Monday, November 18, 2013

[Race Diary] เรื่องเล่าจากมาราธอนแรก Standard Charter Bangkok Marathon 2013



I am a marathon finisher!

ลืมตาตื่นมาเช้านี้ (18.11.13) วันรุ่งขึ้นหลังพิชิตมาราธอนแรกของตัวเองสำเร็จ มีคนเคยบอกว่า หลังจบมาราธอนแล้ว ชีวิตจะเปลี่ยนไป คุณจะไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไป..พยายามนั่งนิ่งๆคิด เราเปลี่ยนไปหรือยัง..ตอบตามตรง ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเปลี่ยนไปหลังจากวิ่ง แต่..ชีวิตฉันเปลี่ยนไป ตั้งแต่ตัดสินใจว่าจะวิ่ง

16.11.13

06.00 น. เสียงนาฬิกาปลุกดัง ง่วงมากเพราะเพิ่งกลับมาจากการทำงานทั้งสัปดาห์ที่เชียงใหม่ แต่ก้ต้องบังคับตัวเองให้ติ่นลุกจากเตียง เพราะวันนี้จะต้องรีบเข้านอน..ผิดแผนไปหน่อย เพราะจริงๆตั้งใจจะตื่นสักตี 4 ..ไม่เป็นไร ถ้าคืนนี้จะนอนไม่หลับ ก็ถือว่าได้นอนเต็มอิ่มแล้ว.. จัดแจงเอาชุดวิ่ง อุปกรณ์ทุกอย่างมาเรียงไว้บนเตียง จะได้ไม่ลืม เรียงไปทวนไป ที่ขาดไม่ได้ ยาดมสินะ (งานนี้ไม่ลืมพก แต่สุดท้ายไมได้ใช้จ่ะ)

อุปกรณ์พร้อมรบ

08.30 น. ออกเดินทางเพื่อไปลงทะบียนรับ bib และเสื้อ วันนี้อากาศเย็นสบายดีจัง ถ้าพรุ่งนี้เป็นแบบนี้ก็คงดี วิ่งสบาย..อ้าวว..ฝนตก ตายละ ถ้าพรุ่งนี้ฝนตกจะทำอย่างไร ไอวิ่งสบายก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้ามันตกแล้วหยุดนี่อับชื้นมากนะ..มาถึงที่หมาย ความตื่นเต้นเพิ่มมากขึ้น ผู้หญิงระยะมาราธอนมีน้อยจัง กระบวนการทุกอย่างเสร็จภายในห้านาที ใครไม่อยากรอต่อคิวนาน แนะนำให้ลงระยะนี้ ได้เบอรืได้เสื้อรวดเร็วทันใจ


11.00น. อาหารมื้อแรกสำหรับวันเตรียมร่างกายกับเพื่อนรัก คนหนึ่งมาราธอน อีกคนฮาล์ฟมาราธอน..ความสุขอย่างนึงของการวิ่งคือ คุณจะกินได้ไม่เลือกอย่างมีความสุข และไม่รู้สึกผิดเลย ไม่ว่าจะกินเยอะแค่ไหน

13.00 น. กลับถึงบ้าน กิน Butter Scoth ก้อนโต อร่อยอย่างไม่ต้องรู้สึกผิด ตามด้วยกล้วยน้ำหว้าสองผล

15.30 น. บะหมี่น้ำชามโต มื้อสุดท้ายก่อนเตรียมตัวเข้านอน

18.00 น. กอดและหอมแก้มแม่ ก่อนเช็คของรอบสุดท้าย และขอกำลังใจจากคนดีก่อนพาตัวเองเข้านอน

22.30 น. ตื่นและง่วงมาก งอแงอยู่ยนเตียงสักพัก พาตัวเองไปอาบน้ำ แต่งตัว ผูกโบว์ธงชาติไทยบนหัว..เอาวะ สู้!!

17.11.13 

วันที่ตั้งตารอคอยมาเกือบ 1 ปี จำได้เลยว่า ในงานเดียวกัน เมื่อปีที่แล้ว ฉันยังเป็นเด็กน้อย ลงวิ่งละยะมินิมาราธอน 10 กม. เป็นสนามแรก ครั้งนั้นแค่ระยะ 10 กม.ทางมันดูไกลแสนไกล เหนื่อยมากแถมยังต้องวิ่งสลับเดินจนพาตัวเองเข้าเส้นชัย แต่ในปีนี้กระโดดข้ามชั้นเป็นเด็กสาวมัธยมโตเต็มวัย ลงวิ่งในระยะฟูลมาราธอน 42.195 
เดินไปกอดแม่อีกครั้ง ส่งแม่เข้านอน กินกล้วยน้ำหว้า 2 ผล คิทแคท 1 อัน ขนมปังโฮลวีทปิ้งทาเนยถั่ว 1 แผ่นออกจากบ้าน มาถึงคนเริ่มมากันเยอะแล้ว คึกคักดีจริงเชียว

บรรยากาศก่อนปล่อย


แม้สนามนี้จะไม่ใช่สนามแรกในชีวิต แต่ความรู้สึกที่จุดปล่อยตัวระยะ 42.195 นั้น มันเหมือนเป็นเด็กน้อยมือใหม่ ที่ยังไม่เคยลงสนาม ความรู้สึกผสมปนเปกันในหัว ทั้งตื่นเต้น ทั้งกังวล จนบอกไม่ได้ว่าก่อนปล่อยตัว ฉันรู้สึกอะไร และคิดอะไรอยู่ พยามสงบสติตัวเอง สวดภาวนา และยิ้ม บอกตัวเองว่า วันนี้มาถึงแล้ว..เธอต้องทำได้’ สัญญาณปล่อยตัวดัง ถึงเวลาสร้างเรื่องราวที่ยิ่งใหญ่อีกเรื่องให้ตัวเองแล้วสินะ

แผนวิ่งวันนี้ จบมาราะอนภายใน 5 ชั่วโมงกว่า:10 กม.แรก 1.15 ชม. 20 กม. 2.30 25 กม. ไม่เกิน 3 ชม. และ 35 กม. ที่ 4.15 ชม. แผนนี้อ้างอิงจากสภาพตัวเองตอนซ้อม ..ดีกว่าแผนได้ แต่ห้ามแย่กว่านะจ๊ะ


ช่วง 2 กิโลแรกของการวิ่ง วิ่งเร็วกว่าที่ตั้งใจไว้ pace อยู่ที่ 6.4 – 6.5 จึงพยายามบอกให้ตัวเองช้าลงเพราะตั้งใจไว้ว่า จะไม่วิ่งเร็วเกิน 7 ในช่วงแรก แต่ท้ายที่สุด กลับกลายเป็นว่า วิ่งเกาะอยู่ที่ 6.4-6.5 ไปตลอดระยะ 20 กิโลแรกเลย พยายามดึงตัวเองให้ช้าลง แต่เมื่อสังเกตตัวเองแล้วรู้สึกว่าไม่เหนื่อย และร่างกายสดมาก จึงปล่อยตัวเองให้วิ่งไปตามที่ร่างกายพาไป ..บนทางยกระดับ ทางดูกว้างไกล ฟ้ากลางดึกมืดมาก รอบตัวเงียบสงัด จะได้ยินก็แต่เสียงลมหายใจและฝีเท้าของนักวิ่ง นักวิ่งระยะมาราธอนมีจำนวนไม่น้อย แต่ก็ไม่เยอะจนทำให้รู้สึกหนาแน่น ยิ่งระยะกิโลมากขึ้นเท่าไหร่ เพื่อนร่วมทางก็เบาบางลงทุกที ทุกคนเริ่มมีจังหวะของตัวเอง นานๆครั้งจะมีพี่ที่รู้จักวิ่งมาเพื่อทักทาย แล้วก็ผ่านไป

ก่อนออกเดินทาง

กว่าจะผ่าน 10 กิโลแรกรู้สึกว่ามันยาวนานมาก เหงามาก และง่วงมาก บีบเจลซองแรกเข้าปาก รส Espresso ในเวลาที่ง่วงและเริ่มเหนื่อยแบบนี้ก็อร่อยดีแฮะ ก้มมองดูนาฬิกา (จริงๆดูตลอดเวลาที่วิ่ง) ทำเวลาได้ดีกว่าที่ซ้อมและที่ตั้งใจไว้ 10km – 1.08 ชม. ถือว่าน่าพอใจ นึกครึ้มในใจว่าถ้าประคองจังหวะนี้ไปเรื่อยๆ คงเข้าเส้นชัยก่อนแวลาที่ตั้งเป้าไว้เป็นแน่ แต่นางมารบนไหล่ก็บอกว่า ..หึหึ..นี่แค่สิบโลย่ะ อย่านิ่งนอนใจ ชั้นยังเกาะไหล่แกอยู่ แล้วเรามาดูกันสักโลที่ 30..


กิโลที่ 12 ร่างกายเริ่มออกอาการ เจ็บสะโพกขวา และเข่าซ้าย อาการเดิมที่เป็นๆหายๆแวะมาทักทาย ต้องรีบเจรจากับตัวเอง อย่าเพิ่งเป็นอะไร อย่าไปคิดถึงมัน และบอกตัวเองว่า..วันนี้ไม่ใช่วันซ้อม เราทุ่มเทมาเพื่อวันนี้แค่ไหน ดังนั้น วิ่งไปใส่ให้เต็ม ใส่ให้หมดที่มี เจ็บก็จะจบลงที่วันนี้ (จริงๆไม่ควรคิดแบบนี้นะ มันไม่ควรต้องเจ็บ แต่ตอนนั้นต้องคิดเพื่อปลุกระดมตัวเอง)

แวะกินน้ำทุกจุดให้น้ำ ทำตามที่ได้รับคำแนะนำมาว่า เมื่อมองเห็นจุดให้น้ำ ให้หยุดเดินก่อนประมา 30 ม. เพื่อเป็นการพักกล้ามเนื้อไปในตัว และเมื่อไปถึงน้ำเราจะได้ไม่ต้องพักเหนื่อยก่อนดื่ม ทุกจุดให้น้ำจึงทำแบบนี้ พักเดินดื่มจนถึงถุงขยะใบสุดท้ายที่วางไว้ แล้วจึงวิ่ง ทางยกระดับบรมราชชนนีช่างยาวเหลือเกิน ยาวจนรู้สึกว่ามันไม่มีที่สิ้นสุดหรืออย่างไร วิ่งไปอีกพักใหญ่ถึงทางลงบรมราชชนนี ทางลงยังลาดยาวขนาดนี้ ขาขึ้นขำทำอย่างไรวะ โหดร้ายจัง

ลงมาวิ่งทางหลวง ก็ยังไม่เห็นจุดกลับตัวอยู่ดี แต่เริ่มเห็นนักวิ่งวิ่งสวนทางกลับมากันเรื่อยๆ เห็นป้ายพุทธมณฑลสาย 3 ก็แล้ว ทำไมยังไม่กลับตัว ไหนพี่พิธีกรบอกว่าลงไปวิ่งข้างล่างทดแทนเส้นหน้าลานพระรูปที่ตัดออกไปแค่ 3 กิโล โกหกหนูชัดๆ.. แต่การที่เห็นคนวิ่งสวนทางมา มันทำให้กำลังใจดีขึ้นเยอะนะ อย่างน้อยก็รู้สึกว่า จะได้กลับตัวแล้วโว๊ย..และแล้วก็ถึงศาลายา หลอกให้วิ่งมาไกลจัง กลับตัว ใจชื้นขึ้นเล็กน้อย รอดมาได้ครึ่งทางแล้ว ทำเวลาได้ 2.17 ชม. ดีกว่าแผนที่วางไว้ สำรวจร่างกายยังดีอยู่ พยายามเร่งขึ้นหน่อยแต่ก็ทำไม่ได้มากเพราะใจยังคงพะวงกลัวเจ็บ กลัวไม่จบ..เจอคนที่รู้จักวิ่งสวนกันเรื่อยๆ ทักทายกัน กำลังใจดีขั้นมาก มองดูนักวิ่งคนอื่นๆ ทุกคนถึงจะช้าแต่ไม่มีใครหยุด เราไมได้เหนื่อยคนเดียว ดังนั้นอย่างอแง วิ่งไป วิ่งไป

ขากลับขึ้นทางยกระดับ เป็นครั้งแรกที่เริ่มทะเลาะกับตัวเอง ตอนนั้นน่าจะกินโลที่ 23 มั๊ง..กิโลที่ 23 แต่กลับต้องตะกายขึ้นทางลอยฟ้า พยายามวิ่งขึ้นเบาๆ แล้วก็ตัดสินใจเดินไปสัก 20 วินาทีเพราะอยากเก็บแรงไว้ใช้ข้างบนมากกว่า วิ่งไปเรื่อยๆ อยู่ดีๆก็ปวดฝ่าเท้าขวาเหมือนจะเป็นตะคริว จึงพยายามไม่คิดถึงมัน แล้วมันก็จากไป..เจอป้ายบอกระยะบอก 26 กม. แต่การ์มินบอก 24 หายไปสองกิโล โอเค ไม่เป็นไร จะได้วิ่งน้อยลง ฮา..

วิ่งช้าแต่วิ่งไม่หยุดมาเรื่อยๆ พอเห็นโรงพยายาลเจ้าพระยา เห็นเซ็นทรัลปิ่นเกล้า เห็นป้ายทางแยกสิรินธร ใจเริ่มชื้นขึ้น ฉันกลับมาแล้ว อีกนิดเดียวแล้วสินะ..กิโลเมตรที่ 34 แล้วเป้าหมายข้างหน้าคือสะพานพระรามแปด อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น ปวดเท้า ปวดขาจังเลย แต่ฉันหยุดไม่ได้

ที่สะพานพระรามแปด..จริงอย่างที่นิชคุณว่า มาราธอนจะทำให้คุณได้เห็นพระอาทิตย์ขึ้นที่สวยงามที่สุด เป็นการมองท้องฟ้า มองสะพาน ด้วยน้ำตาที่คลอเบ้า ยิ้มคนเดียว หัวเราะทั้งน้ำตาคนเดียว ทุกอย่างใกล้จะจบลงแล้วสินะ..

บนสะพานพระรามแปด

ลงจากสะพาน เริ่มวิ่งสนุกขึ้น ความรู้สึกตอนนั้นคือ มันไม่มีอะไรจะทรมานไปมากกว่านี้แล้ว จริงอย่างที่เคยได้ยินมาจริงๆ ว่าถ้าสามารถผ่านกิโลเมตรที่ 35 ไปได้ เราจะหลุดลอยแล้ว ถ้าถามว่าฉันเจอปีศาจไหม จะบอกว่าไม่เจอก็ไม่ถูกซะทีเดียว ตลอดทางยาวไกลที่วิ่งมา ท้อสุดๆตอนที่ต้องวิ่งเข้าท่าพระจันทร์ ตอนนั้นเริ่มทะเลาะกับตัวเองว่า จะเดินไหม แต่ก็เอาชนะใจตัวเองมาได้ 


เห็นป้าย 500 เมตรสุดท้ายของมาราธอน ก้มมองนาฬิกา ยังเหลืออีก 6 นาทีก่อนจะครบ 5 ชั่วโมง ต้องทำได้สิ เจอพี่ๆกองเชียร์ตะโกนเรียกให้กำลังใจ มันเหมือนได้พลังสุดท้ายให้กับตัวเอง ตัดสินใจเร่งเข้าเส้นชัย วินาทีที่เท้าเหยียบ check point และสัญญาณดัง ก้มมองนาฬิกา 4.59.36 ดีใจมาก..มันจบแล้ว..ฉันทำได้แล้ว

ถามว่ารู้สึกอย่างไรวินาทีแรกหลังพิชิตมาราธอนได้..โลกหยุดหมุนค่ะ ความคิดที่อยู่ในหัวตอนนั้นมีอยู่อย่างเดียวเลย ..มันจบแล้ว..มันจบแล้ว..เดินไปรับเสื้อ Finisher ก็ยัง งง อยู่ มีสติอีกครั้งก็ตอนเจอเพื่อน แล้วเพื่อนเข้ามากอด..น้ำตาไหล..บอกไม่ถูกว่ารู้สึกอะไร ทุกความรู้สึกตีกันและผสมปนเป

ฉันคือนักวิ่งมาราธอน

พูดได้เต็มปากแล้วว่าฉันเป็นนักวิ่งมาราธอน มาราธอนแรกสำเร็จผ่านไปได้ด้วยดีกว่าเป้าที่ตั้งไว้ ตั้งเป้าไว้ 5-5.15 ชม. ทำได้ 4.59.36 ชม. ลำดับที่ 14 จากทั้งหมด 37 คนในกลุ่มอายุ..ถือว่าฉันพอใจ

ผลงานมาราธอนแรก

การวิ่งมาราธอนสอนอะไรฉันมากมาย ความสุขมันไม่ได้อยู่ที่วินาทีที่เหยียบเส้นชัย แต่มันคือระหว่างทางก่อนที่คุณจะได้พิชิตมาราธอน

..มาราธอนสอนให้ฉันมีวินัย
..มาราธอนสอนให้ฉันเอาชนะใจตัวเอง
..มาราธอนทำให้ฉันเปลี่ยนความบ้าในตัว เปลี่ยนใจที่กล้าของตัวเองมาสร้างเรื่องราวใหม่ให้กับชีวิต
..มาราธอนทำให้ฉันได้พิสูจน์ว่า ไม่มีอะไรที่ฉันทำไม่ได้หากฉันตั้งใจ
..และมาราธอนทำให้ผู้หญิงที่เคยคิดว่าตัวเองไม่มีค่า กลับมารู้สึกภูมิใจในตัวเองอีกครั้ง

เชื่อเถอะว่า ฉันทำได้ ทุกคนก็ทำได้ ไม่ได้ชวนให้ทุกคนต้องวิ่งมาราธอน แต่ทุกคนเปลี่ยนแปลงตัวเองได้ ชนะใจตัวเองได้ และมีชีวิตใหม่ได้

ขอบคุณทุกคนที่เป็นกำลังใจให้ตลอดระยะทางก่อนที่จะพิชิตมาราธอน ขอบคุณครอบครัวของฉันที่แม้จะไม่เคยเข้าใจเรื่องบ้าๆที่ฉันทำอยู่ แต่ก็รู้ว่าอยู่ห่างๆอย่างห่วงๆ ขอบคุณแก๊งค์นางฟ้า (เอาน่ะใช้ชื่อนี้ไป) ที่มีกำลังใจให้เสมอ และขอบคุณ ทุกกำลังใจที่เป็นแรงใจให้ฉันทำเรื่องบ้าๆนี้สำเร็จ :)

มาราธอนนี้ ไม่ใช่มาราธอนสุดท้ายแน่นอน..

16 comments:

  1. น้องสวย เจ๋งจริง นับถือๆ... สักวัน จะตามไปเป็น Marathon Finisher ด้วยนะ ^^

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอบคุณนะคะ เฮียทำได้แน่ๆ

      Delete
  2. สวัสดีครับพี่บิ๋ม ผมวา จาก Stuff / มีพี่คณะผมในเฟซบุ๊กแชร์บล็อกพี่ให้อ่าน พี่คนนี้เข้าที่ 15 โอยโลกกลมมาก

    ReplyDelete
    Replies
    1. เฮ้ยยย น้องวา..โลกกลมมากกกกกกกก :)

      Delete
  3. ได้อ่านของพี่แล้วมีแรงฮึดขึ้นมาเลย
    ปีนี้ลงแค่มินิ แต่ซักวันต้องเป็นมาราธอนให้ได้ ^ ^

    ReplyDelete
    Replies
    1. เริ่มซ้อมตั้งแต่วันนี้เลยค่ะ ทำได้อยู่แล้ว :)

      Delete
  4. เก่งมากเลยครับ มาราธอนสำหรับผมมันอยู่ไกลมาก

    ReplyDelete
    Replies
    1. ไม่ไกลหรอกค่ะ ทุกคนทำได้ จริงๆนะ..แค่ตั้งใจก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว :)

      Delete
  5. คุณบิ๋มเก่งมากเลยครับ...นี่มาราธอนแรกของผมเหมือนกันครับ ได้มีโอกาสวิ่งกับคุณบิ๋มตั้งพักใหญ่ด้วย ผมคืนคนที่ใส่เสื้อสีน้ำเงินที่มองคุณบิ๋มอยู่บ่อยๆ ตัดสินใจว่าจะทักหรือไม่ทักดี คิดว่าน่าจะใช่คุณบิ๋ม แต่สุดท้ายก็ไม่กล้าทักเพราะคุณบิ๋มน่ารักอ่ะ ผมเขิลลล ทางลงบรมราชชนนีผมปล่อยไหลยาว (เบรคไม่อยู่)แซงคุณบิ๋มไป แต่พอลงมาทางราบแล้วคุณบิ๋มก็แซงกลับไป มาเจออีกทีตอนที่สวนกันแล้ว ตอนนั้นผมเจ็บข้างเท้าด้านในไปซะแล้วครับ...จบที่ 5.50 ชม.ครับ "ไชโย๊วว I am Marathon Finisher"

    ReplyDelete
    Replies
    1. ว้าวว ว้าววว.. คุณคือคนที่ใส่หูฟัง แล้วเราวิ่งข้างคุณพักใหญ่บนสะพานลอยฟ้าป่ะคะ ถ้าใช่..คุณวิ่งดีมากๆเลยนะ หลายครั้งที่บิ๋มพยามาจะแซงค่ะ ฮา..แล้วก็คิดว่า เอาน่ะ วิ่งไปกับพี่คนนี้ก็ได้ จังหวะเราพอๆกัน ..ก็พอจะเห็นว่าคุณมองนะ แต่คิดว่า คุณคงคิดในใจว่า อีนี่ใคร มาวิ่งประกบกรูอยู่ได้ 55555....ยินดีด้วยนะคะ หวังว่าเราจะได้วิ่งด้วยกันอีกเนอะ

      Delete
  6. เก่งครับ เป็นตัวอย่างและแรงบันดาลใจที่ดีมากๆครับ ขอให้วิ่งได้ สวยๆ นานนะครับ บิ๋ม

    ReplyDelete
  7. ตัวจริงสวยมากเลยคับแถมวิ่งดีอีก ตามไม่ทันเลย ^_^

    ReplyDelete
    Replies
    1. อุ่ย...เราเจอกันด้วยหรอคะ ถึงได้รู้ว่าสวยมาก ฮ่าๆๆ เขินน

      Delete
  8. ผมจำได้แล้ว เจอบนพระราม 8 นึกว่าวิ่งมินินะเนี่ย

    ReplyDelete
  9. ผมลงมาราธอนเหมือนกันครับ แต่เริ่มเดินตั้งแต่กม.34 ......สรุปแล้วเดินไป 8 กม. ..วิ่ง 100 เมตรเข้าเส้นชัยที่ 4 ชม. 48 นาที แย่กว่าปีที่แล้ว 5555

    ReplyDelete
    Replies
    1. นี่ขนาดเดิน เวลายังดีมากเลยนะคะ เก่งมากค่ะ เยี่ยมๆ

      Delete