Saturday, October 19, 2013

[Race Diary] Mizuno River Kwai International Half Marathon 2013 ฮาล์ฟมาราธอนที่สวยที่สุด!



บันทึกงานวิ่งครั้งนี้ หมักดองไว้นานมาก วิ่งไปตั้งแต่ 15.09.13 กว่าจะได้มาบันทึกเก็บเอาไว้ก็วันที่ 19.10.13 เสียแล้ว แต่ไม่เป็นไร ยังจำความรู้สึกของการวิ่งในวันนั้นได้เป็นอย่างดี

สะพานข้ามแม่น้ำแคว

สนามนี้เป็นหนึ่งในสนามที่ตั้งใจว่าจะต้องไปวิ่งให้ได้ เพราะได้ฟังมานักต่อนักว่าทางสวยมาก และเป็นงานวิ่งฮาล์ฟมาราธอนที่จัดขึ้นเป็นงานแรกในประเทศไทยอีกด้วย ปีนี้ก็จัดเป็นปีที่ 32 แล้ว..แก่กว่าฉันเสียอีก ทำให้ต้องมานั่งคิด นี่คนไทยเค้าวิ่งกันมานานขนาดนี้แล้วหรือนี่ มันมีการจัดงานวิ่งตั้งแต่ฉันเกิดอีกหรือ แล้วกว่า 28 ปีที่ผ่านมา ทำไม๊ทำไมฉํนไม่เคยรู้เลยว่ามันมีสิ่งเหล่านี้อยู่บนโลกใบนี้


เตรียม พร้อม มาก

งานนี้เช่นเคย เดินทางกันครบแก๊งค์เหมือนเคย เลือกเช่ารถตู้เหมือนทุกครั้งเพราะจะได้ไม่ต้องเหนื่อยขับรถกลับหลังวิ่งเสร็จ ทริปนี้มีการเตรียมตัวดีมาก สมัครล่วงหน้า หาที่พักล่วงหน้า เลยทำให้ได้ที่พัก เขาโทนริเวอร์วิวอยู่ไม่ไกลจากจุดปล่อยตัวเท่าไหร่ แค่ 10 นาทีเท่านั้น ลดเวลาการเดินทางไปและกลับจากการวิ่งไปได้เยอะทีเดียว 


เดะบุญดิฉันเกิดเหตุท้องไส้ปั่นป่วน ท้องเสียระหว่างทาง ใจก็กลัวว่างานนี้จะมีดราม่าอีกหรือ จะให้ฉันวิ่งแบบบันเทิงเริงใจสักครั้งจะไม่ได้หรือไง อาการดูจะแย่ลงเรื่อยๆ ตัดสินใจกินคาร์บอนบรรเทาไว้ และพยายามเลือกทานอาหารที่จะไม่ไปทะเลาะกับของเดิมมากกว่าเดิม (เช่นแกงเหลือง แกงป่า คิคิ) และถือว่านางยังโชคดี ที่อาการดีขึ้นก่อนข้ามวัน

 
ณ จุดเริ่มต้น

กาญจนบุรีเปลี่ยนไปจากเดิมมาก ครั้งสุดท้ายที่ไปเยือนน่าจะเมื่อ 20 ปีที่แล้ว สมัยยังเป็นเด็กน้อยที่อากงอาม่าหอบขึ้นรถไปเที่ยวด้วย ความทรงจำเกี่ยวกับกาญจนบุรีมีน้อยมาก จำได้อย่างเดียว สะพานข้ามแม่น้ำแคว เดินทางไปถึง หาอาหารมื้อเที่ยงทานเรียบร้อย ทำตัวเป็นนักท่องเที่ยวกันสักหน่อย แล้วก็เข้าที่พัก ด้วยฝนที่ตกลงมาตั้งแต่เดินทาง และตกเกือบตลอดทริป ทำให้วิวจากห้องพักดูสวยงามมาก แม้น้ำ ภูเขา หมอกจางๆ บรรยากาศที่เงียบสงบ ทั้งหมดทั้งมวลทำให้รู้สึกว่า มันไม่เหมาะกับการมาเพื่อวิ่งเลยจริงๆ แต่เหมาะกับการหนีความวุ่นวายมาพักผ่อนให้มครตามหาไม่เจอ (เพราะไม่มีทั้งสัญญาณโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ตนะคะ) ขอสิงสถิตย์ดื่มด่ำความสงบแบบนี้นานๆได้ไหม

สาวๆรีบชวนกันเข้านอน เพราะวันรุ่งขึ้นมีภาระกิจยิ่งใหญ่รอเราอยู่ สนามนี้เป็นสนามที่ลงระยะฮาล์ฟกันทั้งแก๊งค์ ทุกคนดูตื่นเต้นสนุกกับการเตรียมชุดและอุปกรณ์กันมาก และสำหรับฉันก็คงแนวทางเดิม ทำตัวให้เป็นมนุษย์พรอพน้อยที่สุดเพราะมันไม่ถนัดกับการพกพาอะไรเยอะแยะเลยจริงๆ

วิ่งเคียงหมอก

ตื่นก่อนไก่ขัน ล้างหน้าล้างตา เตรียมตัวให้พร้อม เช้าวันนั้นกินกล้วย 1 ผล ชีสเค้ก และคิตแคต ถือว่าเป็นเมนูที่พอดีสำหรับฉัน หลังจากลองผิดลองถูกมาหลายงงาน ไปถึงจุดปล่อยตัวก่อนถึงเวลาประมาณ 45 นาที ทำให้มีเวลาเตรียมใจไม่ต้องรีบ วิ่งวอร์มจากทางเข้า เข้าไปยังจุดปล่อยตัว เม้าท์มอยทักทายพี่ๆเพื่อนๆตามประสา พยายามฟังพิธีกรเล่าเส้นทาง และถึงกับตกใจเมื่อได้ทราบว่า..ตลอดระยะทาง 5 กิโลแรกจะเป็นทางขึ้นเขา และขากลับ จะเป็นทางลงเขาตลอด.อ้าววว แล้วใครบอกกก ใครบอกกก ว่างานนี้เรียบๆ ชิลๆ ไม่มีเขา โธ่!!


สัญญาณปล่อยตัวดังก็แตกคอกับเพื่อนสาวชาวแก๊งค์ทันที บอกตัวเองว่าไม่เร่ง ไม่เร็ว เรามาซ้อม จึงพยายามไปช้าๆคุมเพซให้ไม่เร็วเกิน 7 ซึ่งก็เป็นไปตามนั้น เพราะด้วยปริมาณนักวิ่งทั้ง 2 ระยะ (ฮาล์ฟ และ มินิ) ที่ปล่อยตัวพร้อมกันทำให้ไม่สามารถเร่งได้เลย ประกอบกับ 5 โลแรกเป็นทางลาดขึ้นเขายาวจริงๆ คอนเฟิร์มด้วยป้ายจราจรข้างทางที่บอกให้รู้ว่า ทางลาดขึ้นเขาตลอดแนว จอร์จใจร้ายมาก! สารภาพตามตรงว่า 3 โลแรกก็หมดแรงเสียแล้ว ยอมแพ้กับทางขึ้นเขาจริงๆ แต่ก็ค่อยๆเตาะแตะไปเรื่อยๆ เพราะรู้ว่าถ้าเดินตอนนั้น มันจะหยุดทันที

เพื่อนร่วมทางเบาบาง บรรยากาศรอบตัวสวยสงบ

กิโลที่ 6 คนเริ่มเบาลางลง นักวิ่งมินิบางคนกลับตัวแล้ว มองเขาแล้วก็บอกตัวเองว่า ทางของเรายังอีกไกล ด้วยทางที่สวย สงบ รถน้อยมาก และหมอกที่อยู่ตรงหน้าเหมือนจะให้เราวิ่งไปคว้ามาให้ได้ทำให้วิ่งได้อย่างไม่เหนื่อยเท่าไหร่ คอยมองการ์มืน คุมตัวเองให้ไม่ช้าเกิน 7 และไม่ให้เร็วเกิน 6 เพราะแรงจะหมด 


ก่อนจะถึงเส้นชัย

และแล้วเรื่องราวดราม่าก็เกิดขึ้นอีกครั้ง อยู่ดีๆก็ปวดท้องมาก ปวดบริเวณท้องน้อยจนแทบก้าวขาไม่ออก วิเคราะห์แล้วคิกดว่าไม่ใช่อาการท้องเสียแน่ แต่หวั่นว่าจะโดนผีแดงบุก เลยให้วิ่งแบบวิตกจริตไปสักพัก เพราะหากเกิดเหตุผีแดงจริงๆ สภายที่เพื่อนนักวิ่งร่วมทางเห็นมันจะไม่งามแน่ๆ ดิฉันจะกลายเป็นนักวิ่งสาวตกเลือดทันที ใจก็คิดจะหยุด แล้วกลับตัวไปกับกลุ่มมินิดีไหม แต่พลังอึดถึกใจเกินล้านในตัวยังมีอยู่มาก ตัดสินใจวิ่งต่อไป เกิดอะไร ค่อยคิดเอาข้างหน้านะจ๊ะ และถือว่าพระเจ้ายังทรงเมตตาฉัน เพราะวิ่งไปสักพัก อาการปวดก็หายไป เรียกสติกลับคืนมาตั้งใจวิ่ง จนกลับตัว คุยกับตัวเองว่ายังไหวไหม ได้รับคำตอบว่าสบ๊าย เลยตัดสินใจไม่วิ่งซ้อมแล้วเว้ยเฮ้ย 


สถิติใหม่


กลับตัวมาสักพัก พี่ฝนที่ตั้งเค้ามานานก็ได้ฤกษ์เทลงมาซะที และจัดมาเต็มเลยทีเดียว หลังกลับตัว เส้นทางวิ่งไร้เพื่อนนักวิ่งมาก มีเพียงฉัน และเสียงฝน มันเป็นความเงียบที่สงบจนรู้สึกว่า มันสงบเกินไป และทำให้เหงา เลยต้องพยายามมองหาเพื่อนร่วมทางพาหนูไปด้วย แต่ก็เพราฝนทำให้รู้สึกว่าไม่เหนื่อยและวิ่งได้สบายมากจริงๆ 






ช่วง 6 กม สุดท้ายเป็นทางลงเขา สนุกเริงร่าไม่กลัวเจ็บเลยทีนี้ วิ่งสบายและทำเวลาได้ดี ก้มดูนาฬิกา new PB น่าจะเป็นไปได้ เลยใส่เต็มที่ไม่มียั้ง และแล้วก็เข้าเส้นชัยด้วยเวลา 2.11 ชม. กับระยะ 21.44 กม. สถิติระยะฮาล์ฟใหม่ บนทางวิ่งคว้าหมอกที่สวยที่สุด 

จบลงอย่างสวยงาม

งานนี้วิ่งอย่างสนุกจริงๆ เพราะมีแวะถ่ายรูประหว่างทางด้วยนะเออ พูดเลยว่านี่เป็นสนามที่ฉันมีความสุขตลอดการวิ่ง และปีหน้า จะต้องไปอีกให้ได้