Thursday, February 23, 2017

[Foot Fit Journey] เรื่องเล่าจาก Everest Base Camp Trekking: Day 7 Dingboche - Lobuche

วันที่ขึ้นมาถึงระดับ 5,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล”

[23 ธันวาคม 2559] Dingboche (4,358m) – Lobuche (5,000m)


สภาพทางเดินตลอดทริปวันนี้

เมื่อคืนปวดหัวมาก และยอมรับว่ากลัวมาก กลัวว่าจะไปต่อไม่ได้ กลัวว่าอาการแย่ลง กลัวว่าเราจะทำอย่างไรถ้าอาการหนักขึ้นจริง พยายามทำตัวให้อุ่นที่สุดเท่าที่จะทำได้ ใส่เสื่อดาวน์สองชั้น รวมๆแล้วใส่เสื้อผ้านอนทั้งหมด 5 ชั้น และใช้ผ้าห่มหนาๆอีกสองพื้นทับ แทบขยับตัวไม่ได้เลยทีเดียว กิน Diamox ครึ่งเม็ดและกินไทลินนอล 8 ชม. 2 เม็ด บอกตัวเองว่า ต้องหลับ ต้องหลับ แล้วก็หลับไปตอนไหนไม่รู้ รู้สึกตัวอีกทีคือรุ่งเช้าแล้ว จำใจต้องลุกเพราะปวดฉี่มาก


ทางเดินวันนี้เคว้งคว้างมาก

เวลาที่คนเราป่วยเรามักจะคิดถึงบ้าน เมื่อคืนเป็นวันที่คิดถึงบ้านและอยากกลับบ้านมากที่สุด เราไม่อยากอยู่ตรงนี้แล้ว ได้ตอนนอนสวดมนต์ขอแม่พระว่าอย่าให้เราเป็นอะไรที่แย่ไปกว่านี้เลย อย่างน้อยก็ขอให้ได้ไปจนถึง base camp ตามที่ตั้งใจ แล้วจะไปต่อหรือไม่นั่นก็ขอให้มันเป็นโบนัสละกัน




ตื่นปุ๊บรีบสำรวจตัวเองปั๊บ ไม่มีอาการปวดหัวแล้ว ดีใจมาก วันนี้เลยตั้งใจจะแก้ตัวให้เดินช้าลง และกินน้ำให้เยอะขึ้น เช้ามาก็เจอแจ๊คพอตเลย ห้องน้ำในตึกห้องพักน้ำหมด ไม่มีน้ำใช้เลยเข้าส้วมไม่ได้ ต้องลงมาเข้าห้องข้างล่างที่อยู่ด้านนอก หลังจากกินอาหารเช้า พยายามจะต้องเข้าห้องน้ำให้สำเร็จก่อนออกเดินทาง จำใจเข้าห้องน้ำที่อยู่ด้านนอกกลางแจ้งที่เป็นส้วมรวมสำหรับทุกกกกคน สูดหายใจ กลั้นหายใจ เอาผ้าบัฟปิดก็แล้ว แต่สุดท้ายเกือบเอาชีวิตไม่รอด เดินเข้าไปแล้วอ้วกแทบพุ่งเลยทีเดียว ไม่มีอารมณ์นั่งบิ๋วให้ภารกิจสำเร็จ สรุป .. เช้านั้นเลยไม่ได้ระบายของเก่าออกเลย




วันนี้เดินพะอืดพะอมตั้งแต่เช้าเพราอะไรไม่รู้ อาจเป็นเพราะอาหารเช้าหรือร่างกายยังไม่โอเคดี หรือร่างกายเริ่มต้นเข้าสู่โหมดไม่โอเคกับความสูงแล้วก็เป็นได่ อากาศระหว่างทางเดินวันนี้เย็นขึ้นมาก จากปกติที่ใส่เสื้อฟลีซแขนยาวตัวเดียวเดิน วันนี้มาครบทั้งดาวน์ outer shield หมวก และถุงมือ ใส่จนถึงบ่ายแล้วค่อยถอดเอาดาวน์ออก เดินกันตัวกลมเลยทีเดียว

แต่งตัวจัดเต็มสุด

วันนี้เปิดประสบการณ์ครั้งแรกหลายอย่าง อย่างแรกคือ “อ้วกแตกกลางทาง” หลังจากพะอีดพะอมมาตั้งแต่เช้า พอมื้อเที่ยงกินมาม่าเกาหลีลงไปเท่านั้นแหละ สงสัยมันจะเก่าเก็บเกินไป กินแล้วไปเดินขึ้นยาวๆทรมานเป็นที่สุด ทนพิษบาดแผลไม่ไหว อ้วกพุ่งซะจนไกด์กับลูกหาบตกใจ พออ้วกออกเท่านั้นแหละ ร่าเริงขึ้นเป็นคนละคน รู้งี้อ้วกตั้งนานละ


โคเรียน ราเมนทำพิษ


อย่างที่สองคือ การใช้ส้วมธรรมชาติ ด้วยความที่กลัวจะแย่เพราะ AMS อีกเลยกินน้ำถี่มาก ผลคือได้รับประสบการณ์การต้องถอดกางเกงนั่งลงฉี่ท่ามกลางขุนเขา มันเป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ดีนะ พอเราเดินขึ้นเขาสูงไปเรื่อยๆ หมู่บ้านตามทางมักจะอยู่ห่างออกไปน้ำก็ต้องกินเพื่อลดอาการแพ้ความสูง กินน้ำเยอะก็ต้องปวดฉี่เป็นปกติ ไม่ไหวก็ต้องหาโขดหินที่พอบังสายตาได้ แล้วก็รอจังหวะที่ไม่มีคนเดินตามมา บอกให้ไกด์และลูกหาบเดินล่วงหน้าไปก่อน พอมีครั้งแรกแล้ว จะบอกว่าครั้งต่อๆมานี่ไม่มีความเขินเลยนะ กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว แต่ะโกนบอกไกด์แล้วผลุบหายเข้าโขดหินไปเป็นอันเข้าใจตรงกัน


ทางเดินบางช่วงเป็นน้ำแข็ง

ระหว่างทางเดินวันนี้ ในหัวไม่คิดอะไรเลย นอกจากเดินแล้วท่องบทสวดมนต์อยู่ในใจ เราเดินสวดบทวันทามารีอาตลอดทาง (เราเป็นคาทอลิคค่ะ) สวดวนไปมา เส้นทางเดินวันนี้เคว้งคว้างกว่าเดิม ตลอดทางแทบไม่เจอคน เจอแต่ Yak เยอะแยะมากมาย มันเป็นสัตว์ที่น่ารักดีนะ 







เรากำลังมุ่งหน้าไปสู่ความสูงระดับ 5,000 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สิ่งต่างๆรอบตัวเริ่มเปลี่ยนไป ที่สังเกตเห็นได้ชัดคือ ไม่มีต้นไม่สูงแล้ว จะเป็นแค่พุ่มไม้เตี้ยๆและแห้งแล้งมาก จริงๆตั้งแต่จาก Pangboche ขึ้นมาต้นไม้ก็เร่มเตียลงเรือยๆแล้วล่ะ และทางเดินก็เป็นดินทรายจริงๆ มบางทีที่คิดว่านี่กูเดินอยู่ดาวอังคารหรือเปล่า เหมือนฉากหนังเรื่อง Martian ยังไงยังงั้น คนก็ไม่มี รอบตัวก็แห้งแล้งเหลือเกิน วังเวงพิลึก

สภาพความแห้งแล้ง

รูปถ่ายคือตัวแทนความคิดถึงที่ดีที่สุด ..

ช่วงบ่ายระหว่างนั่งอยู่ในห้องพักและไม่มีอะไรทำ และเหมือนเคย ไกด์สั่งว่าห้ามนอน เลยเปิดมือถือนั่งดูรูปไปเรื่อยๆ หลายๆรูปทำให้เราคิดถึงคนในภาพ อยู่ดีๆน้ำตาก็ไหลออกมา ไม่รู้ว่าความคิดถึงจะเดินทางไปถึงไหม แต่มีเรื่องมากมายอยากเล่าให้ฟัง อยากได้กอดแน่นๆและบอกกับเราว่า “ไม่เป็นไร เธอทำได้อยู่แล้ว”


บางคนก็เลือกเดินทางคนเดียว

ที่พักคืนนี้คึกคักมาก

พรุ่งนี้จะเป็นวัน Christmas Eve แล้ว และเราจะไปถึง base camp แล้ว เป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกนะ เรารู้สึกเหงามาก เป็นคริสมาสต์ปีที่เรารู้สึกอยู่ไกกับครอบครัว ไกลจากคนที่เรารักมากที่สุด แต่อีกความรู้สึกหนึ่งคือ สิ่งที่เราฝันและตั้งใจ มันใกล้จะสำเร็จแล้ว




No comments:

Post a Comment