Saturday, March 11, 2017

[Foot Fit Journey] เรื่องเล่าจาก Everest Base Camp Trekking: Day 8 Lobuche – Gorakshep - EBC

 “วันที่เหยียบ Everest Base Camp

[24 ธันวาคม 2559] Lobuche (5,000m) – Gorakshep (5,164m) – Everest Base Camp (5,364m)




วันคริสต์มาสอีฟ เลยรู้สึกสดใสเป็นพิเศษ เราออกเดินทางจาก Lobuche ประมาณ 8 โมงเพื่อไปให้ถึง Gorakshep ก่อนเที่ยง จะได้พักกินข้าวแล้วค่อยเดินต่อไป EBC ในตอนบ่าย วันนี้จะเป็นวันที่เราถึงจุดหมายของเราแล้ว นั่นก็คือ Everest Base Camp เลยทำให้วันนี้รู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ ลืมอาการเหนื่อย อาการล้าไปได้ชั่วขณะ

เมื่อคืนนอนหลับไม่ค่อยสนิท ซึ่งไกด์กมาบ่นให้ฟังว่าทุกครั้งที่มาพักที่นี่เค้าจะนอนไม่ค่อยหลับเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเริ่มอยู่ในระดับความสูงที่มากกันแล้ว ก็จริงนะ ตั้งแต่เดินขึ้นสูงมาเรื่อยๆ แม้จะเหนื่อยแค่ไหนเราก็จะหลับไม่สนิท มันจะหลับๆตื่นๆตลอดคืน แต่ก็ต้องพยายามบังคับตัวเองให้นอนให้ได้ เพราะรู้ว่ามีระยะทางยาวไกลรอเราอยู่ในวันรุ่งขึ้น


ทางเดินไป Gorakshep

อาจจะด้วยเพราะความสูง และการที่หลับไม่ค่อยเพียงพอ ทำให้เราไม่ค่อยอยากอาหาร เรากินน้อยลงมาก และบางทีก็เลือกที่จะไม่กินอะไรเลยในตอนเช้า เพราะกินไม่ไหวจริงๆ มันยากที่จะกลืนอะไรลงคอทั้งนั้น และพอไม่กิน มันก็ทำให้ระหว่างทางเดินไม่มีแรง บางครั้งรู้สึกเหนื่อยมาก เดินไม่ไหว ก็เลยหยิบเอาขนมที่พกมาเข้าปาก หูยยย short bread ที่พกมาแม่งอร่อยมากก อร่อยจนร้อง..อื้มมม ออกมาดังๆ นี่ที่กูไม่มีแรง คือกูหิวนั่นเอง

ทางเดินวันนี้มีแต่หิน ทรายและพุ่มไม้เตี้ยที่ดูแห้งแล้งมาก บรรยากาศเข้าใกล้ดาวอังคารไปทุกที ประกาศ (ไกด์ของเรา) บอกว่าทางที่เรากำลังเดินอยู่นี้ เราเดินบน Khumbu Glacier หรือหินใต้เท้าเรานั้นคือน้ำแข็งนั่นเอง ทางเดินนั้นเดินยากมาก ไม่มีทางที่ชัดเจน ต้องก้าวไปนก้อนหินทีละก้อนและต้องเล็งให้ถูกว่าก้อนที่แกเหยียบลงไปนั่นน่ะมันจะไม่เคลื่อนตัว


ร่องรอยจารึกบนทึกความทรงจำของผู้ชิต EBC

นั่งอ่านแล้วก็เพลินดีนะ

เรามาถึง Gorakshep ประมาณ 11 โมง แวะเข้าที่พักเพื่อเก็บข้าวของและกินอาหารเที่ยงก่อนจะเดินต่อไปยัง EBC ในตอนบ่ายและจะกลับมานอนค้างที่นี่ โรงแรมน่าจะเป็นโรงแรมยอดฮิตดูได้จากของที่ระลึกที่คนฝากไว้มากมาย มีของคนไทยด้วยนะ นั่งอ่านแล้วก็เพลินๆดี สมกับที่ EBC เป็นจุดหมายที่ใครหลายคนใฝ่ฝันว่าจะมาเหยียบมาเยือนสักครั้งในชีวิต ความตื่นเต้นที่ว่าเรากำลังจะไปถึง EBC แล้วทำให้ลืมความเหนื่อยไปได้ชั่วคราว




การที่ไม่ต้องแบกข้าวของติดตัวไป EBC ทำให้การเดินง่ายขึ้นเยอะ เราทิ้งของที่คิดว่าไม่จำเป็นเอาไว้ในห้องพัก พกไปแค่น้ำ ทิชชู่ และขนมนิดๆหน่อยๆไว้เติมพลัง แล้วก็เอากระเป๋าให้ลูกหาบสะพายแทน สบายตัวล่ะ ตลอดทางที่เดินไปก็อารมณ์ดีเริงร่า เพราะตื่นเต้นกับจุดหมายปลายทางที่กำลังจะไปถึง แต่ทางมันก็ช่างเวิ่งว้าง มองไม่เห็นจุดหมายเลยจริงๆ จนประกาศชี้ให้เห็นว่า ตรงนู้นน่ะ คือ base camp แล้ว อีกนิดเดียวเอง




อีกนิดเดียว ... แต่ภาพที่เห็นนี่คืออยู่ด้านล่างๆลิบๆ ให้ลองนึกภาพตามว่าตอนนี้เรากำลังเดินอยู่บนเขา และ base camp คือการต้องเดินลงเขาไป แล้วขึ้นเขาไปอีกลูก .. อีกนิดเดียวเอง .. คิดภาพตอนไปว่าท้อแล้ว คิดถึงตอนขากลับนี่หมดแรงยิ่งกว่า เพราะเราต้องกลับทางเดิม ดังนั้น เดินลงไปเท่าไหร่ แปลว่าแกก็ต้องไต่ปีนเขาขึ้นมาเท่านั้นแหละจ่ะ

จุดสีๆเล็กๆในภาพคือคน ที่เรามองลงไปเห็น

ทางเดินสุดเวิ้งว้าง


เส้นทางนี้ถือได้ว่าเป็นเส้นทางน่าขนลุก เพราะอย่างที่เรารู้กันว่า มีผู้คนมากมายที่มาที่นี่เพื่อตามความฝัน แล้วได้อยู่กับฝันตัวเองตลอดไปไม่ได้กลับลงมา ตลอดทางเราจะเห็นป้ายชื่อคนมากมายวางเอาไว้เพื่อเป็นอนุสรณ์ มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริงๆ แต่ถึงความรู้สึกจะชวนขนหัวลุกมากเท่าใด การปวดฉี่ก็ไม่เคยปราณีใคร ยิ่งวังเวงและหนาวเท่าใด การจะอั้นไว้ก็ยิ่งยากทวีคูณ ถ้าฉันเป็นหมา ก็บอกได้เลยว่าให้กลับมาที่นี่อีกก็ไม่มีหลงทางแน่นอน เพราะได้แสดงความทิ้งลายแทงบอกทางไว้กับหินหลายก้อนแล้ว


สภาพทางเดินตลอดทางจนไปถึง EBC

Everest Base Camp

วินาทีที่เท้าเหยียบลงบนพื้นที่ที่เรียกว่า Everest Base Camp ความเหนื่อยความล้าที่สะสมมาตลอด 8 วันหายไปหมด ไกด์เข้ามาจับมือแล้วกอดพร้อมพูดว่า “Congratulations you made it to the base camp!” หันมองรอบตัวแบบ 360 องศา ตัวเราหดเล็กลง เป็นเพียงแค่ส่วนนิดเดียวของโลก ภูเขาหิมะ และธารน้ำแข็งรอบตัวเราดูยิ่งใหญ่มาก ภาพเบื้องหน้าสวยงามเกินบรรยาย 


EBC 360 องศา

เราสามคน ณ EBC

เราถ่ายรูปอยู่ตรงนั้นอยู่ประมาณ 10 นาทีไกด์ก็ชวนให้เดินกลับ การเดินทางมาที่นี่ใช้เวลา 8 วัน แต่เรามีเวลาดื่มด่ำมันประมาณ 10 นาทีเท่านั้นเลยพยายามซึมซับภาพเพื่อเก็บเป็นความทรงขำให้ได้มากที่สุด เราโชคดีที่มาถึง base camp ในวันที่ท้อง
เปิดแล้วอากาศเป็นใจมาก แต่ .. หารู้ไม่ว่าเราไม่สามารถไว้ใจภูเขาได้เลย เพราะหลังจากนี้ จุดเปลี่ยนกำลังจะมาถึง ..





ระหว่างทางเดินกลับ อีกนิดก็จะถึงที่พักแล้ว อยู่ดีๆลมก็แรงขึ้นจนรู้สึกได้ว่ามันผิดปกติ ภาพตรงหน้าเราคือ ลมพายุที่พัดแรงจนหมุนเป็นลูกพายุกำลังพุ่งเข้ามาหาเรา พวกเราหยุดเดินเพราะไม่สามารถสู้กับทรายที่พัดสาดเข้าหน้าได้ จนต้องยืนหันหลังจนรอให้ลมสงบซักพักแล้วค่อยเดินต่อ ที่เค้าว่าอากาศบนเขาช่วงบ่ายนั้นน่ากลัวคงจะจริง แต่ก็ไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยนแปลงจนเลวร้ายได้ขนาดนี้ เราพยายามเดินเอาตัวเองต้านลมเพื่อให้ถึงที่พัก กว่าจะฝ่ามาได้ก็เล่นเอาเหนื่อยเลยทีเดียว


Khumbu Glacier

เส้นทางน้ำแข็งด้านหลังคือทางเดินขึ้น camp 1

ตามแผนการของเรา วันรุ่งขึ้นเราจะต้องตื่นตี 4 เพื่อเดินขึ้นยอด Kalapathar ไปดูวิวภูเขาแบบ panorama ที่ระดับความสูง 5,550 ม. ซึ่งใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 2 ชม. และเดินลงอีกประมาณชั่วโมงนึง เสร็จแล้วเราจะเดินต่อไปยัง Chola Pass และ Gokyo Lake ซึงสองจุดหมายปลายทางนั้นยากลำบากกว่า base camp อยู่มากและหากเลือกที่จะไปแล้ว เราจะเปลี่ยนใจไม่ได้ ไปแล้วต้องไปให้ถึงไม่มีทางเลือกว่าไม่ไหวแล้วเดินย้อนกลับ และตามปกติแล้ว เส้นทางที่เราต้องไปต่อนั้นจะใช้เวลา 4 วัน แต่เรามีแค่ 2 วัน ดังนั้นแปลว่าในแต่ลัน เราจะต้องเดินมากกว่าคนอื่นอีก 1 เท่าตัวเพื่อให้สามารถพิชิตสองจุดหมายนี้ได้ในเวลา 2 วัน

ด้วยความเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอด 8 วัน บวกกับอากาศที่เบาบางลงทุกวัน อากาศที่หนาวจนถึงกระดูก ทำให้เราเกิดอาการจิตตกและดราม่า หลังมื้อเย็นที่ต้องนั่งคุยกับไกด์ เราคุยกันถึงแผนว่าเราจะเอาอย่างไรกัน ไกด์ถามว่าจะไปต่อไหม เราไม่สามารถตอบได้ ไกด์บอกว่า “ไอคิดว่ายูทำได้” แต่เรากลับไม่แน่ใจในสภาพตัวเองจริงๆ และน้ำตาก็ไหลออกมา ไหลไม่หยุด เป็นครั้งแรกในทริปที่เรารู้สึกอ่อนแอมาก ณ ขณะนั้น ความเงียบเข้ามาครอบงำโต๊ะอาหาร และเรารู้สึกว่างเปล่า เป็นช่วงเวลาที่เหงามากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้


เราเหนื่อยเกินไปแล้ว และเราอยากกลับบ้าน..