Tuesday, June 20, 2017

[Foot Fit Go Tri] ครั้งแรกกับการว่ายน้ำแบบ Open Water

ตั้งแต่ตัดสินใจพาตัวเองเข้าสู่โลกคนบ้าหรือไตรกีฬา โดยมีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ “ฉันจะเป็น Ironman” ก็เริ่มตั้งสติวางแผนคิดว่าฉันจะต้องเริ่มอย่างไรดี นอกจากการวิ่งแล้ว อุปกรณ์สำหรับกิจกรรมประเภทอื่นๆเราแทบไม่มีเลย อย่างแรกที่ทำเพื่อมัดมือชกตัวเองไม่ให้เปลี่ยนใจจากเป้าหมายนี้คือ “การซื้อจักรยาน” หลังจากขายไตซื้อจักรยานแล้ว มานั่งคิดว่ายังขาดอะไรอีกเพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมกับการจะไปเป็นนักไตรกีฬากับเขาบ้าง คงเป็นสกิลการว่ายน้ำแบบ Open Water ที่ไม่เคยมี และไม่เคยคิดว่าจะต้องทำ



แต่เมื่อตัดสินใจจะเล่นไตรกีฬา หนึ่งในสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้คือการต้องว่ายน้ำทะเล ดังนั้นเพื่อเป็นการก้าวข้ามผ่านความกลัวของตัวเอง และอยากรู้ว่าเราจะชอบไหมกับการต้องว่ายน้ำแบบนี้ เผื่อถ้าไม่ชอบจะได้ตัดเป้าหมายนี้ออกจากชีวิตไป เลยเลือกสมัครลงเรียนว่ายน้ำแบบ Open Water โดยได้รับการแนะนำจากสองเพื่อนสาวศิษย์จ่าโอ

คอร์สเรียน Open Water ของ Sport Buddy จะแบ่งเป็นรุ่น แต่ละรุ่นจะเปิดรับจำนวนจำกัด เราเป็นเด็กรุ่น 44 ตอนสมัครไปนี่ก็ไม่ได้มีความรู้อะไรเลย แค่เพื่อนส่งมาว่าอันนี้แหละที่แกต้องไปเรียน ก็จัดการสมัครไปทันทีเพราะกลัวตัวเองเปลี่ยนใจ (ตีเหล็กมันต้องตีตอนร้อน) หลังจากสมัครเรียบร้อย ก็จะได้รับการ invite เข้า Group LINE ที่มี note แจ้งรายละเอียดการเรียนและสถานที่นัดพบคร่าวๆ



คอร์สเรียนแบ่งเป็นสองวัน บ่ายวันเสาร์จะเป็นการลงสระ และเช้าวันอาทิตย์จะเป็นการลงทะเล รอบของเรามีสมาชิกไม่มาก วันเรียนมีนักเรียนในรุ่นรวม 5 คน โดยมีเราเป็นผู้หญิงคนเดียว สวยสุดในสระเลยทีนี้ หลังจากการแนะนำตัวพอหอมปากหอมคอ ก็เริ่มด้วยการเรียนรู้ทฤษฎีกันเบื้องต้น ทั้งท่าว่ายน้ำที่ถูกต้อง การใช้แขน การตีขา และก็ถึงเวลาลงสระ




เริ่มด้วยการสั่งให้ว่ายวอร์ม คนละ 200 เมตร ปกติก็ว่ายได้เป็นกิโลเลยไม่ได้หวั่นใจ แต่.. ปกติว่ายแต่สระ 25 เมตร พอมาเจอสระ 50 เมตรนี่ก็เหนื่อยใช่เล่นเหมือนกัน จากนั้นก็เริ่มการเรียนจริงจังด้วยการฝึกท่า drill และครูก็จะประกบดูรายคนเลยทีเดียว




ด้วยความที่เราว่ายน้ำมาตั้งแต่เด็ก เรียกได้ว่าสมัยเด็กๆนี่ว่ายน้ำจริงจังมาก จนแทบจะไปคัดตัวเป็นนักกีฬาอยู่แล้ว แต่พอโตขึ้นมันก็เลิกไปเอง โดยจำแทบไม่ได้ด้วยซ้ำว่าอะไรทำให้เราเลิกว่ายน้ำ ดังนั้น เรามั่นใจมาตลอดว่าเราเป็นคนว่ายน้ำเป็น ว่ายได้ แต่ .. การมาเรียนครั้งนี้ทำให้เราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่หมด ความมั่นใจที่เคยมีหายไปหมดสิ้น เพราะโดนแก้ตั้งแต่ก้มหน้า ให้ยกศอกไม่ใช่ดึงศอก ตีขาด้วยสะโพกไม่ใช้จากต้นขา มือไม่งุ้มเอามือพายสิ เอาเป็นว่าโดนครูทั้งจิก ทั้งดุ ทั้งส่ายหัวตลอดเวลา





จากนั้นจะเป็นการสอนการเอาตัวรอดในน้ำ ทั้งการลอยตัวเพื่อพักเหนื่อย หรือจะเอาไว้ลอยยามต้องรอความช่วยเหลือหรือหลบข้าศึกก็ได้ การช่วยเหลือตัวเองยามเป็นตะคริวในน้ำ แล้วก็การเอาตัวรอดยามไปแข่งแล้วต้องเจอคนมา attack สรุปแล้วก็ได้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้เยอะพอควร แม้จะต้องทนตากแดดในสระว่ายน้ำยามบ่ายก็ตาม




วันอาทิตย์ วัน D-Day วันที่ทุกคนจะต้องไปเปิดประสบการณ์การว่าย Open Water นัดกัน 05.45 น. ณ หาดดงตาล ฐานทัพเรือสัตหีบ สำหรับเรามันคือครั้งแรก แต่สำหรับคนอื่นน่าจะไม่ใช่ เพราะดูจากความคึกกลบเกลื่อนความนอยแล้ว เราน่าจะมีเยอะกว่าคนอื่น ต้องเกริ่นก่อนว่า เราเป็นคนไม่ชอบน้ำทะเลเอามากๆ ไม่รู้ว่าตัวเองกลัวหรือเปล่า แต่จากที่เคยไปดำน้ำแบบ snorkeling มาก็สามารถทำได้แต่แค่ไม่เอนจอยกับการอยู่เวิ้งว้างในทะเลที่มองไม่เห็นอะไร และรู้สึกขยะแขยงทุกครั้งที่ต้องลงน้ำทะเลเพราะมักจะคันคะเยอเสมอ เลยฝังใจว่า “ฉันเป็นคนเกลียดการเล่นน้ำทะเล”




พวกเราเรียนเทคนิคต่างๆมาเมื่อวานแล้ว วันนี้จึงไม่มีการบรีฟอะไรมาก ทีมครูดูชิลมาก จัดเตรียมน้ำ ขนม ข้าวต้มมัด ข้าวเหนียวหมูปิ้งไว้ให้พร้อม พอฟ้าเริ่มสว่างก็บอกว่าเอาล่ะ มาวอร์มเตรียมตัว เสร็จแล้วก็สั่งให้ว่ายวอร์ม 100 เมตร.. ค่ะ ว่ายเลย เราก็ทำใจดีสู้เสือ เอาก็เอาวะ วิ่งไปขอกำลังใจคุณคนข้างๆที่ทำหน้าไม่เข้าใจว่าตื่นเต้นทำไม แล้วเดินงกๆเงิ่นๆแบบระวังลื่นสุดชีวิตลงทะเลไป สูดหายใจลึกๆแล้วจ้วง  เสร็จสิ้น 100 เมตร กลับเข้ามา วิ่งไปหาคุณคนข้างๆพร้อมบอกว่า “เค้าว่าเค้าไม่โอเคว่ะ” .. “ว่ายน้ำแรกๆมันก็เหนื่อยป่ะ เดี๋ยวก็โอเค” .. เออ ก็ได้วะ




หลังจากวอร์ม ครูให้พักบันเทิงใจ แล้วสั่งว่า เดี๋ยวเราจะว่ายไปที่ทุ่นส้มนั้น ระยะทาง 300 เมตร ไปแล้วกลับเลยนะ ทุ่นส้มผ่านไปด้วยดี ความตื่นเต้นมันมาตรงทุ่น 13 นี่แหละ มองไกลลับตาแทบไม่เห็น กับระยะทาง 700 เมตรจากฝั่ง รอบแรกไปถึงเราจะแวะถ่ายรูปและฝึกลอยตัวกัน ได้รับบรีฟมาตามนี้ และทุกคนก็ออกเดินทาง




ทุ่น 13 มันไกลมาก ว่ายเท่าไหร่ก็รู้สึกว่าไปไม่ถึงสักที อยู่ดีๆก็มีครูโผล่มาข้างๆบอกให้หยุด แล้วบอกว่า เห็นมั๊ยว่าเป้าเราอยู่ที่ไหน คือ เราว่ายออกนอกเส้นทางมาซะเสียทิศเลย ครูเลยบอกว่า “ให้เปลี่ยนเป็นท่ากบทุก 10-15 stroke เพื่อดูทางนะ” กว่าจะพาตัวเองกลับเข้าเส้นทางได้ก็เล่นเอาเหนื่อย เข้าใจแล้วว่าการหลงทิศแล้วเพิ่มระยะให้ตัวเองนี่มันโง่ชัดๆ สุดท้ายก็พาตัวเองไปถ่ายรูปคู่กับทุ่นได้สำเร็จ ขากลับไม่แย่มาก เพราะใจมันบอกว่าเรากำลังจะกลับ บวกกับทิศทางคลื่นที่ช่วยพัดเราเข้าไปด้วย ขึ้นฝั่งมาพัก รอบนี้คงจะใช้พลังงานไปมาก เลยจัดหมูปิ้งกับสัปปะรดล้างเค็มในปากซะอิ่ม




การว่ายรอบสุดท้าย ครูให้ทุกคนตกลงกันเองว่าจะไปทุ่นไหน พวกเรามองหน้ากันอึกอัก แล้วก็พูดออกมาเท่ห์ๆว่า ไปทุ่นไกลก็ได้ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว นั่นสิ .. ใครมันจะกล้าพูดออกมาว่า ขออันใกล้สุดค่ะพี่ แต่รอบนี้โจทย์คือให้ไป แล้วกลับเลย ไม่มีแวะพัก ไม่ให้แวะคุยกัน สูดลมหายใจแล้วพาตัวเองออกไป อาจเพราะความเหนื่อยจากการที่ว่ายมาหลายรอบ รอบนี้เรารู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยมาก เวิ้งว้าง อ้างว้างกลางทะเลสุดๆ จุดหมายมันไกล ไกลจนมองไม่เห็น คลื่นมันก็มาตลอด (ก็แกอยู่ในทะเล) ทั้งต่อสู้กับคลื่น กับจิตใจตัวเองตลอดทาง พอเริ่มเหนื่อย ท่าก็พัง แล้วก็เริ่มจินตนาการถึงสิ่งที่ตามองไม่เห็นในน้ำ กระพรุนก็กลัว เอ้ยแล้วเงาดำๆที่หางตานั่นอะไร




บางช่วงที่ท้อจนจิตหลุดกลางทะเล ถามตัวเองว่า 'กูมาทำอะไรที่นี่?' แล้วก็เกือบยกมือขอความช่วยเหลือ แต่ .. สติที่ยังพอมีรีบบอกตัวเองว่า 'มึงอยากเป็น Ironman ไงบิ๋ม'


การลอยตัวในทะเล

สุดท้ายพาตัวเองกลับเข้าฝั่งได้สำเร็จ 1.4 กม. รอบแรกเราใช้เวลาไป 44.57 นาที แต่รอบที่สองใช้เวลาไป 49.54 นาที ยังถือว่าว่ายช้าอยู่มาก ต้องพัฒนาตัวเองอีกเยอะ แต่ยิ้มให้ตัวเองเบาๆ ที่กล้าเอาชนะความกลัวของตัวเอง

สรุปแล้วว่า คอร์สเรียน Open Water กับ Sport Buddy สนุกดี เหมาะสำหรับใครที่คิดจะเล่นไตร หรืออยากลองว่าย Open Water ดูแต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ลอง หรืออยากมาลองเพราะอยากรู้ว่าตัวเองจะชอบไหมก็ได้ ที่เราว่าดีก็เพราะบุคคลากรและทีมที่พร้อมมาก ทีมจ่าโอและทีมครูทุกคนเป็นทหารเรือ ดังนั้นมั่นใจได้ว่า ชีวิตเราไม่อันตรายแน่นอน (แต่ก็ต้องมีสติเอาตัวรอดกันด้วยนะจ๊ะ) ตลอดการว่ายออกทะเล ทีมครูคอยดูแลดีมาก ทั้งว่ายประกบ ทั้งมีเรือเร็ว เรือแคนู และรถพยาบาลรอบนฝั่งพร้อม

การว่ายน้ำทะเลมันไม่น่ากลัวอย่างที่คิด ครูบอกว่า “ในทะเลมันไม่มีอะไรหรอก เราคิดไปเองทั้งนั้น” ไม่รู้ว่าครูพูดเพื่อให้ไม่กลัว หรือเพราะทุกอย่างมันอยู่ที่จิตและใจของเราจริงๆ แต่เชื่อเถอะ เราทำได้ ทุกคนก็ทำได้ ไม่ลองจะรู้ได้ไง :)