Saturday, February 18, 2017

[Foot Fit Journey] เรื่องเล่าจาก Everest Base Camp Trekking: Day 5 Namche – Pangboche

[21 ธันวาคม 2559] Namche Bazaar (3,440m) – Pangboche (3,985m)




สรุปแล้วเมื่อวานที่ปวดท้องตลอดทางเดินไป Hotel Everest View นั้นคือท้องเสีย แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าองเสียเพราะอะไร กินยาแก้ท้องเสียเพราะการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่และปล่อยให้ถ่ายไปจนกว่าจะหายเองคงทำไม่ได้ กินยาแล้วแต่ยังนอนปวดท้องไปทั้งคืน คืนที่ผ่านมาเลยนอนหลับไม่สนิท


พ่อบอกว่าถ่ายรูปคู่กับลามาให้ดูหน่อย


ตามแผนวันนี้ เราต้องเดินไปที่ Thyangboche (บางคนเรียก Tengboche) แต่ไกด์เห็นว่าเราเดินได้อึดดี ทำเวลาได้ดีในทุกวัน จนไกด์พูดว่า “You are a strong woman from Thailand” ฟังดูมีความอึดถึกยังไงไม่รู้ แต่จะถือว่ามันเป็นคำชมก็แล้วกัน วันนี้เราเลยจะเดินไกลกว่าที่ตั้งใจกันไว้ โดยจะเดินไปจนถึง Pangboche เลยจุดหมายเดิมไปอีกประมาณ 1 ชม. ซึ่งก็จะทำให้ในวันรุ่งขึ้น เราเดินน้อยลงนั่นเอง


เดินทางราบแบบนี้ไปเรื่อยๆ

วิวระหว่างพักกลางวัน


เริ่นต้นวันบบสบายๆ เป็นทางราบเรียบไปจนถึงจุดพักกินอาหารกลางวัน ไอเราก็สบายใจเย็นใจ ถ้าเป็นแบบนี้ให้เดินเลยไปอีกสักสองสามหมู่บ้านก็สบ๊าย แต่ชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ ทางแม่งเป็นเดินขึ้นเขาตลอด แดดก็ร้อนมาก ร้อนจนระอุจนไกด์เองยังออกอาการว่าไม่ไหว ร้อน พวกเราเริ่มพักตามทางกันถี่ขึ้นมาก ไกด์บอกว่า ปกติตรงนี้มันไม่เคยร้อนขนาดนี้เลยนะ

พักยืดแข้งยืดขา

มักกะโรนีกบัมเขือเทศและกระเทียม

ตลอดทางยังคงเจอคนหน้าเดิมๆ อย่างที่บอกว่าถ้าเร่มต้นการเดินทางพร้อมกับใคร มันก็จะวนให้เจอกันไปมาอยู่อย่างนั้นแหละ แต่วันนี้ หลายคนพักที่ Thyangboche การที่เรามาพักที่ Pangboche เลยเป็นแขกเพียงคนเดียวของโรงแรม และตลอดทางที่เดินมายังหมู่บ้านนี้เงียบมาก ไม่มีคนอื่นนอกจากเราสามคนเลยจริงๆ


วิวตลอดทางวันนี้

คณลุงผู้ดูแลเส้นทาง trekking

ระหว่างทางออกจากนัมเช มีคุณลุงผู้ดูแลเส้นทางเทรคกิ้งตั้งโต๊ะรับบริจาคอยู่ ไกด์เล่าว่าลุงคนนี้ใช้เงินบริจาคนี่แหละ ดูแลเส้นทางเดินให้เดินง่าย จะได้มีเทรคเกอร์เดินทางมาเยอะๆ เราใส่กล่องไป 500 รูปี ไกด์บอกว่า นี่ยูช่วยทำทางเดินไปประมาณ 20 กม.เลยนะ” ฟังแล้วก็น่าชื่นใจ

Thyangboche Monasty



ถึง Thyangboche แวะเข้าวัดที่เป็นสัญลักษณ์ของหู่บ้าน วัดนี้ใหญ่และสวยมากท่านกลางขุนเขา เดินเล่นสักพัก ไกด์บอกให้ไปต่อ ทางเดินจาก Thyangboche ไป Pangboche เงียบสงัดมาก ไกด์บอกว่าไปอีกไม่ไกล ประมาณชั่วโมงนึงไหวใช่ไหว ทางเดินสบายๆ แต่เงียบสงัดเพราะไม่มีใครเดินไปเลย ทุกคนแวะพักหมดแล้ว ยิ่งเดินยิ่งวังเวง และไกด์กับลูกหาบก็ล่วงหน้าไปก่อนไม่รอกันเลย เดินคนเดียวก็แอบมีขนลุกนะ เพราอยู่ดีๆอากาศก็เย็นขึ้นมาซะงั้น





โรงแรมที่พักวันนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่ดีที่สุดของทริป เพราะมีห้องน้ำในตัว แต่..ไกด์ก็จะไม่แนะนำให้อาบน้ำนะ เพราะขึ้นมาบนที่สูงระดับสี่พันแล้ว ร่างกายจะปรับตัวไม่ได้ ควรทำตัวให้อุ่นไว้ ซึ่งสิ่งนี้มารู้ทีหลังหลังจากสระผมเรียบร้อยแล้วไปโม้กับไกด์ว่าสบ๊ายสบาย เลยโดนดุเลย




Skill ใหม่ที่เรียนรู้วันนี้คือ การสระผมแบบไม่ให้ตัวเปียกเพราะไม่มีน้ำร้อน เราเลยตักน้ำราดหัว เอาหัวชะโงกไปตรงชักโครก ราดแล้วสระสบายจริงเชียว เย็นถึงสมองเลยทีเดียว การเดินทางแบบนี้ ทำให้เราได้เรียนรู้การใช้ชีวิตให้รอดในรูปแบบใหม่ๆทุกวัน ตอนแรกคิดว่าสระผมแบบนี้พีคแล้ว แต่ไม่ใช่เลย ยิ่งนานวัน เรายิ่งได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆเสมอ






ใช้ชีวิตบนภูเขมาห้าวันแล้ว ฟังดูไม่น่าแต่ความรู้สึกคือนานมาก มื้อเย็นวันนี้เลยอยากกินอาหารที่มีรสชาติมากขึ้นเพราะปกติเป็นคนกินรสจัดมาก เอาผงลาบโลโบ้ที่ผงมา มาคลุกกินกับ Dhal bat อื้อหืออออออ ผงลาบโลโบ้จะเยียยาทุกสิ่งจริงๆ จากที่หดหู่เหงาๆ พอได้ความแซ๋บเข้าไปเท่านั้นแหละ อารมณ์ดีเลย




ด้วยความที่เป็นแขกคนเดียวของโรงแรมนี้ เลยเหมือนมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวเนปาลีแท้ๆ เจ้าของโรงแรมเป็นหนุ่มวัยรุ่น เคยมาเที่ยวไทย พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก นั่งคุยกันจึงได้รู้ว่า ที่เราบ่นหนาวน่ะ สำหรับคนที่นี่คืออากาศอุ่นมากแล้ว และปีนี้ถือว่าอากาศหนาวช้ามากซึ่งผิดปกติ ได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่จริงๆ ว่าเค้ากินอะไรกัน ตกเย็นทำยังไง ก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ดี


ชีวิตทุกคืนคือการนั่งสุมกันหน้าฮีทเตอร์

เลยจากนัมเชขึ้นมา จะไม่มี WiFi แบบ unlimited ให้ใช้แล้ว แต่จะต้องซื้อ pre-paid wifi ของ Everest Link ใช้แทน วันนี้เลยซื้อ 200MB และ 200 MB นี้ แค่อัพรูป 4 รูปขึ้นเฟสบุคก็หมดแล้ว!!!!


wifi-prepaid

วันนี้ด้วยความเหนื่อย ทำให้ตลอดทางเดินไม่ค่อยมีบทสนทนา จึงทำให้คิดอะไรในหัวเยอะแยะมากมาย เราคิดว่าส่วนหนึ่งของความคิดในหัว น่าจะมาจากความเพ้อนิดๆเมื่อใช้ชีวิตบนที่สูงและออกซิเจนน้อย

สิ่งที่คิดได้ระหว่างทางวันนี้ ...

... การ trek สอนให้เราทิ้งสิ่งที่ไม่จำเป็น และเลือกเอาแต่สิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตติดตัวมาเท่านั้น ยิ่งแบกมาก ยิ่งขนมาก เอมาก ก็จะมีภาระมาก การใช้ชีวิตก็เช่นกัน อย่ายึดติดกับอะไรมาก มันเหนื่อย

... อย่าคิดถึงทางข้างหน้า แต่ให้โฟกัสกับแต่ละก้าวตรงหน้าเท่านั้น สติในทุกก้าวสำคัมากที่สุด ก้าวพลาดนิดเดียวอาจเจ็บหรือตายได้ เพราะนี่ก็หน้าทิ่มมาหลายทีแล้วเหมือนกัน

... เราโชคดีแค่ไหนที่มีเท่าที่เรามี ได้เห็นอะไรมากกว่าใครอีกหลายคน


ทางยาก แดดร้อนแค่ไหนก็ต้องเดิน

... ใครว่า trekking เดือนธันวาที่เนปาลหนาว อยากให้เปลี่ยนความคิดให่ มันไม่หนาวแต่รอนมาก ตอนกลางคืนอ่ะหนาวใช่ แต่ก็อยู่ในระดับที่มีชีวิตอยู่ได้ ใครว่า trekking ต้องหาคนมาด้วย มาคนเดียวก็ได้สบายดี ได้เดินในจังหวะของตัวเอง ที่สำคัญไอการมาคนเดียวนี่แหละ ทำให้เรางอแงไม่ได้ มันไม่มีใครให้งอแงด้วย สุดท้ายเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องไป ทะเลาะกับตัวเองไปเรื่อยๆ

... พักได้ไม่มีใครว่า ช้าได้ไม่มีใครเร่ง

น้ำแข็งนี้ที่ลืนมาแล้ว

... การ trek คนเดียว เดินทางไปที่ๆไม่เคยไปคนเดียว ฝึกให้เรากล้าตัดสินใจและแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากขึ้น ปกติเราเป็นคนเยอะ ที่มักตัดสินใจเลือกอะไรยาก แต่การเดินทางครั้งนี้ ฝึกให้เรากล้าที่จะเลือกมากขึ้น จะกินไม่กิน จะพักไม่พัก จะซื้อไม่ซื้อ เธอต้องกล้าตัดสินใจ

แสงสุดท้ายของวัน จากวิวหน้าโรงแรม


ราตรีสวัสดิ์ จากความสูงระดับเกือบ 4,000 เมตร


No comments:

Post a Comment