Wednesday, March 13, 2013

เจ็บนี้..จำจนตาย



นอกจากจะมีวันที่จิตใจไม่ปกติ วันที่บาดเจ็บทางกายก็มีเช่นกัน ไออาการบาดเจ็บกับคนที่ออกกำลังกายมันเป็นของคู่กันมากๆ การบาดเจ็บนี่มีทั้งข้อดีและข้อเสียจริงๆนะ ข้อดีคือ เมื่อเจ็บ แปลว่าได้ก้าวข้ามขีดความสามารถของตัวเองมาอีกขั้นแล้ว (ฟังดูซาดิสดีใช่ไหม) ถ้าออกกำลังกายแล้วไม่ตึง ไม่ปวด ไม่เมื่อย นอนเกาพุงเถอะ ไปทำให้เหนื่อยเปล่าทำไม แต่มันก็ไม่น่าพิศวาสหากอาการบาดเจ็บนั้นมันรุนแรงจนถึงขั้นว่าเกิดขึ้นเพราะไม่ประมาณตน ฉันประสบมาแล้วทั้งเจ็บดีและเจ็บปวด เรื่องเจ็บดีแล้วอึดถึกขึ้นขอไม่เม้าท์ แต่ไอเรื่องเจ็บปวดจนเป็นบทเรียนจำจนตายนี่ต้องขอบรรยาย

เจ็บแรกในชีวิตการวิ่ง
ตั้งแต่วิ่งมาไม่ถึงปีดี มีอาการบาดเจ็บน้ำตาเล็ดเล่นเอาท้อ 2 ครั้งด้วยกัน ไอบาดเจ็บที่ว่านี่ไม่ใช่ขาตึง ปวดน่อง ตามสไตล์คนที่เริ่มวิ่งใหม่ๆ โม้อย่างภูมิใจว่าฉันไม่เคยมีอาการเหล่านั้นเลย ทั้งนี้อาจเป็นเพราะกล้ามเนื้อและร่างกายฉันแข็งแรงและสร้างมาอย่างดีจากการฝึกโยคะทุกวันมาเป็นเวลา 8 เดือน แต่เจ็บที่ว่านี้คืออาการบาดเจ็บแบบที่ต้องทั้งหมาหอม กินยา ประคบแล้วประคบอีก รวมถึงให้แม่หมอมานวดจับเส้นประกอบร่างใหม่เลยทีเดียว

เจ็บ..ไม่เจียมแต่ยังไปซ่า
อาการบาดเจ็บครั้งแรก คือ เจ็บบริเวณเส้นด้านในหัวเข่าข้างซ้าย (ไม่รู้ศัพท์เทคนิคเค้าเรียกอะไร) เจ็บมาก เจ็บจนปวดแสบเดินลำบาก สาเหตุเกิดจากการไม่ประมาณตนไปลง half marathon ครั้งแรก (ธันวาคม 2012) ทั้งที่วิ่งมาแค่ 4 เดือน แถมยังใส่เต็มพลังคึกคะนองเกิน ฮาล์ฟแรกใช้เวลาไป 2.15 ชม. ดูธรรมดานะ แต่สำหรับมือใหม่ที่วิ่งมาไม่น่าบอกได้เลยว่ามันเกินไป หลังวิ่งใหม่ๆยังไม่มีอาการอะไร แต่ด้วยความที่เป็นผู้หญิงลิงโลด วันรุ่งขึ้นหลังฮาล์ฟดันบ้าพลังไปวิ่งขึ้นบันไดรถไฟฟ้า ยังไม่พอเพราะนางสวยเลยจัดวิ่งลงอีกรอบ เท่านั้นแหละ เดี้ยงสมใจ  แต่อาการเจ็บครั้งนี้ไม่ยืดเยื้อนาน เพราะดันเกิดขึ้นในช่วงที่ลาพักร้อนยาวจึงมีเวลาให้แม่หมอมานวดจับเส้นให้ 3 วันติดต่อกัน ประคบเย็น ทายา เอาผ้าพัน ไม่เกิน 1 อาทิตย์ก็ดีขึ้น


ฮาล์ฟแรกสะใจจะมีอาการเจ็บแต่เข่าก็ดูจะไม่เท่ห์ นางเลยจัดอาการ กล้ามเนื้อระหว่างหน้าอกอักเสบอีกด้วยค่ะ อ่ะ..งงล่ะสิว่ามันคืออะไร มันคืออาการเหนื่อย เหมือนคนเป็นหอบ หายใจเท่าไหร่ก็ไม่พอ ไม่เต็มปอด และมีอาการไอแห้งๆ เจ็บหน้าอก เกิดจากอะไร? เกิดจากการที่ต้องใช้กล้ามเนื้อในการหายใจหนักหน่วงเกินไปทั้งที่ยังไม่แข็งแรงพอ เพราะตอนที่ไปวิ่งป่วยค่ะ เป็นหวัดแต่ไม่เจียม รักษายังไง..หาหมอ ทานยาแก้อักเสบ และ พักการออกกำลังกาย

เจ็บที่ 2..ขอจำจนตายเลยอาการนี้

แต่ไอการเจ็บครั้งที่สองนี่ขอบอกว่า จำจนตายจริงๆ เกิดจากการซ่าอีกแล้ว นึกคึกสนุกสนานไปวิ่ง trail ในงาน Columbia Trail Master 10k ครั้งแรกกับงานเทรล ก่อนหน้านั้นเคยได้ลองวิ่งบนดิน บานหญ้งนิดๆหน่อยๆที่สวนลุม นอกจากจะไม่เคยวิ่ง ยังบ้าพลังซื้อรองเท้า trail running มาเพื่อใช้ในการนี้โดยเฉพาะ บอกแล้วฉันจัดเต็มเสมอ ด้วยรองเท้าไม่ชินเท้า พื้นผิวที่วิ่งไม่เรียบ แต่ก็ใส่ไม่ยั้งเหมือนวิ่งทางราบปกติ ผลคือ ข้อเท้าซ้ายด้านนอกบวมอักเสบอย่างรุนแรง สาเหตุอีกอย่างที่ทำให้มันอักเสบออาจจะเป็นเพราะตรงจุดนี้เคยตกส้นสูง 6 นิ้วมาแล้ว (ดูเบ๊อะดีไหม) ซึ่งสำหรับฉันข้อเท้าข้างนี้ตั้งแต่ตกส้นสูงมา (1 ปีแล้ว) มันไม่เคยปกติอีกเลย ใช้ชีวิตประจำวันจะรู้สึกว่าไม่มีอะไร แต่พอฝึกโยคะมันทำให้ตระหนักเลยว่า ฉันไม่เคยปกติ


เท่ห์ที่สุดก็ตอนนั่งรถเข็นไปหาหมอนี่แหละ
ข้อเท้าซ้ายด้านนอกบวมอักเสบอย่างรุนแรง ถ้านึกไม่ออกว่าความรู้สึกเป็นอย่างไร ก็คล้ายๆกับเวลาข้อเท้าพลิกนั่นแหละค่ะ เดินแทบไม่ได้ เหยียบแล้วปวดร้าว พอเลี่ยงการถ่ายน้ำหนักมันก็ลามไปปวดส้นเท้า ปวดเอ็นร้อยหวาย แล้วทำอย่างไร ตอนแรกปล่อยมึน พยายามใช้ชีวิตไปตามปกติ แต่แล้วโค้ช (ฉันมีโค้ชด้วย – ไว้จะมาเล่าให้ฟัง) แนะนำว่าให้ทานยา ทายา และประคบเย็น ลองทำตามอยู่สักอาทิตย์ ไม่ดีขึ้นเลย เพราะ..ฉันยังดื้อไม่ยอมพัก ไม่หยุดวิ่ง มันจะไปหายได้อย่างไร สุดท้ายเลยกลั้นใจ หยุดก็ได้วะ และไปหาหมอ หาหมอ ทานยา ประคบ พันผ้า ทนได้อยู่ไม่เกิน 4 วันก็พาตัวเองไปวิ่ง วัฎจักรวนไปมาอยู่แบบนี้ 


บาดเจ็บจากการวิ่งเมื่อใด จำไว้จงประคบเย็นนะจ๊ะ
สรุปสั้นๆ กว่าข้อเท้าจะหายดีแบบที่ไม่มีอาการอะไรเลย ใช้เวลา 1 เดือนเต็มๆค่ะกับการกินยาแก้อักเสบไป 3 dose ดังนั้น จงจำไว้ วิ่งต้องมีสติ ประมาณตน ถ้าเจ็บ มันจะเจ็บยาว แต่ถ้าเจ็บแล้วกัดฟันพักสั้น ดีกว่าทนเจ็บวิ่งแย่ๆยาวๆดีกว่า บทเรียนมันมีอยู่

No comments:

Post a Comment