Wednesday, March 20, 2013

[Race Diary] Big C Run & Fun Walk เพื่อโลกสดใสของคนสายตาเลือนราง



17.03.13 มินิมาราธอนกับบทเรียนจำฝังใจ..จนตาย

ความวุ่นวายทุกอย่างจบลง โลกรอบตัวหยุดหมุนเมื่อเข้าถึงเส้นชัย รู้ตัวว่าได้รางวัล เพราะเห็นเจ้าหน้าที่เตรียมหยิบเบอร์ให้ แต่แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นภาพนิ่ง..”

สนใจสมัครงานนี้ตั้งแต่ได้เห็นในปฏิทินงานวิ่งเพราะรู้สึกอยากวิ่งในเมือง โดยเฉพาะเส้นทางที่ขับรถผ่านเป็นประจำสักครั้ง บวกกับเมื่อได้เห็นผู้มีปัญหาทางสายตามาเปิดบูทรับสมัครเองที่สวนลุม จึงไม่รอช้าขอเป็นส่วนหนึ่งในงานนี้

บรรยากาศก่อนปล่อยตัว
ย้อนกลับไป 1 สัปดาห์ก่อนจะถึงวันงาน พยายามเตรียมตัวอย่างดี วิ่งตามตารางซ้อมให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ จนถึงวันพุธ เกือบจะสำเร็จตามตารางอาทิตย์นี้ได้สวยงาม แต่ร่างกายเริ่มเรียกร้อง กรีดร้องกับความเหนื่อยที่สะสมจากการวิ่งมา 6 วันติดกันไม่ได้พักเลย ผลคือ เป็นลมขณะวิ่ง วันพฤหัสตัดสินใจพัก และวันศุกร์เลือกวิ่งเบาๆ ไม่ทำการบ้านตามตารางเพราะยังไม่อยากโหดร้ายกับตัวเอง รู้สึกร่างกายพร้อม คิดว่าสนามนี้น่าจะทำเวลาได้ดี ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด 


แต่..สุดท้ายก็ผิดแผน เพราะแทนที่จะพักผ่อนเต็มที่ สวยดันซ่าท้าราตรี ผลคือวันเสาร์ตื่นมาในสภาพที่แย่ ล้า เพลียไปทั้งวัน อยากจะนอนทั้งวัน แต่ต้องบังคับตัวเองให้ไม่นอน เพราะไม่อย่างนั้นจะทำให้ไม่สามารถเข้านอนเร็ว และตื่นแต่เช้ามาวิ่งแบบนอนเต็มอิ่มได้แน่ๆ เมื่อโลกนี้ไม่มีอะไรแน่นอน สิ่งที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ อยู่ดีๆความพร้อมของร่างกายที่สะสมมาทั้งสัปดาห์ก็มลายหายไป ประจำเดือนมา และปวดท้องมาก ถึงขั้นที่ว่าสวยจะเป็นลม จากที่ตั้งใจว่าจะทำสถิติใหม้ให้ตัวเอง (New Personal Best) ให้ตัวเองสักหน่อย ต้องเลิกล้มความตั้งใจ และคิดว่า เอาวะ..ไปวิ่งเล่น ไม่ไหวก็เดินเอา อย่าบ้าพลัง เพราะบทเรียนก็มีอยู่


เข้านอนแต่หัววัน (บิ๊วท์ว่าจะนอนตั้งแต่สามทุ่มครึ่ง แต่สุดท้ายน่าจะหลับสักสี่ทุ่มกว่า) ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตี4 แต่เจ้ากรรมดันรู้สึกตัวสะดุ้งมาตอนตี2 ซวยล่ะทีนี้ จะตื่นเต้นอะไรกันนะร่างกายไม่ใช่วิ่งครั้งแรกในชีวิตสักหน่อย ลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัวตอนตี4 เติมพลังด้วยการแฟดำเข้มปิ๊ด และกล้วยหอม (จนถึงวันนี้ก็ยังไม่รู้ว่าอาหารสุดวิเศษที่ถูกจริตกับตัวเองสำหรับการวิ่งเช้าคืออะไร) เลือกกล้วยหอมเพราะรู้สึกว่ามันน่าจะให้พลังงานได้เร็วที่สุด และรู้สึกว่าเมื่องานเขาใหญ่ที่ผ่านมามันก็ทำให้เกิดผลดีมาแล้ว 


หลังผ่าน check point แรก ระยะทางประมาณ 2 กิโลนิดๆ ช่วงถนนพระรามที่ 4
อีกไม่กี่นาทีจะถึงเวลาปล่อยตัว ได้วอร์มและยืดเหยียดน้อยมากเพราะมัววุ่นกับการรับเบอร์ ความตื่นเต้น และความวุ่นวายของมหาชน พื้นที่จัดงานบริเวณหน้าทางเข้าห้างเล็กเกินไป และร้อนเกินไป คนส่วนใหญ่ยืนออกันตรงบันไดหน้าห้าง ผสมปนเปกับการลงทะเบียน การรับเบอร์ และบูทสินค้าต่างๆ เมื่อถึงเวลาเช็คอินต้องเดินย้อนกลับไปทางหลังห้าง เพื่อที่จะเดินกลับมาหน้าห้างใหม่ เตรียมปล่อยตัว ณ จุดสตาร์ท ดูเป็นการงง สับสนตั้งแต่เริ่มเลยทีเดียว และเมื่อถึงเวลาปล่อยตัว ก็ดูวุ่นวายกว่าเดิม เมื่อนักวิ่งหลายคนเลือกที่จะวิ่งออกนอกแนวกรวย ไม่วิ่งผ่านซุ้มเพราะไม่อยากรอคิว สวยจึงไหลไปกับเค้าด้วย และกว่าจะตั้งสติตัวเองให้วิ่งได้ก็หลังจาก งง ไปพักใหญ่

ก่อนถึงแยกใหญ่ที่สุดระหว่างเส้นทางที่วุ่นวายถึงขั้นต้องหยุดยืนรอ จนท.เคลียร์รถ
 ออกวิ่งหลังปล่อยตัวไม่เกิน 5 นาที จำได้แม่นหน้าโรงแรม Four Seasons ด้วยความมืด บวกกับสติที่ยังไม่ครบดีจากการปล่อยตัวที่วุ่นวาย ฉันตกหลุม ใหญ่แค่ไหนไม่รู้เพราะมองไม่เห็น ว๊ายยร้องเสียงหลง เสียหลักข้อเท้าซ้ายพลิก นาทีนั้นคิดในใจว่า ฉันยังไม่อยากออกจากการแข่งขันตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มนะ’ บอกข้อเท้าซ้ายตัวเอง ไม่เป็นไรนะ ค่อยๆไปด้วยกัน เธอแข็งแรง ไม่เจ็บนะ แล้วก็วิ่งต่อไป


ช่วงเวลาที่ปล่อยตัวประมาณ 5.45 น. ปริมาณรถบนท้องถนนเริ่มหนาตา พาลสงสัยว่า เค้าตื่นมาทำอะไรกันนะในเช้าวันอาทิตย์แบบนี้ วิ่งไปตามถนน จนถึงเช็คพอยท์แรก (ไม่เข้าใจจะเช็คทำไมตั้งแต่กิโลที่ 2) บอกตามตรงไม่รู้ว่าเป็นเช็คพ้อยท์ นึกว่าแค่เป็นจุดให้น้ำ เห็นคนมุงล้วงลงไปในถุง ไม่รู้ว่าทำอะไรกันเลยล้วงลงไปมั่ง ได้ยางรัดผมสีแสบเส้นใหญ่พองฟูมา ยังคิดว่า เอองานนี้ดีนะ วิ่งๆไปมีแจกยางรัดผมด้วย ใส่ใจนักวิ่งดีจัง ยางเส้นเล็กเกินจะรัดข้อมือไว้ เพราะเคยมีประสบการณ์ยางรัดจนเลือดไม่เดินมาแล้ว ถือวิ่งไปสักระยะ เริ่มรู้สึกเกะกะเพราะเหงื่อออกมือ จึงยัดยางเจ้ากรรมเอาไว้ที่ขอบกางเกง แล้ววิ่งต่อไป

ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่วิ่งบนเส้นทางวิ่งใจกลางเมือง บอกตรงๆว่าไม่ประทับใจเลย การจัดการจราจรมันทำได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ใจเขาใจเรา ก็เห็นใจคนขับรถ คงจะอารมณ์เสีย ทำไมกูต้องมารถติดในเวลาเช้าวันอาทิตย์แบบนี้ วิ่งไป ต้องระวังรถไป วิ่งไม่เต็มที่ แต่ทั้งนี้ก็โทษการจราจรไมได้ เพราะให้ฉันวิ่งเร็วกว่านี้ก็คงทำไม่ได้ เพียงแค่รู้สึกว่าสมาธิเสียกับการต้องระวังตัว และการต้องพยายามวิ่งเกาะกลุ่มคุณลุงหลายๆคนจะได้ปลอดภัย วิ่งกัดฟันมาจนถึงแยกวัดใจ รัชดาภิเษกมุ่งหน้าอโศก ตำรวจและเข้าหน้าที่พยายามช่วยกั้นรถสุดชีวิต แต่..สุดท้ายเหล่านักวิ่งก็หยุดวิ่งยืนรอรถที่หิวกระหายการเคลื่อนที่ให้ผ่านไปก่อน ระหว่างวิ่งไม่กล้าสบตาใครเลยนะ รู้สึกว่าคนอยู่หลังพวงมาลัยเค้าไม่ชื่นชมสิ่งที่เราทำ เผลอมองไปหาประทะเค้ากับสายตาอาฆาตของพวกเค้าได้ ก้มหน้าก้มตาดีกว่า

เฮือกสุดท้ายก่อนถึงเส้นชัย
พยายามสังเกตตัวเองว่าเวลาวิ่งคิดอะไร แล้วก็รู้สึกได้ว่า ถ้าเป็นการวิ่งแข่ง จะรู้สึกเหมือนกันทุกครั้งคือ “เมื่อไหร่มันจะจบวะ” ก็เป็นเรื่องน่าแปลกนะ ทุกครั้งก่อนวิ่งจะตื่นเต้น อยากสมัครมันซะทุกอย่าง ก่อนปล่อยตัวก็ยังคงตื่นเต้น แต่พอ 500 เมตรผ่านไป ความคิดนี้เข้ามาทุกครั้ง และเป็นหนักมากสำหรับการวิ่งในครั้งนี้ ยิ่งวิ่ง รถบนท้องถนนยิ่งเพิ่มขึ้น พื้นที่สำหรับนักวิ่งเหลือน้อยลงทุกที จนเมื่อถึงถนนเพชรบุรี ต้องวิ่งเรียงเดี่ยวเลยทีเดียว  รถเยอะ มลพิษเยอะ รู้สึกหายใจไม่เต็มปอด เหม็น มึน ร้อนและอบอ้าวมาก อยากทำให้มันจบๆไปเร็วที่สุด 


ความวุ่นวายทุกอย่างจบลง โลกรอบตัวหยุดหมุนเมื่อเข้าถึงเส้นชัย รู้ตัวว่าได้รางวัล เพราะเห็นเจ้าหน้าที่เตรียมหยิบเบอร์ให้ แต่แล้วทุกอย่างก็กลายเป็นภาพนิ่งเมื่อเค้าถามว่า “ขอดูยางเช็คพ้อยท์ด้วยครับ” ฉันยื่นอันในมือให้ เค้าถามหายางอีกเส้นที่ฉันจำได้ว่า ฉันยัดมันเอาไว้ในกางเกง แต่..มันหายไปไหนแล้วล่ะ ทำไมไม่มี ฉันตอบไปทั้งที่ยังเหนื่อยขาดใจว่า “พี่คะ มันหายไปค่ะ หนูมีเหลือเส้นเดียว” “งั้นไม่ได้ครับ ขอโทษด้วยนะครับน้อง” มันอธิบายความรู้สึก ณ วินาทีนั้นไม่ถูกจริงๆนะ มันอึ้ง จุกอก เหนื่อยก็เหนื่อย หันกลับไปถามเค้าว่าอีกครั้งเพราะอยากรู้ว่าได้ลำดับที่เท่าไหร่ “ที่ 4 ครับ” 

ทำใจ ช่างมัน ถ่ายรูปเล่นกับผองเพื่อนสนุกสนานจนแยกย้ายกันกลับ แวะเข้าห้องน้ำสักหน่อย ..ยางเจ้ากรรมที่พยายามตามหาตั้งนานก็หล่นออกมาเฉยๆ ถือยางทั้งสองสีในมือ พร้อมน้ำตาที่เอ่อ..กูพลาดเองสินะ เชื่อไหมว่า นาทีที่เจอยางเช็คพ้อยท์อีกเส้น เสียใจยิ่งกว่าตอนที่หามันไม่เจอเสียอีก 

อีกหนึ่งสนาม กับอีกหนึ่งความทรงจำ

อันที่จริงการวิ่งวันนั้นฉันควรจะมีความสุขกับมัน เพราะสามารถสร้างสถิติใหม่ให้กับตัวเองได้ 10.5 กม. ในเวลา 1.05 ชม. ยังไม่ดีที่สุดตามที่ตั้งใจ แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าการวิ่งของฉันดีขึ้นเรื่อยๆ น่าเสียดายที่ฉันพาลหงุดหงิดไปกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง จนให้ทำลืม ความสุข’ ของการวิ่งไป (เอาเข้าจริงๆวันนั้นไม่ค่อสนุกกับการวิ่ง เพราะบรรยากาศมันไม่สนุกเลยจริงๆ) 


บอกตัวเองให้ตั้งสติใหม่ และเตือนตัวเองให้อย่าลืมเป้าหมายที่ตัวเองตั้งใจ รางวัลคือโบนัส แต่การชนะใจตัวเองต่างหาก คือ คำว่าชนะที่แท้จริง..และวันนั้นฉันก็ชนะแล้วจริงๆ

5 comments:

  1. สวยสู้นะคะ เดี๋ยวบีตามไปเชียร์สนามหน้านะ วันอาทิตย์ที่24 โชคดีคงได้เจอกันนะคะสวย สู้ๆจ้า ฝึกตัวเองได้เก่งออก

    ReplyDelete
  2. Drama มากๆ ครับเรื่องนี้ ถ้าเกิดกับผม โลกคงจะหมุนกลับด้านเลยครับ :)

    ReplyDelete
  3. ประสบการณ์ชีวิตดีค่ะ โลกแค่หยุดหมุน ไม่เป็นไร หยุดแป๊บเดียวแล้วมันก็จะดำเนินต่อไป :)

    ReplyDelete
  4. อ่านทุกblog ขอให้สนุกกับมาราธอนแรกที่จะมาถึงคับ

    ReplyDelete
    Replies
    1. ขอบคุณมากๆเลยนะคะ แล้วจะเม้าท์เล่าสู่กันฟังค่ะ :)

      Delete