นอกจากจะมีวันที่จิตใจไม่ปกติ
วันที่บาดเจ็บทางกายก็มีเช่นกัน
ไออาการบาดเจ็บกับคนที่ออกกำลังกายมันเป็นของคู่กันมากๆ
การบาดเจ็บนี่มีทั้งข้อดีและข้อเสียจริงๆนะ ข้อดีคือ เมื่อเจ็บ
แปลว่าได้ก้าวข้ามขีดความสามารถของตัวเองมาอีกขั้นแล้ว (ฟังดูซาดิสดีใช่ไหม)
ถ้าออกกำลังกายแล้วไม่ตึง ไม่ปวด ไม่เมื่อย นอนเกาพุงเถอะ ไปทำให้เหนื่อยเปล่าทำไม
แต่มันก็ไม่น่าพิศวาสหากอาการบาดเจ็บนั้นมันรุนแรงจนถึงขั้นว่าเกิดขึ้นเพราะไม่ประมาณตน
ฉันประสบมาแล้วทั้งเจ็บดีและเจ็บปวด เรื่องเจ็บดีแล้วอึดถึกขึ้นขอไม่เม้าท์
แต่ไอเรื่องเจ็บปวดจนเป็นบทเรียนจำจนตายนี่ต้องขอบรรยาย
เจ็บแรกในชีวิตการวิ่ง |
ตั้งแต่วิ่งมาไม่ถึงปีดี
มีอาการบาดเจ็บน้ำตาเล็ดเล่นเอาท้อ 2 ครั้งด้วยกัน ไอบาดเจ็บที่ว่านี่ไม่ใช่ขาตึง
ปวดน่อง ตามสไตล์คนที่เริ่มวิ่งใหม่ๆ โม้อย่างภูมิใจว่าฉันไม่เคยมีอาการเหล่านั้นเลย
ทั้งนี้อาจเป็นเพราะกล้ามเนื้อและร่างกายฉันแข็งแรงและสร้างมาอย่างดีจากการฝึกโยคะทุกวันมาเป็นเวลา
8 เดือน แต่เจ็บที่ว่านี้คืออาการบาดเจ็บแบบที่ต้องทั้งหมาหอม กินยา
ประคบแล้วประคบอีก รวมถึงให้แม่หมอมานวดจับเส้นประกอบร่างใหม่เลยทีเดียว
เจ็บ..ไม่เจียมแต่ยังไปซ่า |
อาการบาดเจ็บครั้งแรก
คือ เจ็บบริเวณเส้นด้านในหัวเข่าข้างซ้าย (ไม่รู้ศัพท์เทคนิคเค้าเรียกอะไร) เจ็บมาก
เจ็บจนปวดแสบเดินลำบาก สาเหตุเกิดจากการไม่ประมาณตนไปลง half marathon ครั้งแรก (ธันวาคม 2012) ทั้งที่วิ่งมาแค่ 4 เดือน
แถมยังใส่เต็มพลังคึกคะนองเกิน ฮาล์ฟแรกใช้เวลาไป 2.15 ชม. ดูธรรมดานะ
แต่สำหรับมือใหม่ที่วิ่งมาไม่น่าบอกได้เลยว่ามันเกินไป หลังวิ่งใหม่ๆยังไม่มีอาการอะไร
แต่ด้วยความที่เป็นผู้หญิงลิงโลด วันรุ่งขึ้นหลังฮาล์ฟดันบ้าพลังไปวิ่งขึ้นบันไดรถไฟฟ้า
ยังไม่พอเพราะนางสวยเลยจัดวิ่งลงอีกรอบ เท่านั้นแหละ เดี้ยงสมใจ แต่อาการเจ็บครั้งนี้ไม่ยืดเยื้อนาน
เพราะดันเกิดขึ้นในช่วงที่ลาพักร้อนยาวจึงมีเวลาให้แม่หมอมานวดจับเส้นให้ 3
วันติดต่อกัน ประคบเย็น ทายา เอาผ้าพัน ไม่เกิน 1 อาทิตย์ก็ดีขึ้น
ฮาล์ฟแรกสะใจจะมีอาการเจ็บแต่เข่าก็ดูจะไม่เท่ห์
นางเลยจัดอาการ ‘กล้ามเนื้อระหว่างหน้าอกอักเสบ’ อีกด้วยค่ะ อ่ะ..งงล่ะสิว่ามันคืออะไร มันคืออาการเหนื่อย เหมือนคนเป็นหอบ
หายใจเท่าไหร่ก็ไม่พอ ไม่เต็มปอด และมีอาการไอแห้งๆ เจ็บหน้าอก เกิดจากอะไร? เกิดจากการที่ต้องใช้กล้ามเนื้อในการหายใจหนักหน่วงเกินไปทั้งที่ยังไม่แข็งแรงพอ
เพราะตอนที่ไปวิ่งป่วยค่ะ เป็นหวัดแต่ไม่เจียม รักษายังไง..หาหมอ ทานยาแก้อักเสบ
และ ‘พักการออกกำลังกาย’
เจ็บที่ 2..ขอจำจนตายเลยอาการนี้ |
แต่ไอการเจ็บครั้งที่สองนี่ขอบอกว่า
‘จำจนตาย’ จริงๆ เกิดจากการซ่าอีกแล้ว
นึกคึกสนุกสนานไปวิ่ง trail ในงาน Columbia Trail
Master 10k ครั้งแรกกับงานเทรล ก่อนหน้านั้นเคยได้ลองวิ่งบนดิน
บานหญ้งนิดๆหน่อยๆที่สวนลุม นอกจากจะไม่เคยวิ่ง ยังบ้าพลังซื้อรองเท้า trail
running มาเพื่อใช้ในการนี้โดยเฉพาะ บอกแล้วฉันจัดเต็มเสมอ ด้วยรองเท้าไม่ชินเท้า
พื้นผิวที่วิ่งไม่เรียบ แต่ก็ใส่ไม่ยั้งเหมือนวิ่งทางราบปกติ ผลคือ
ข้อเท้าซ้ายด้านนอกบวมอักเสบอย่างรุนแรง
สาเหตุอีกอย่างที่ทำให้มันอักเสบออาจจะเป็นเพราะตรงจุดนี้เคยตกส้นสูง 6 นิ้วมาแล้ว
(ดูเบ๊อะดีไหม) ซึ่งสำหรับฉันข้อเท้าข้างนี้ตั้งแต่ตกส้นสูงมา (1 ปีแล้ว)
มันไม่เคยปกติอีกเลย ใช้ชีวิตประจำวันจะรู้สึกว่าไม่มีอะไร
แต่พอฝึกโยคะมันทำให้ตระหนักเลยว่า ฉันไม่เคยปกติ
เท่ห์ที่สุดก็ตอนนั่งรถเข็นไปหาหมอนี่แหละ |
ข้อเท้าซ้ายด้านนอกบวมอักเสบอย่างรุนแรง ถ้านึกไม่ออกว่าความรู้สึกเป็นอย่างไร ก็คล้ายๆกับเวลาข้อเท้าพลิกนั่นแหละค่ะ เดินแทบไม่ได้ เหยียบแล้วปวดร้าว พอเลี่ยงการถ่ายน้ำหนักมันก็ลามไปปวดส้นเท้า ปวดเอ็นร้อยหวาย แล้วทำอย่างไร ตอนแรกปล่อยมึน พยายามใช้ชีวิตไปตามปกติ แต่แล้วโค้ช (ฉันมีโค้ชด้วย
– ไว้จะมาเล่าให้ฟัง) แนะนำว่าให้ทานยา ทายา และประคบเย็น ลองทำตามอยู่สักอาทิตย์
ไม่ดีขึ้นเลย เพราะ..ฉันยังดื้อไม่ยอมพัก ไม่หยุดวิ่ง มันจะไปหายได้อย่างไร
สุดท้ายเลยกลั้นใจ หยุดก็ได้วะ และไปหาหมอ หาหมอ ทานยา ประคบ พันผ้า
ทนได้อยู่ไม่เกิน 4 วันก็พาตัวเองไปวิ่ง วัฎจักรวนไปมาอยู่แบบนี้
บาดเจ็บจากการวิ่งเมื่อใด จำไว้จงประคบเย็นนะจ๊ะ |
สรุปสั้นๆ
กว่าข้อเท้าจะหายดีแบบที่ไม่มีอาการอะไรเลย ใช้เวลา 1 เดือนเต็มๆค่ะกับการกินยาแก้อักเสบไป
3 dose ดังนั้น จงจำไว้ วิ่งต้องมีสติ ประมาณตน ถ้าเจ็บ มันจะเจ็บยาว แต่ถ้าเจ็บแล้วกัดฟันพักสั้น
ดีกว่าทนเจ็บวิ่งแย่ๆยาวๆดีกว่า บทเรียนมันมีอยู่
No comments:
Post a Comment