Wednesday, April 10, 2013

Review: Asics GEL Kayano 18



สมัยก่อนที่จะเข้าวงการ ชื่อของ Asics นี่ไม่เคยอยู่ในหัวเลยนะ รุ้ว่ามีแบรนด์นี้เพราะเห็นตามแผนกเครื่องกีฬา แต่ไม่เคยใส่ใจและสนใจจะดู เพราะยังเป็นเหยื่อการตลาดทั่วไป ที่หลงใหลไปกับความงามของสินค้ากีฬาสไตล์แฟชั่นแบรนด์ดัง  แต่เมื่อได้ลองทำการบ้านจริงจังตอนตัดสินใจจะวิ่งก็ทำให้ได้รู้ว่า เจ้านี่คือหนึ่งในแบรนด์รองเท้ากีฬาที่ได้รับการยอมรับมาก โดยเฉพาะกับการวิ่ง

เมื่อเจอของดีที่ได้รับการชื่นชมก็ต้องอยากลองเป็นธรรมดา แต่ด้วยราคาที่สู้ไม่ไหวจริงๆสำหรับคนเพิ่งจะเริ่มหัดวิ่ง เลยได้แต่เก็บเอาไว้เป็น wish list และหมายมั่นว่า ถ้าเมื่อไรที่ฉันหลงรักการวิ่ง และคิดจะทำมันอย่างจริงจัง รองเท้าคู่ต่อไป จะต้อง Asics นี่แหละ

โฉมหน้าโจนปล้นเงินโบนัส

จนมาถึงช่วงเวลาที่วิ่งมาได้สัก 3 เดือน (แค่ 3 เดือนนางอยากได้รองเท้าใหม่แล้ว) เป็นช่วงที่ระดับการวิ่งพีคขึ้นอย่างรวดเร็ว วิ่งด้วยระยะทางที่เพิ่มขึ้น เร็วขึ้น และจริงจังมากขึ้น จนรู้สึกว่าได้เวลาจับจองเป็นเจ้าของรองเท้าวิ่งดีๆกับเค้าสักที บวกลบคูณหารระยะทางในการวิ่ง คิดแล้วมันก็คุ้มค่ากับราคาที่ต้องจ่าย ไหนๆก็วิ่งทุกวัน และคงยังไม่เลิกวิ่งในเร็ววัน บวกกับมีผู้ช่วยเหลือในการจัดการซื้อในราคาพิเศษ ฉันจึงไม่ลังเล จัดไป


Asics คู่แรกในชีวิตที่ได้มาครอบครอง คือ Gel Kayano 18 ที่เลือกซื้อ Kayano เหตุผลอย่างแรกที่งี่เง่าที่สุดคือ มันเป็นรองเท้าวิ่งของ Asics ที่แพงเกือบที่สุด เอาน่ะ ใครๆก็คิดอย่างฉัน ของแพง รุ่นที่มันแพง มันต้องดีดิวะ อะไรไม่รู้ คิดว่ามันดีไว้ก่อน แต่จริงๆคือลอง Nimbus แล้ว รู้สึกว่ามันบีบเท้าเกินไป เพราะฉันเป็นคนหน้าเท้ากว้าง และเท้าแบน ดังนั้น รุ่นที่เหมาะสำหรับคนกว้าง และ แบน คือ Kayano สำหรับ Asics ยังมีรุ่นที่เหมาะกับคนหน้าเท้ากว้าง และเท้าแบนอกีหลายรุ่น แต่..ด้วยความป็นผู้หญิงกระแดะของฉัน functional ต้องนำด้วย emotional เสมอ พูดง่ายๆก็คือ ถูกใจความงามของเจ้าคู่นี้มากกว่าคู่อื่นที่เป็นตัวเลือก

หวานแหว๋วแต๋วจ๋า

วันแรกที่ได้รองเท้าคู่นี้มา เห่อเกินห้ามใจที่จะไม่ใส่ไปวิ่ง ได้ปุ๊บสวนลุมปั๊บ บอกตรงๆว่าวันแรกไม่ถูกใจเลย เสียดายทรัพย์เป็นอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับพี่ New Balance คู่ที่ใส่อยู่เดิมแล้วรู้สึกเลยว่ามันแข็งกว่ามาก ไม่ค่อยสบายเท้า และที่สำคัญ หนักเท้ากว่าเยอะเลยทีเดียว แต่ก็เข้าใจว่า การจะเป็นมิตรรักคู่ตุนาหงันกับรองเท้า มันต้องใช้เวลาทำความรู้จักกันก่อน แม้ฉันจะตกหลุมรักมันตั้งแต่แรกพบ แต่ก็ใช่ว่าเราจะเข้ากันได้ดีเสมอไป ดังนั้นจึงต้องมีช่วงเวลาจีบกันอ้อล้อกันเพื่อให้เราลงตัวรักกันได้ในที่สุด

จากวันที่ได้รองเท้ามา จนมาถึงวันที่รู้สึกว่าเราเข้ากันได้ดี เป็นคู่หูกันแล้วก็ประมาณเกือบ 3 เดือนได้ ดูเป็นการใช้เวลาทำความรู้จักกันยาวนานไปหน่อย แต่ทั้งนี้ก็เพราะมันมีเหตุที่ฉันบาดเจ็บ เกิดอาการข้อเท้าอักเสบในช่วงเดือนแรกหลังจากได้รองเท้ามา ซึ่งช่วงนั้นฉันเองก็ไม่สามารถวิ่งได้เต็มที่ วิ่งได้ไม่ดี แล้วก็มีพาลตลอดว่าว่าของแพงก็ไม่ใช่ของดีเสมอไป แต่พออาการบาดเจ็บหาย เป็นช่วงที่ได้วิ่งเต็มที่กับพี่เอสิค บวกกับสภาพรองเท้าที่ผ่านการใช้งานจนเริ่มเข้ากับรูปเท้า เลยทำให้รู้สึกว่าพี่เค้าก็ดีนะ

ความบึกบึนของพี่คายาโน่ที่ถูกออกแบบมาให้รองรับการกระแทกได้อย่างยอดเยี่ยม กับชั้นเจลที่หนา ทำให้รู้สึกนุ่ม สบายเท้า รู้สึกได้เลยว่า มันผ่อนแรงกระแทกได้มากจริงๆ แต่ในข้อดี ก็มีข้อเสีย เมื่อมีการกระแทกที่ดี แปลว่าเท้าของเราจะไม่ค่อยได้สัมผัสพื้น จนทำให้ท่าวิ่งของเราไม่ถูกต้องตามหลักสรีระศาสตร์จริงๆ อีกอย่างที่ฉันรู้สึกได้คือพี่คายาโน่เป็นรองเท้าวิ่งที่มีความยืดหยุ่นต่ำ ความ flexible ของรองเท้ายังไม่ค่อยดี ไม่สามารถจับรองเท้างอได้ มันจึงทำให้ไม่สามารถรองรับเท้าได้ตามรูปแบบการวางเท้า จะเป็นการบังคับกลายๆว่าเราจะต้องวิ่งลงส้น เพราะจุดศูนย์รวมการรับน้ำหนักทั้งหมดถูกออกแบบมาให้อยู่ที่ส้นเท้า 



พี่คายาโน่เหมาะกับการใส่ซ้อม ฉันวิ่งระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตรทุกวัน pace อยู่ที่ช่วง 5-7 mins/km (ความเร็วตามระดับความแปรปรวนของฮอร์โมน) ใช้พี่คายาโน่ก็ยังไม่ทำให้เกิดอาการบาดเจ็บอะไร ทั้งนี้ไม่ได้เป็นเพราะคุณสมบัติของรองเท้าอย่างเดียว แต่เป็นเพราะการฝึกท่าวิ่งที่เหมาะสม รวมถึงการวอร์ม และเหยียดยืดอย่งดีก่อนวิ่งทุกครั้งนะจ๊ะ 

แต่สำหรับการวิ่งระยะไกล ถือว่ายังไม่สุดเท่าที่ควร เพราะรองเท้าที่มีการรับแรงกระแทกดี มักจะมาพร้อมน้ำหนักรองเท้าที่หนักกว่ารองเท้าที่ไม่เน้นรับแรงกระแทกอยู่แล้ว สำหรับระยะฮาล์ฟมาราธอน พี่คายาโน่ยังเป็นคู่ใจที่ดีค่ะ แต่จะรู้สึกหนักเท้าสักกิโลที่ 15 (แต่ฉันว่ายี่ห้อไหนก็คงหนักเท้าแล้วนะเมื่อถึงระยะนี้) แต่ แต่ แต่ ข้อดีของพี่ก็ยังกลบน้ำหนักไปได้เยอะอยู่เหมือนกัน ฉันเคยใช้พี่ New Balance ในการวิ่งระยะฮาล์ฟมาราธอนมาก่อน แล้วพบว่า รองเท้าไม่ใช่อุปสรรคที่ทำให้หนักเท้าจนก้าวเท้าไม่ออก แต่..รู้สึกร้อนเท้า ร้อนมากจนรู้สึกไม่อยากจะเหยียบเท้าลงไปอีกแล้ว และเมื่อแข่งขันจบ ไม่แปลกเลยที่พบว่าฝ่าเท้าตัวเองเป็นตุ่มพอง แต่ปัญหานี้ไม่พบตอนเดินทางร่วมกับพี่คายาโน่ค่ะ ไม่รู้สึกร้อน ยังรู้สึกสบายเท้าแม้จะใกล้ถึงเส้นชัยแล้ว

เอาแบบสรุป สำหรับใครที่มองหารองเท้าที่รับน้ำหนักได้ดี โดยเฉพาะคนที่มีน้ำหนักตัวเยอะ พี่คานาโน่ดูจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี หากคุณไม่มีปัญหาเรื่องกำลังทรัพย์ ถ้าถามฉันว่าคุ้มค่าไหม? คุ้มหรือไม่ตัวคุณน่าจะตอบคำถามนั้นได้ดีกว่าฉัน ถ้าซื้อแล้วใส่ ยังไงมันก็คุ้ม เสียเงินกับรองเท้าวิ่งราคาสูงก็ดีอย่างนะ (ในมุมมองฉัน) มันจะรู้สึกเสียดายเงินแล้วจะเป็นการบังคับตัวเองให้ต้องไปวิ่งนั่นเอง แล้วฉันจะยังปักใจกับพี่คายาโน่รุ่นต่อๆไปหรือไม่? ตอบอย่างสวยๆว่าถูกใจแต่ยังไม่ผูกพัน รองเท้าคู่ต่อไปคงขอปันใจไปลองทำความรู้จักกับพี่ๆคนอื่นๆดูบ้าง ถ้าอกหักช้ำชอก อาจจะย้อนกลับมาซบอกคู่ขาเดิมอย่างพี่เค้า ที่สุดคงต้องจบท้ายแบบนี้ รองเท้าที่ดี คือรองเท้าที่เหมาะกับเท้าของคนใส่ อย่าเชื่อคำชม ถ้ายังไม่เคยลองด้วยตัวเองนะจ๊ะ

3 comments:

  1. รีวิว Kayano ได้ดีครับ แล้วคู่หน้าเล็งอะไรครับ ^^

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอบคุณนะคะ :)

      คู่หน้าเล็ง Mizuno ไว้ค่ะ แต่ยังไม่ได้เลือกรุ่น เล็งแบรนด์ไว้ก่อน :)

      Delete
  2. ขอบคุณสำหรับบทความ(รีวิว)ดีๆคับได้ความเข้าใจในการเลือกรองเท้าขึ้นเยอะคับ

    ReplyDelete