Monday, April 29, 2013

[Race Diary] ศิริราช เดิน-วิ่ง ผสานชุมชน ครั้งที่ 7



“The lonely finish line”

สนามนี้เป็นสนามที่ไร้ซึ่งการเตรียมตัว แต่ฉันพกความคาดหวังมาอย่างล้นปรี่ เริ่มตั้งแต่ต้นเดือนพอรู้ว่าจะมีงานวิ่งศิริราชนี้ ก็นึกเอาไว้ในใจ โอเค๊..ถ้าไม่ติดอะไร (ปกติชีวิตก็ไม่ค่อยติดอะไร นอกจากความ ขี้เกียจ) ฉันจะไปวิ่งงานนี้ เพราไม่ไกลจากบ้านเท่าไรนัก แต่ แต่ อีกใจก็ซ่า อยากจะไปเริงร่าต่างจังหวัดกับสนามฮาล์ฟมาราธอน เพราะคิดถึงการวิ่งระยะนั้นมากกว่า จึงยังลังเล ระหว่างศิริราช สิงห์บุรี เอ๊ะ..สิงห์บุรี หรือศิริราชดีนะ คิดทบทวนไปมา บวกลบคูณหารความคุ้มค่า เอาเป็นว่า ขี้เกียจมันทั้งสองงานเลยดีกว่า ฮา..

ตั้งแต่หลังงานวิ่งวันจักรีที่ผ่านมาจนถึงวันนี้ เป็นช่วงเวลาที่ฉันวิ่งเยอะมาก วิ่งจนรู้ตัวเองว่า เยอะเกินไป และไร้ซึ่งการพัฒนาอย่างมีแบบแผนจริงๆ เพราะเป็นการวิ่งตามใจ วิ่งประชดชีวิต วิ่งเพราะอยากได้สารแห่งความสุข และวิ่ง เพราะคงเป็นทางออกเดียวของชีวิตที่ฉันคิดออก การวิ่งอย่างหักโหม ทำให้สภาพจิตดีขึ้น แต่ทำร้ายสภาพร่างกายตัวเองมาก เกิดอาการบาดเจ็บที่หลังส่วนล่างในเลเวลที่ปวดร้าวมากจนนอนไม่ได้ พาลให้นึกโกรธตัวเองอยู่เหมือนกัน


ดังนั้นเมื่อจะพาตัวเองลงสนามวิ่ง ในสภาพร่างกายที่ผ่านการวิ่งจนบอบช้ำและยังหวังจะทำให้ผลประกอบการออกมาดี จึงไม่ใช่ความคิดที่ฉลาดนัก จากที่บอกตัวเองเบาๆในใจว่า งานนี้แหละ จะเอาตัวเองไปท้าทายคว้าถ้วยอีกสักครั้ง กลับกลายเป็นว่า วันเสาร์ก่อนวันงาน ฉันนั่งเปื่อยๆเบื่อๆถามใจตัวเองว่า ไป ไม่ไป ไป ไม่ไป และยิ่งได้รู้ว่ามันเป็นการวิ่งบนทางยกระดับบรมราชชนีอีกแล้ว เลยยิ่งพาลทำให้คิดหนักใหญ่ เพราะในใจก็เบื่อเส้นทางนั้นเต็มที ก็เคยขึ้นไปวิ่งเล่นมาสามรอบ ครั้งนี้ไปก็รอบที่สี่แล้วนา จนเมื่อเจ๊เพื่อนสาวทักถามมา ฉันก็ยังคงตอบนางไปว่า 60% ถ้าไป พรุ่งนี้เช้าจะโทรหา

กับสองไอดอลนักวิ่งในดวงใจ


แล้วก็พาตัวเองเข้านอนแต่หัววัน โดยที่ยังไม่รู้ว่าจะไปวิ่งไหม ตัดสินใจง่ายๆว่า ถ้าตื่นก็ไป แต่แล้วก็ตื่นนะ ตื่นมาแบบไม่ง่วงเท่าไรนัก เลยคิดว่า เอาวะ ไปก็ด่ะ ชีวิตมันไม่มีอะไรจะเสีย ทำอะไรแต่ละทีทำไมคิดมากจังวะนาง คิดได้ตามนี้ ก็ล้างหน้าล้างตาแต่งองค์ทรงเครื่องเดินงงๆออกจากบ้านพาตัวเองไปยืนโบกแท็กซี่ในชุดวิ่งตอนตีห้าก็ตลกแปลกใหม่ดีนะ (งานนี้เป็นงานแรกที่ไม่ได้ขับรถไป เพราะเลเวลการขับรถมึนทางฉันชนะเลิศ จึงไม่อยากพาตัวเองเข้าสู่วังวนความหงุดหงิดกับการขับรถของตัวเองแต่เช้า)


งานนี้เป็นงานวิ่งแรกที่ขาดคนรู้ใจถึง 2 คน รู้สึกเลยว่า ถ้าไปวิ่งคนเดียวนี่มันก็เหงาแปลกๆดีๆเหมือนกัน มาถึงงานแล้ว แต่คุณป้ายังไม่มา จึงไปวิ่งวอร์ม ฟอร์มดีเชียววันนี้ได้ทั้งวอร์ม ทั้งเหยียดยืด คิดในใจว่า เอาวะ มาแล้ว ตั้งใจวิ่ง วิ่งเพื่อเธอ คึกคักกำลังใจดี จนกระทั่งยืนรอปล่อยตัว โถ คุณขา ฟอร์มดีๆทั้งหมดที่เตรียมมาเริ่มฝ่อไป ก็คุณพี่เล่นปล่อยตัวช้า จากที่สัญญากันว่าจะปล่อยหกโมง พี่เล่นตัวลากไปจนถึง 6.30 น้องนางหัวใจแทบสลายเมื่อมองเห็นแสงบนฟ้า ค่อยๆสว่างขึ้น สว่างขึ้น 



ถึงเวลาปล่อยตัว วิ่งไปอย่างมีสมาธิมาก แต่ก็เสียจังหวะเร่งความเร็วไปเยอะเพราะพยายามแทรกตัวเองเบียดเสียดกับฝูงนักวิ่ง 4 กิโลเมตรแรกวิ่งอย่างสวยงามมากค่ะ ยิ้มกริ่มในใจเบาๆ รางวัลน่าจะไม่หลุดลอย แต่พอพ้นกิโลที่4 เข้าสู่กิโลที่ 5 เท่านั้นแหละ หมดค่ะ หมดวูบไปเลยทีเดียว หมดจนต้องพาตัวอันบอบบางเข้าไปจ๊อกหลบมุมข้างทาง หิวน้ำมาก รู้สึกกระหายสุดๆ พยายามฮึดให้ไปให้ถึงจุดกลับตัวเพราะหวังว่ามันน่าจะมีน้ำให้บ้าง แต่แล้วก็ไม่มี แอบงอนกลับตัวไป คิดในใจ อีกตั้งสองโลนี่หว่ากว่าจะมีน้ำ งอน งอน งอน 

หลังจากกลับตัวที่ 5 กิโลมาแล้ว ก็วิ่งๆ สลับหยุดเดิน เพราะมันเป็นเส้นทางวิ่งหน้าท้าแดด พระอาทิตย์ก็ดูท่าจะขยันเหลือเกินในวันนั้น ยอมรับเลยว่า แกร่งแค่ไหน ฉันก็ยอมพ่ายให้กับพลังงานโซล่าในครั้งนี้ ไม่เหนื่อยเลยนะ แต่รู้สึกถูกดูดพลัง รู้เลยว่าให้วิ่งอัดกว่านี้ก็ไหว แต่แล้วจะเป็นลมเพราะความร้อนแน่ๆ เมื่อเคยมีบทเรียน จึงประมาณตน ไม่ใส่จนสุดพลังดีกว่า เห็นรถพยาบาลผ่านมา จึงโบกเรียกเพราะอยากได้ฉี่อูฐเพิ่มพลัง แล้วก็เป็นดังทุกครั้ง ไม่รู้ว่ารถพยาบาลมีไว้ทำไม แทนที่เจ้าหน้าที่จะเตรียมเอาใส่สำลีไว้ กลับต้องยืนรอให้หยิบขวด เปิดขวด จุ่มให้อีก 5 นาที อารมณ์เสีย เมื่อได้มาก็สูดเข้าไปเต็มพลัง แล้วก็ค่อยๆพาตัวเอง วิ่งๆ เดินๆ ให้ครบระยะทางให้ได้

ผ่านพ้นกิโลเมตรที่ 9 ก็ลงจากทางยกระดับมาวิ่งบนถนนเพื่อกลับเข้าสู่โรงพยาบาลศิริราช ตามเคยค่ะ งานวิ่งในเมือง รถบนท้องถนนหนาแน่ แต่การวิ่งดมคาร์บอนมอนออกไซด์กลับทำให้ฉันเพลิดเพลินมากกว่าวิ่งหน้าท้าแดดเยอะ พยายามใส่พลังทั้งหมดที่มีลงไปที่ระยะทางเฮือกสุดท้าย จนได้ยินพี่แอพ เซย์ซัมติงว่า 10 กิโลแล้วนะ คิดในใจ แหม่..แถมระยะให้ฉันอีกแล้วล่ะสิ แต่จะทำไรได้ ก็กัดฟันวิ่งต่อไปจนถึงเส้นชัย 100 เมตรก่อนถึงเส้นชัย รวบรวมแรงทั้งหมดที่มี แต่ก็ไม่รู้แรงมาจากไหนเยอะแยะนะ เลยทำให้วิ่งเข้าเส้นชัยแบบสวยมากจริงจริ๊ง



บทสรุปกับงานวิ่งศิริราชในครั้งนี้ 11 กม. กับเวลาตามแอพที่ 1.07 ชม. แย่กว่างานวันจักรี ไม่ค่อยพอใจกับผลงานตัวเอง แต่ด้วยปัจจัยหลายๆอย่าง ทั้งอากาศ ความร้อน และร่างกายที่ไม่ค่อยสมประกอบ ถือว่ายอมรับได้ ก็ด่ะ

ได้รับฟังว่า ทางศิริราชจัดงานเองทั้งหมด ไม่ได้มีทีมเข้ามาร่วมจัด ส่วนตัวคิดว่า จัดงานได้ดีเลยทีเดียว ทั้งการรับเบอร์ ฝากของ การประชาสัมพันธ์งาน แต่ถ้าให้ติ ก็คงเป็นเรื่องจุดให้น้ำที่น้อยเกินไป น้ำเตรียมไม่ทันนักวิ่งที่วิ่งมาจนทำให้ต้องยืนรอ น้ำไม่เย็นชื่นใจ และควรปล่อยตัวนักวิ่งให้ตรงตามกำหนดการ เพราะยิ่งสาย มันยิ่งร้อนจริงๆนะจ๊ะ

บายเดอะเวย์ หลังจากงานวิ่งครั้งนี้แล้ว ฉันขอประกาศกร้าวไว้ ณ ที่นี้ ว่าจะไม่วิ่งงานวิ่งที่จัดบนทางยกระดับอีกจนกว่าจะถึง กรุงเทพมาราธอนที่ตั้งใจจะลงสนามฟูลมาราธอนเป็นครั้งแรก ความร้อนที่แผดเผาไม่ไม่ไหวจริงๆนะคุณเอ๊ย..

1 comment:

  1. อ่านสนุกเหมือนเคย :)

    ReplyDelete