Wednesday, February 3, 2016

[Race Diary] จอมบึงมาราธอน 2016: มาราธอนสนามที่ห้าพาเพลิน


ครบ 1 ปีพอดีที่ไม่ได้มาเล่าเรื่องวิ่งของตัวเอง งานวิ่งสุดท้ายที่ได้มาเขียนบล็อคเอาไว้ก็จอมบึงเมื่อปี 2015 หลายคนคงพาลคิดว่าเจ้าของพื้นที่นี้ได้ตายจากไปแล้ว เพราะดูเงียบเหงาเป่าสากมาก แต่จริงๆที่เงียบไปนี่ก็ไม่ใช่ว่าไม่ได้วิ่งเลยนะคะ ยังวิ่งอยู่ (กล้าพูดมาก) แต่วิ่งน้อยลงมากด้วยหน้าที่การงานที่รัดตัวทำให้ไม่สามารถคึกได้อย่างเดิม (ข้ออ้างนั่นแหละ) และอันที่จริงงานวิ่งสุดท้ายที่ไปลงสนามมาก็ไม่ใช่จอมบึงซะทีเดียวนะ มีไปวิ่งเทรลยาหม่องตราเสือที่เขาใหญ่ และกรุงเทพมาราธอนด้วยนะจ๊ะ แต่ไม่ได้เม้าท์เพราะอายเขาที่ได้เกียรติ DNF เป็นสนามแรกตั้งแต่วิ่งมา

เอาความสำเร็จในอดีตมาอวด
และนี่ความช้ำชอก..ก็เอามาอวดเช่นกัน

เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า พล่ามไปมาก็คำแก้ตัวคนขี้เกียจทั้งนั้น ครั้งนี้ถือว่าเป็นครั้งที่ 3 ของเราแล้วที่ไปร่วมวิ่งงานจอมบึงมาราธอน ครั้งแรกคือปี 2014 ตอนนั้นเพิ่งวิ่งมาราธอนเป็นครั้งแรกในงานกรุงเทพมาราธอน เลยคิดว่าไม่อยากวิ่งมาราธอนติดกันมาเกินไป เลยเลือกลงระยะฮาล์ฟมาราธอน จำได้ว่าตอนนั้นวิ่งสนุกมาก อากาศดี และบอกกับตัวเองว่าจะต้องกลับมาวิ่งระยะมาราธอนที่นี่ให้ได้ และปี 2015 เราก็กลับไปตามที่ตั้งใจ ด้วยการลงระยะฟูลมาราธอน  ถ้าจำกันได้ ฟูลครั้งนั้นก็เป็นการไปวิ่งแบบไม่ตั้งใจ เพราะเราเพิ่งบาดเจ็บสาหัสมา สุดท้ายก็ตัดสินใจไปวิ่งในวินาทีสุดท้าย และสนุกมาก และนั่น.... คือเหตุผลที่ทำให้บอกกับตัวเองอีกครั้ง ว่าจะกลับมาซ้ำระยะมาราธอนที่นี่

คณะทรมานบันเทิง

เมื่อความแน่นอนในชีวิตคือความไม่แน่นอน ไอตอนที่ตั้งใจว่าจะไปวิ่งนั้น ชีวิตมันยังไม่มีอะไรที่คิดว่าจะทำให้รูปแบบการดำเนินชีวิตของเราเปลี่ยนไปแต่เมื่อมีโอกาส เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเราก็ต้องเข้าใจว่าชีวิตมันจะไม่เหมือนเดิม เนื่องจากฉันเปลี่ยนงานและช่วงแรกของการทำงานใหม่นั้นไม่สามารถจัดชีวิตตัวเองให้ลงตัวได้เลย การวิ่งเลยน้อยลงไปตามหน้าที่ที่มากขึ้น เมื่อเริ่มวิ่งน้อยมันก็เลยกลายเป็นขี้เกียจไปเลย บวกกับนิสัยไม่ดีส่วนตัวที่ไม่ชอบอะไรที่อยู่ในกระแส พอเห็นคนหันมาวิ่งกันเยอะๆ ซึ่งจริงๆมันคือหนึ่งในกระแสสังคมที่ดีมากนะ แล้วต้องมาแย่งกันสมัครวิ่ง มาสู้กับคนจำนวนเยอะๆในงานวิ่ง มันยิ่งทำให้ความรู้สึกสนุกกับโลกของการวิ่งของเราค่อยๆหายไป จนกลายเป็นว่าฉันยังวิ่งอยู่ แต่วิ่งตามโอกาสอำนวยเพื่อรักษาความฟิตที่ยากจะรักษาของตัวเองและไม่ไปวิ่งงานวิ่งแล้ว




จากที่เกริ่นไปตอนต้นว่า ก่อนจะมาวิ่งจอมบึงในครั้งนี้ งานสุดท้ายที่ฉันวิ่งคือ ฟูลมาราธอนในงานกรุงเทพมาราธอน ซึ่งทุกคนก็น่าจะสรุปความได้จากสิ่งที่ฉันพล่ามไปว่า “ฉันไม่เคยซ้อมวิ่งยาวเลย” ไม่ว่าจะเป็นก่อนกรุงเทพมาราธอน หรือก่อนจอมบึงมาราธอนในครั้งนี้ ทุกครั้งที่ลงระยะมาราธอน ยังคงหลอกตัวเองอยู่เสมอว่าตัวเองมีบุญเก่าอยู่ค่ะ ซึ่งมันคือการหลอกตัวเองจริงๆนะ ไม่มีบุญอะไรที่ช่วยได้เลยเมือ่ไม่ได้ซ้อม และแทบไม่ได้ออกมาวิ่ง ก่อนวิ่งระยะมาราธอนทุกครั้ง ระยะที่เราซ้อมได้มากที่สุดคือ 15 กม. ก่อนงานกรุงเทพมาราธอนประมาณ 1 เดือน และ 10 กม. ก่อนจอมบึงมาราธอน 1 สัปดาห์ พอเดาได้แล้วใช่ไหม ว่าฉันจะมีสภาพอย่างไรในสนามวิ่ง ....



ให้พูดตรงๆแบบไม่อาย จริงๆคือลืมว่าตัวเองจะต้องวิ่งมาราธอนในงานจอมบึง และกว่าจะจำได้ว่างานจอมบึงกำลังจะถึงแล้วก็ช่วงปีใหม่นั้นแหละ ก่อนหน้านั้นลืมทุกอย่างในโลก เพราะพาตัวเองหนีไปเที่ยวคนเดียวแบบมีความสุขมาก (ไว้มาเล่าเรื่องการเที่ยวคนเดียวครั้งแรกดีกว่า) จนลืมว่า เฮ้ยยยยย...จะวิ่งมาราธอนแล้วนะแก ครั้นจะให้ซ้อมมันก็ไม่ทันแล้ว แล้วก็เหมือนเคย ปลอบตัวเองว่า “กินบุญเก่า เราซ้อมระยะมาแล้วตอนงานกรุงเทพมาราธอนไง”

มีจัดบริการนวดไว้บริการฟรีด้วยนะเออ

โอเคมาเข้าเรื่องงานจอมบึงมาราธอนซะทีดีกว่า งานนี้ได้รับการกล่าวขานว่า “เป็นหนึ่งในสนามวิ่งที่ดีที่สุดในประเทศไทย” เห็นด้วยนะกับสิ่งที่เขาพูดกัน งานนี้จัดได้ดีมาก เป็นงานระดับอำเภอที่จัดได้ดีมากกว่างานระดับประเทศเสียอีก เรียกได้ว่าตบหน้าผู้จัดงานใหญ่ยักษ์ระดับประเทศที่เอาชื่อเสียงเมืองหลวงไปย่ำยีแล้วยังทำขายหน้าได้มากเลยทีเดียว ตั้งแต่ก้าวเท้าเข้าไปในเขตมหาวิทยาลัยฯ จนถึงเดินทางกลับ นึกอยู่ในใจตลอดนะว่า ไอคนที่เขาจัดงานระดับชาตินั่น เขาจะมาดูงานนี้บ้างไหมหนอ 

คนวิ่งเยอะ แต่บรรยากาศการรับเบอร์ไม่วุ่นวายเลย
มีการตั้งจุดรับแก้ทุกปัญหา

โอเคกลับมาที่เรื่องจอมบึง การรับเบอร์ รับเสื้อของงานนี้เป็นระบบมาก เจ้าหน้าที่ทุกคนรู้เรื่องทุกอย่างเป็นอย่างดี ทำงานได้รวดเร็วไม่มีความวุ่นวาย มีการประกาศประชาสัมพันธ์ และติดป้ายประชาสัมพันธ์สิ่งที่นักวิ่งและผู้ร่วมงานต้องรู้ไว้ตลอด มีเอกสารอธิบายทุกอย่างไว้ระเอียดมากแจกมาใน running kit ถ้าหยิบมาอ่าน ก็พูดได้ว่าเขาบอกเราแล้วทุกเรื่อง ทีเด็ดอีกอย่างของงานนี้ คือ ได้ มีการจัดกลุ่มในการปล่อยตัว โดยแบ่งเป็น A-D หรือ F ไม่แน่ใจ จัดกลุ่มตามระยะเวลาที่คิดว่าตัวเองจะวิ่งจบ ใครเป็นพวกขาแรงก็ไปก่อน จะได้ไม่เกะกะกัน ซึ่งก็เป็นการจัดระบบที่ดีนะ อยากให้งานใหญ่ๆที่มีนักวิ่งมาราธอนเยอะๆจัดแบบนี้ทุกงาน

ป้ายประชาสัมพันธ์เส้นทางการวิ่งชัดเจน


หลังจากรับเบอร์ ความรู้สึกตื่นเต้นก็มาเยือน ก่อนหน้านั้นไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่ตื่นเต้นเลยแค่คิดว่ามางานวิ่งอีกงาน วิ่งให้จบก็พอ แต่พอได้มาเจอบรรยากาศ เจอหน้าหลายๆคนที่คุ้นเคยกันทำให้รู้สึกตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก อาจเป็นเพราะทุกคนดูเตรียมตัวมาพร้อมมาก แต่ฉันนี่สิยังกังวลว่าจะรอดไม่รอด เลยพาลกลายเป็นพารานอยด์มากจริงๆ พยายามจะนอนให้หลับก็นอนไม่ค่อยหลับตามประสาการเปลี่ยนที่นอน รู้ตัวอีกทีก็ตีสองแล้ว ถึงเวลาเผชิญหน้ากับมันอีกแล้วสินะ เจ้ามาราธอน
รีบพาตัวเองลุกจากเตียงเพื่อแต่งตัว เข้าห้องน้ำ เตรียมความพร้อม มื้อเช้าสำหรับมาราธอนครั้งนี้เป็นขนมปังสังขยา 2 ลูกกับน้ำเต้าหู้เวอร์จิ้น (ไม่ใส่น้ำตาล) 1 ถุงที่ซื้อมาจากตลาดนัด แล้วก็ออกเดินทางสู่จุดปล่อยตัว


ร้านครัวตะนาวศรีผู้สนับสนุนการวิ่งมาราธอนอย่างเป็นทางการ
ตลาดนัดราชรียามเย็น

บรรยากาศ ณ จุดปล่อยตัวคึกคักและดูจริงจังมาก งานนี้เค้ามีการถ่ายทอดสดด้วยนะเออ คือ เป็นงานที่โคตรบิ่งใหญ่ไปเลย หลังสัญญาณปล่อยตัวดัง ไม่มีเวลานอยด์อะไรอีกแล้วได้แต่บอกตัวเองว่าทำให้ดีที่สุด วิ่งไปได้สักพัก ยังไม่ถึง 2 กม.แรกดี โดนแซงเยอะมาก น่าจะเป็นสัก 100 คนได้ คิดในใจว่า “ทำไมนักวิ่งเดี๋ยวนี้วิ่งกันเร็วจังวะ จะรีบไปไหนมีอีกตั้งสี่สิบกว่าโลให้วิ่งนะแกกกกก” หลายคนดูท่าว่าซ้อมมาดี ดูฟอร์มดีมาก มันทำให้ฉันนึกย้อนถึงสมัยที่ฉันเป็นนักวิ่งมาราธอนที่ดี.. บางทีเราก็ไม่ควรยึดติดกับอดีตที่สวยงามเนอะ

ณ จุดปล่อยตัวที่คนเยอะมาก

ประคองตัวเองให้วิ่งไปเรื่อย และก็ต้องแปลกใจที่วิ่งได้ดีกว่าที่ตัวเองคาดไว้พอสมควร ผ่าน 10 กม.ที่เวลาประมาณ 1.10 ชม ถือว่าเป็นเวลาสำหรับ 10 กม.ที่ดีที่สุดในรอบสองปีได้ เริ่มใจชื้นยิ้มกริ่มว่าวันนี้จะต้องสวยงามแน่ๆ วิ่งไปได้อีกสักพักใหญ่ ท้องไส้เริ่มปั่นป่วน ดันมาป่วนตอนเข้าโซนไร้ส้วมแล้วด้วยสิ เจอห้องน้ำนึงเลยรีบวิ่งเข้าไป แต่กลับกลายเป็นว่าคิวยาวมาก ยืนรอสักพักรู้สึกเสียเวลา เลยตัดสินใจว่าวิ่งไปก่อนดีกว่าไปหาเอาดาบหน้า วิ่งไปอีกนิดนึง เจอบ้านที่มีธงเขียวอยู่ ซึ่งผู้จัดงานบอกว่า บ้านไหนที่มีสัญลักษณ์ธงเขียวแปลว่าสามารถไปขอเข้าห้องน้ำได้ เลยวิ่งเข้าไปทันที เจอลุงชี้ว่าส้วมหลังบ้านเลยลูก

กองเชียร์ให้กำลังมีให้ตลอดวิ่ง

แต่แล้วความรู้สึกผ่อนคลายที่จะได้ปลอดทุกข์ก็โดนทำลาย เมื่อถอดกางเกงนั่งยองๆลง และหันไปข้างๆเจอ “พี่เขียด” (ไม่แน่ใจว่าเรียกเขียดหรือเปล่า แต่มันไม่ใช่กบแน่) คุณเอ๊ย ณ สภาพถอดกางเกงไร้ทางสู้ สิ่งเดียวที่ทำได้คือสะกดจิตพี่เค้า “อย่าขยับนะจ๊ะ ขอน้องปลดทุกข์เถอะ” เหมือนพี่เค้าจะเข้าใจนะก็เลยยอมอยู่นิ่งๆ แต่ชีวิตมักไม่เรียบง่ายให้สบายใจเสมอ เสร็จธุระหยิบขันตักน้ำขึ้นมา วินาทีที่เทน้ำออกจากขัน มันมีพี่เขียดกระโดดลงมา 1 ตัว หูยยย... พูดเลยยยย ช็อคมากกก สตั๊นและอึ้งทำใจไปหลายวิ และรู้ตัวเลยว่า รอบตัวมันจะต้องมีอีกเยอะ ได้แต่บอกตัวเองว่าอย่ามองไม่งั้นจะหัวใจวายตายคาส้วมคงไม่ดีแน่ พอกลับหลังหันมาจะเปิดประตูออกจากส้วมเท่านั่นแหละ คุณเอ๊ยยยย...เต็ม จัดเต็มทั้งผนังมาก กลั้นในใส่เพซสี่วิ่งออกจากส้วมกันเลยทีเดียว

งานวิ่งหนึ่งเดียวที่มีแจก "ขนมครก"

เลือดสูบฉีดจากส้วมแล้วเราก็มาตั้งสติวิ่งกันต่อไป ตั้งแต่โลที่สิบ จนเข้าส้วมและออกจากส้มมานี่วิ่งได้ดีมากนะ ยิ่งใกล้จุดกลับตัวกิโลที่ 25 นี่รักษาความเร็วได้ดีมาก อะไรไม่รู้ทำให้เราบอกตัวเองว่า “วันนี้ตายเป็นตายเจ้บเป็นเจ็บ ฉันจะเอา new PB จอมบึง” คุมให้อยู่ในช่วงเพซ 7 ได้ตลอด ดูเวลาคำนวนในหัว เราต้องจบภายใน 5 ชม.นิดๆได้แน่ๆเพราะตอนนี้เราวิ่งนำ pacer 5.30 มาตลอดทางและยังวิ่งสวยงามไปจนเกือบกิโลที่ 30 และที่นี่แหละ “พี่ตะคริว” เค้ามาหาเราอีกแล้ว


วิ่งอ้วนๆ ณ กม. 40

หลังจากตะคริวเริ่มตอด ก็ทำให้ใจสั่น ยิ่งต้องลดความเร็วลง แวะคลายเส้นถี่ขึ้นจน pacer 5.30 นำไปหลายช่วงตัวยิ่งใจเสีย แดดเริ่มร้อนขึ้น ร้อยจนเผาเหมือนอุณหภูมิ 40 องศา พี่หนึ่งหนุ่มเซอร์วิสแมนสองปีซ้อนมาประกบดูแล อัดสเปรย์และปั่นอยู่ข้างๆไม่ทิ้งไปไหน และคงจะเห็นเราเริ่มดูแย่เพราไม่พูดไม่จาเลยงัดไม้ตายแนะนำเทคนิคลดความร้อนด้วยการบอกให้เอายาหม่องป้ายที่จุดชีพจร พร้อมเอายาหม่องออกมาทาข้อมือ ข้อพับ หลังหูให้ เฮ้ยย..มันเป็นเทคนิคที่เริ่ดมาก คือ เย็นสบายอารมณ์ดีขึ้นมาเลยทีเดียว ขอให้ทุกคนนำไปใช้กันมันเจ๋งจริง

ยัง ยิ้ม ได้

ตะคริวยังไม่หายไปไหนและเริ่มหนักขึ้นจน กม.ที่ 39 แวะพักและรู้สึกไม่ไหวแล้ว ก้าวขาไม่ออกแล้ว แต่ฉันจะต้องไม่ DNF เพราะมันอีกนิดเดียวเท่านั้น หันไปบอกพี่หนึ่งว่า “ไม่ไหวแล้ว จะร้องไห้แล้ว” พี่หนึ่งบอกว่า “ถ้าร้องอย่าลืมถอดแว่นกันแดดออก คนอื่นจะได้เห็น ดราม่าดี” งอแงแค้ไหนสุดท้ายก็ต้องวิ่งอยู่ดี วิ่งไปจนไล่ทัน pacer 5.45 ที่มัวแต่ถ่ายรูป เลยบกมือไหวพี่ลุงมาดว่า ขอหนูเข้าเส้นชัยก่อนนะพี่ แล้วก็เลยวิ่งเกาะเค้ามาเรื่อยๆ




โค้งสุดท้ายก่อนเข้าม.ราชชภัฎจอมบึง หายใจลึกๆบอกว่าตัวเองว่ามันจะจบแล้ว กองเชียร์ตะโกนบอกให้สู้ๆ เลยถามเค้าไปว่าอีกไกลไหม พอได้ความว่า 400 เมตร จึงตัดสินใจเร่งสปีดเพื่อสปริ๊นท์เข้าเส้นชัย ถึงเส้ยชัยด้วย pace 5 กับเวลา 5.44 ชม. 'อีกหนึ่งสนามที่น้ำตาซึม ดีใจที่จบ ดีใจที่ทำได้ดีกว่าที่คิด ดีใจ..ที่ชนะใจตัวเองได้อีกครั้ง'




จอมบึงมาราธอนเป็นสนามวิ่งที่สนุกที่สุดในประเทศไทย สนุกเพราะกองเชียร์ สนุกเพราะน้ำใจของชาวบ้าน สนุกเพราะงานนี้ไม่มีอะไรให้หงุดหงิดใจ แต่จอมบึงมาราธอนในความทรงจำของฉันกำลังจะหายไป จอมบึงมาราธอนที่เป็นงานท้องถิ่น สนุกในแบบงานเล็กๆที่ชาวบ้านร่วมแรงร่วมใจกัน แต่เมื่อจอมบึงกลายเป็นงานยิ่งใหญ่ มนตร์เสน่ห์ของจอมบึงก็ค่อยๆเลือนลางไป




คงต้องทิ้งท้ายไว้เหมือนทุกครั้ง ทุกคนวิ่งมาราธอนได้ แต่ใช่ว่าทุกคนจะวิ่งมาราธอนได้ หลังจบมาราธอนสภาพร่างกายฉันปกติดีค่ะ จะมีตึงก็แค่ 2 วันแรกจากนั้นก็สบายๆเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ก็ไม่ได้แปลว่าคุณจะวิ่งโดยไม่ซ้อมแล้วไม่เจ็บไม่ปวดได้เหมือนฉัน แม้จะไม่ซ้อมแต่ฉันยังวิ่งอยู่เรื่อยๆและออกกำลังกายสม่ำเสมอ แค่ทำเงียบๆ ไม่ไดออกสื่อเท่านั้นแหละน่า

ท้ายสุด .. มาราธอนไม่เคยง่าย โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ได้ซ้อม ถ้าซ้อมดีเราก็จะวิ่งสนุก แต่ไม่ซ้อมก็วิ่งสนุกไปอีกแบบนะ สนุกแบบสาหัส มาราธอนเป็น “ทรมานบันเทิง” ที่แท้จริง




12 comments:

  1. สวัสดีครับ ผมคนที่ทักทั้งที่กรุงเทพฯมาราธอน 58 และตอนปล่อยตัวที่จอมบึง... :)

    ReplyDelete
    Replies
    1. สวัสดีค่าาา :)

      Delete
    2. พัทยาปีนี้จะไปร้องให้ เอ๊ย!! วิ่งอีกป่าวครับ ^^

      Delete
    3. ตอนแรกก็นึกคึกว่าจะไปค่ะ แต่พอดูวันแล้วเห็นว่าตรงกับช่วงหยุดยาว เลยอาจะไม่ไปเพราะเกรงว่าพัทยาจะคนเยอะ รถติดน่าปวดหัวค่าาาา

      Delete
  2. This comment has been removed by the author.

    ReplyDelete
    Replies
    1. สวัสดีค่ะคุณเจน เห็นว่าคุณเจนเข้ามาคอมเม้นท์ แต่พอเข้ามาดูลบไปแล้ว ถ้าคุณเจนเห็นข้อความนี้ ติดต่อกลับมาหาบิ๋มอีกทีนะคะ :)

      Delete
    2. คุนบิ๋มคะ งงจังมันโพสต์ไม่ได้คะ

      Delete
    3. คุนบิ๋มเห็นโพสต์มั๊ยคะ

      Delete
    4. คุณเจนคะ บิ๋มเห็นว่ามีคุณเจนมาคอมเม้นต์ เพระามันส่งเข้าอีเมล แต่พอกดเข้ามาดูในบล็อคกลับไม่มี ไม่แน่ใจว่าคุณเจนได้มาคอมเม้นต์ไว้จริง หรือระบบมันรวนคะ ถ้าได้รับข้อความนี้ รบกวนตอบกลับด้วยค่ะ ขอบคุณค่ะ

      Delete
  3. คุณบิ๋มเห็นมั๊ยคะ

    ReplyDelete
    Replies
    1. เห็นค่ะ แล้วก็ได้อ่านทุกคอมเม้นต์ก่อนหน้านี้ของคุณเจนเพราะมัน notify มาในอีเมลแต่เข้ามาใน blog ก็ไม่เห็นค่ะ ยังไงคุณเจนเมลคุยกับบิ๋มก็ได้นะคะ bimbim.lk@gmail.com :)

      Delete
    2. ขอบคุณมาก ๆ เลยคะ

      Delete