review] Nike Epic React Flyknit รองเท้าที่ทำให้กลับมาวิ่งสนุกอีกครั้ง


รีวิวนี้ ไม่มีข้อมูลรองเท้าใดๆ เพราะหาได้ง่ายตามอินเตอร์เนตอยู่แล้ว เราขอมาเล่าแบบอารมณ์ล้วนๆเลย โดยก่อนอื่นขอสรุปโปรไฟล์เราคร่าวๆก่อนจะได้นึกภาพออกว่าเราใช้รองเท้าอะไรมาบ้าง
  • เราวิ่งมาประมาณ 6 ปีค่ะ แต่ช่วง 3 ปีให้หลังมานี่วิ่งน้อยมาก
  • ระยะทำการสูงสุดคือ ฟูลมาราธอน ผ่านมา 6 สนาม
  • เป็นคนวิ่งไม่เร็ว เพซกลางๆค่อนไปทางช้า เวลาสำหรับ 10 กม.ที่ดีที่สุดที่เคยทำได้ คือ 59 นาที (แต่นั่นก็ผ่านมานานมากแล้ว .. ปกติจะวิ่งที่ 1.08 นาทีค่ะ)
  • เป็นคนเท้าบานและแบน มีปัญหาเท้า คือ เวลาเข่าจะบิดเข้า
  • แต่..เป็นคนเท้าแบนที่ชอบใส่รองเท้าวิ่งแบนๆ ไม่ชอบซัพพอร์ต ไม่ชอบพื้นหนา
  • มีรองเท้าวิ่งมาแล้วทั้งหมด 7 คู่ เป็น New Balance x 2, Asics x 2, Mizuno x 3



ขอออกตัวเอี๊ยดเลยว่าเราเป็นคนที่แอนตี้รองเท้าวิ่งไนกี้มาตลอด เพราะเราไม่บีลีฟในเรื่องเพอร์ฟอร์แมนซ์ของแบรนด์แฟชั่น เราคิดว่าเค้าขายดีไซน์ที่สวยงามน่าดึงดูดมากกว่า บวกกับราคาที่มักจะเว่อร์เมื่อเทียบกับรองเท้าแบรนด์อื่นๆเลยรรู้สึกไม่คุ้มค่า (เป็นความคิดเห็นส่วนบุคคล ไม่ดราม่าเนอะ) แล้วความคิดนี้ก็ทำให้เราไม่เคยเปิดใจลองรองเท้าวิ่งของแบรนด์นี้เลย รองเท้าวิ่งหลายคู่ที่ผ่านๆมาของเราจึงเทใจให้แบรนด์จากฝั่งญี่ปุ่นมาตลอด

แต่พักหลังมานี้ ด้วยกลุ่มเพื่อนที่หันไปเป็นสาวกไนกี้กันเต็มตัว ส่งรูปรองเท้า ช้อปปิ้งรองเท้ากันตลอดเวลา เราเลยเหมือนโดนมอมยาอยู่ตลอด บวกกับสมรรถภาพด้านการวิ่งที่ลดลงอย่างมากจากการไม่ได้วิ่ง เมื่อวิ่งช้าลง รองเท้าแนวเรซซิ่งแบบซัพพอร์ตน้อยๆจึงไม่ตอบโจทย์เราแล้ว เรารู้สึกเจ็บเท้าทุกครั้งที่วิ่ง รวมถึงปัญหาด้านรูปเท้าของเรา ที่แบนมาก ทำให้เริ่มมองหารองเท้าที่มีการซัพพอร์ตเพิ่มขึ้นเพื่อให้เหมาะกับเท้าอย่างจริงจังเสียที

Nike Epic React Flynit เป็นตัวเลือกแรกที่เราเลือกเมื่อเปิดใจหารองเท้าที่มีซัพพอร์ต เหตุผลแรกเลยคือ มันสวย ดีไซน์มันไม่ดูเทอะทะ ซัพพอร์ตแบบพอเหมาะ พื้นรองเท้าไม่ดูเทอะทะแปลกประหลาด เพราะเหตุผลที่เราหนีไปใส่รองเท้าพื้นบางมาตลอดเพราะส่วนตัวเราไม่โอเคกับรองเท้าวิ่งที่พื้นดูประหลาดๆนั่นเอง

เมื่อมีตัวเลือกในใจ วิธีการต่อไปคือถามเพื่อนคนที่ใส่อยู่ ทุกคนคอนเฟิร์มว่ามันดี ควรลอง เลยตัดสินใจพาตัวเองไปลองที่ร้าน ความรู้สึกแรกที่เอาเท้าใส่เข้าไปแล้วลองเดิน ลองจ๊อกๆดู มันนิ่มเด้งแบบพอดีๆ เราไม่ชอบรองเท้าพื้นยวบ คู่นี้มันไม่นิ่มยวบ และมันก็ไม่ได้เด้งเว่อร์วัง เอาเป็นว่า ฟีลลิ่งไม่หลอก ไม่ประหลาดเมื่อเทียบกับแนวรองเท้าซัพพอร์ตน้อยๆที่เคยใส่มา เช่น เทียบกับ Mizuno Wave Spacer ที่เราชอบมากๆแล้วฟีลกู๊ดเหมือนกัน เทียบกับ Mizuno Wave Emperor ที่ชอบแต่พักหลังรู้สึกมันบางไปนิด แล้วรู้สึกว่าไม่ได้การซัพพอร์ตเพิ่มมาในระดับที่กำลังมองหา ดังนี้แล้ว เลยตัดสินใจซื้อฮะ จริงๆอยากได้สีชมพู แต่เลือกสีเทาเพราะคิดว่าถ้าใส่วิ่งแล้วไม่ชอบ อย่างน้อยสีเทาก็ยังเอามาใช้ในชีวิตประจำวันได้ง่ายหน่อย




ความรู้สึกจากการวิ่งครั้งแรก
เอออ มันสบายเท้าดีแฮะ ไม่ได้ใส่รองเท้าวิ่งที่มีซัพพอร์ตมานาน รู้สึกได้ถึงความนุ่มละมุนฝ่าเท้า ไม่รู้สึกเจ็บและเมื่อยฝ่าเท้าเหมือนเดิม รองเท้าน้ำหนักเบามาก ไม่รู้สึกว่าน้ำหนักเป็นภาระเลย แต่.. วิ่งไปประมาณ 10 นาทีเริ่มมีอาการปวดอุ้งเท้าขวา ช่วง arch เหมือนรองเท้ามันจะรัดแน่นไปเลยต้องหยุดเพื่อคลายเชือกและวิ่งต่อ สบายขึ้นหน่อย แต่ก็ยังรู้สึกเจ็บอยู่ดี ลองทนวิ่งให้ครบ 1 ชม. ก็วิ่งได้จนจบนะ วิ่งเสร็จไม่เมื่อยขาเมื่อยน่องเหมือนทุกที คิดเอาเองว่ารองเท้าคงทำหน้าที่ช่วยซัพพอร์ตได้ดีในระดับหนึ่งเลย

ลองอีกครั้งด้วยการวิ่งช้าๆ
อย่างที่เกริ่นไปว่า เดี๋ยวนี้วิ่งให้เร็วไม่ไหวแล้ว ดังนั้นรองเท้าที่อยากได้จะต้องเป็นรองเท้าที่ใส่วิ่งช้าแล้วสบาย ซึ่งคู่นี้ก็ทำได้ดี เราใส่วิ่งซ้อมแบบคุมโซนหัวใจที่โซน 2 ความเร็วอยู่ที่เพซ 7.30 8.30 วิ่งได้สบายมาก ปกติการวิ่งด้วยความเร็วเพซนี้กับรองเท้าสไตล์ racing แบบเดิมที่ใช้จะรู้สึกทรมาน เมื่อยฝ่าเท้าเท้า เมื่อยน่อง เพราะรองเท้าไม่ได้ออกแบบมาให้รองรับการทิ้งน้ำหนักลงเยอะ เคยทดสอบด้วยการลองวิ่งเร็ว คือมันดีมาก แต่พอวิ่งช้า เอออมันไม่ใช้จริงๆ แต่สำหรับ Nike Epic React Flyknit วิ่งช้าๆก็ยังรู้สึกสบายเท้า วิ่ง 60 นาทีเพลินๆเลย แต่อาจจะต้องลองใช้วิ่งระยะยาวดูอีกที ครั้งที่แล้วลองวิ่งและไปบ่นเรื่องปวดเท้าให้พี่ที่สนิท เจ้าของเพจ Outrun ที่เป็นแฟนไนกี้ฟัง ได้รับคำแนะนำมาว่า ไม่ต้องผูกเชือกเลย รองเท้ามันกระชับด้วยตัวมันเองอยู่แล้ว เพราะเค้าก็มีอาการเลยใช้วิธีนี้ เลยลองทำตามดู เออมันช่วยได้จริง



สรุป
ชอบเพราะ:
  •  ดีไซน์สวย เป็นรองเท้าวิ่งที่ดูดีไซน์ไม่เลอะเทอะ มินิมอลดี
  •  น้ำหนักเบา ไม่รู้สึกเป็นภาระเท้า (ความรู้สึกจากการวิ่งแค่ 60 นาที)
  •  พื้นรองเท้ามีความยืดหยุ่น flexible ไปกับเท้าตอนวิ่ง

ไม่ชอบเพราะ:
  • วัสดุเป็นผ้า Flyknit ทำให้ช่วงอุ้งเท้า กลางเท้ามันแน่นกระชับเกินไป ตอนไปลองที่ร้านพนักงานบอกว่ารัดเชือกแน่นๆเลยนะครับ แต่ความจริงแล้ว ยิ่งรัดแน่นมันยิ่งทำให้ปวดเท้า มันต้องคลายเชือกเยอะๆจนแทบจะให้ตัวรองเท้าที่กระชับอยู่แล้วโอบอุ้มเท้าไว้
  • ส้นรองเท้าด้านในจะชอบมาสีโดนขาอีกข้าง อันนี้น่าจะเป็นเพราะท่าวิ่งเราเองหรือเปล่าไม่รู้ แต่ตอนใช้รองเท้า racing เราจะไม่เป็น
  • การซื้อรองเท้าวิ่งสีอ่อนนี่ก็พลาด เลอะง่ายมาก
  • ราคาสู๊งสูง (5,500 บาท) แต่ก็เพราะมันคือไนกี้อ่ะนะ

Nike Epic React Flyknit ลบความคิดเดิมๆที่เราเคยมีต่อรองเท้าวิ่งของไนกี้ไปได้เยอะเลยค่ะ เค้าพัฒนาแล้วตามคำเคลม ถึงตอนนี้จะใส่วิ่งไปได้ไม่กี่ครั้ง ระยะทางยังไม่เยอะ แต่รู้สึกไม่ผิดหวังที่ซื้อคู่นี่มา และคิดว่าจะเอาคู่นี้นี่แหละซ้อมและไปวิ่งมาราธอนสนามที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่เดือนด้วยกัน

ใครกำลังมองหารองเท้าวิ่ง มีจริตคล้ายๆกันและงบถึง  เราว่า Nike Epic React Flyknit ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจที่อยากให้ไปลองดู