[21 ธันวาคม 2559] Namche Bazaar (3,440m) –
Pangboche (3,985m)
สรุปแล้วเมื่อวานที่ปวดท้องตลอดทางเดินไป Hotel
Everest View นั้นคือท้องเสีย
แต่ก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าองเสียเพราะอะไร
กินยาแก้ท้องเสียเพราะการใช้ชีวิตอยู่ที่นี่และปล่อยให้ถ่ายไปจนกว่าจะหายเองคงทำไม่ได้
กินยาแล้วแต่ยังนอนปวดท้องไปทั้งคืน คืนที่ผ่านมาเลยนอนหลับไม่สนิท
พ่อบอกว่าถ่ายรูปคู่กับลามาให้ดูหน่อย |
ตามแผนวันนี้ เราต้องเดินไปที่ Thyangboche (บางคนเรียก Tengboche) แต่ไกด์เห็นว่าเราเดินได้อึดดี ทำเวลาได้ดีในทุกวัน จนไกด์พูดว่า “You
are a strong woman from Thailand” ฟังดูมีความอึดถึกยังไงไม่รู้
แต่จะถือว่ามันเป็นคำชมก็แล้วกัน วันนี้เราเลยจะเดินไกลกว่าที่ตั้งใจกันไว้
โดยจะเดินไปจนถึง Pangboche เลยจุดหมายเดิมไปอีกประมาณ 1
ชม. ซึ่งก็จะทำให้ในวันรุ่งขึ้น เราเดินน้อยลงนั่นเอง
เดินทางราบแบบนี้ไปเรื่อยๆ |
วิวระหว่างพักกลางวัน |
เริ่นต้นวันบบสบายๆ เป็นทางราบเรียบไปจนถึงจุดพักกินอาหารกลางวัน
ไอเราก็สบายใจเย็นใจ ถ้าเป็นแบบนี้ให้เดินเลยไปอีกสักสองสามหมู่บ้านก็สบ๊าย
แต่ชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น หลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ ทางแม่งเป็นเดินขึ้นเขาตลอด
แดดก็ร้อนมาก ร้อนจนระอุจนไกด์เองยังออกอาการว่าไม่ไหว ร้อน พวกเราเริ่มพักตามทางกันถี่ขึ้นมาก
ไกด์บอกว่า ปกติตรงนี้มันไม่เคยร้อนขนาดนี้เลยนะ
พักยืดแข้งยืดขา |
มักกะโรนีกบัมเขือเทศและกระเทียม |
ตลอดทางยังคงเจอคนหน้าเดิมๆ อย่างที่บอกว่าถ้าเร่มต้นการเดินทางพร้อมกับใคร มันก็จะวนให้เจอกันไปมาอยู่อย่างนั้นแหละ แต่วันนี้ หลายคนพักที่ Thyangboche การที่เรามาพักที่ Pangboche เลยเป็นแขกเพียงคนเดียวของโรงแรม และตลอดทางที่เดินมายังหมู่บ้านนี้เงียบมาก ไม่มีคนอื่นนอกจากเราสามคนเลยจริงๆ
วิวตลอดทางวันนี้ |
คณลุงผู้ดูแลเส้นทาง trekking |
ระหว่างทางออกจากนัมเช
มีคุณลุงผู้ดูแลเส้นทางเทรคกิ้งตั้งโต๊ะรับบริจาคอยู่ ไกด์เล่าว่าลุงคนนี้ใช้เงินบริจาคนี่แหละ
ดูแลเส้นทางเดินให้เดินง่าย จะได้มีเทรคเกอร์เดินทางมาเยอะๆ เราใส่กล่องไป 500 รูปี ไกด์บอกว่า “นี่ยูช่วยทำทางเดินไปประมาณ 20
กม.เลยนะ” ฟังแล้วก็น่าชื่นใจ
Thyangboche Monasty |
ถึง Thyangboche แวะเข้าวัดที่เป็นสัญลักษณ์ของหู่บ้าน
วัดนี้ใหญ่และสวยมากท่านกลางขุนเขา เดินเล่นสักพัก ไกด์บอกให้ไปต่อ ทางเดินจาก Thyangboche
ไป Pangboche เงียบสงัดมาก
ไกด์บอกว่าไปอีกไม่ไกล ประมาณชั่วโมงนึงไหวใช่ไหว ทางเดินสบายๆ
แต่เงียบสงัดเพราะไม่มีใครเดินไปเลย ทุกคนแวะพักหมดแล้ว ยิ่งเดินยิ่งวังเวง
และไกด์กับลูกหาบก็ล่วงหน้าไปก่อนไม่รอกันเลย เดินคนเดียวก็แอบมีขนลุกนะ เพราอยู่ดีๆอากาศก็เย็นขึ้นมาซะงั้น
โรงแรมที่พักวันนี้ถือว่าเป็นอีกหนึ่งโรงแรมที่ดีที่สุดของทริป
เพราะมีห้องน้ำในตัว แต่..ไกด์ก็จะไม่แนะนำให้อาบน้ำนะ
เพราะขึ้นมาบนที่สูงระดับสี่พันแล้ว ร่างกายจะปรับตัวไม่ได้ ควรทำตัวให้อุ่นไว้
ซึ่งสิ่งนี้มารู้ทีหลังหลังจากสระผมเรียบร้อยแล้วไปโม้กับไกด์ว่าสบ๊ายสบาย
เลยโดนดุเลย
Skill ใหม่ที่เรียนรู้วันนี้คือ
การสระผมแบบไม่ให้ตัวเปียกเพราะไม่มีน้ำร้อน เราเลยตักน้ำราดหัว เอาหัวชะโงกไปตรงชักโครก
ราดแล้วสระสบายจริงเชียว เย็นถึงสมองเลยทีเดียว การเดินทางแบบนี้
ทำให้เราได้เรียนรู้การใช้ชีวิตให้รอดในรูปแบบใหม่ๆทุกวัน ตอนแรกคิดว่าสระผมแบบนี้พีคแล้ว
แต่ไม่ใช่เลย ยิ่งนานวัน เรายิ่งได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆเสมอ
ใช้ชีวิตบนภูเขมาห้าวันแล้ว
ฟังดูไม่น่าแต่ความรู้สึกคือนานมาก มื้อเย็นวันนี้เลยอยากกินอาหารที่มีรสชาติมากขึ้นเพราะปกติเป็นคนกินรสจัดมาก
เอาผงลาบโลโบ้ที่ผงมา มาคลุกกินกับ Dhal bat อื้อหืออออออ
ผงลาบโลโบ้จะเยียยาทุกสิ่งจริงๆ จากที่หดหู่เหงาๆ พอได้ความแซ๋บเข้าไปเท่านั้นแหละ
อารมณ์ดีเลย
ด้วยความที่เป็นแขกคนเดียวของโรงแรมนี้
เลยเหมือนมาใช้ชีวิตอยู่กับครอบครัวเนปาลีแท้ๆ เจ้าของโรงแรมเป็นหนุ่มวัยรุ่น
เคยมาเที่ยวไทย พูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก นั่งคุยกันจึงได้รู้ว่า ที่เราบ่นหนาวน่ะ
สำหรับคนที่นี่คืออากาศอุ่นมากแล้ว และปีนี้ถือว่าอากาศหนาวช้ามากซึ่งผิดปกติ ได้เห็นชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่นี่จริงๆ
ว่าเค้ากินอะไรกัน ตกเย็นทำยังไง ก็เป็นประสบการณ์แปลกใหม่ดี
ชีวิตทุกคืนคือการนั่งสุมกันหน้าฮีทเตอร์ |
เลยจากนัมเชขึ้นมา จะไม่มี WiFi แบบ unlimited ให้ใช้แล้ว แต่จะต้องซื้อ pre-paid wifi ของ Everest Link ใช้แทน วันนี้เลยซื้อ
200MB และ 200 MB นี้ แค่อัพรูป 4
รูปขึ้นเฟสบุคก็หมดแล้ว!!!!
wifi-prepaid |
วันนี้ด้วยความเหนื่อย ทำให้ตลอดทางเดินไม่ค่อยมีบทสนทนา จึงทำให้คิดอะไรในหัวเยอะแยะมากมาย เราคิดว่าส่วนหนึ่งของความคิดในหัว น่าจะมาจากความเพ้อนิดๆเมื่อใช้ชีวิตบนที่สูงและออกซิเจนน้อย
สิ่งที่คิดได้ระหว่างทางวันนี้ ...
... การ trek สอนให้เราทิ้งสิ่งที่ไม่จำเป็น
และเลือกเอาแต่สิ่งที่จำเป็นสำหรับชีวิตติดตัวมาเท่านั้น ยิ่งแบกมาก ยิ่งขนมาก
เอมาก ก็จะมีภาระมาก การใช้ชีวิตก็เช่นกัน อย่ายึดติดกับอะไรมาก มันเหนื่อย
... อย่าคิดถึงทางข้างหน้า
แต่ให้โฟกัสกับแต่ละก้าวตรงหน้าเท่านั้น สติในทุกก้าวสำคัมากที่สุด
ก้าวพลาดนิดเดียวอาจเจ็บหรือตายได้ เพราะนี่ก็หน้าทิ่มมาหลายทีแล้วเหมือนกัน
... เราโชคดีแค่ไหนที่มีเท่าที่เรามี ได้เห็นอะไรมากกว่าใครอีกหลายคน
ทางยาก แดดร้อนแค่ไหนก็ต้องเดิน |
... ใครว่า trekking เดือนธันวาที่เนปาลหนาว อยากให้เปลี่ยนความคิดให่ มันไม่หนาวแต่รอนมาก ตอนกลางคืนอ่ะหนาวใช่ แต่ก็อยู่ในระดับที่มีชีวิตอยู่ได้ ใครว่า trekking ต้องหาคนมาด้วย มาคนเดียวก็ได้สบายดี ได้เดินในจังหวะของตัวเอง ที่สำคัญไอการมาคนเดียวนี่แหละ ทำให้เรางอแงไม่ได้ มันไม่มีใครให้งอแงด้วย สุดท้ายเหนื่อยแค่ไหนก็ต้องไป ทะเลาะกับตัวเองไปเรื่อยๆ
... พักได้ไม่มีใครว่า ช้าได้ไม่มีใครเร่ง
น้ำแข็งนี้ที่ลืนมาแล้ว |
... การ trek คนเดียว
เดินทางไปที่ๆไม่เคยไปคนเดียว ฝึกให้เรากล้าตัดสินใจและแก้ปัญหาเฉพาะหน้ามากขึ้น ปกติเราเป็นคนเยอะ
ที่มักตัดสินใจเลือกอะไรยาก แต่การเดินทางครั้งนี้ ฝึกให้เรากล้าที่จะเลือกมากขึ้น
จะกินไม่กิน จะพักไม่พัก จะซื้อไม่ซื้อ เธอต้องกล้าตัดสินใจ
แสงสุดท้ายของวัน จากวิวหน้าโรงแรม |
ราตรีสวัสดิ์ จากความสูงระดับเกือบ 4,000
เมตร
No comments:
Post a Comment