Tuesday, March 12, 2013

งอแงบ้างจะเป็นไรไป



เหตุเกิดเมื่อวาน (11.03.13) รู้ตัวดีว่าร่างกายและจิตใจไม่พร้อม คืนก่อนหน้าแอบไปคุยกะพี่ลีโอ พาลให้คึกคักและนอนดึกแถมตื่นเช้ามาเริ่มต้นทำงานในวันแรกของสัปดาห์ ปวดท้องมาก อาหารไม่ย่อย ง่วง เพลีย มันเดย์ซินโดรมสุดๆ แต่แล้วก็ไม่เจียม พาตัวเองไปวิ่ง ตอนวิ่งวอร์มรอบแรกก็ยังสบายดี ยิ้มสวยไปวิ่งไป พอรอบสองคึกคักเอ้ยวิ่งดี ท่างามนะวันนี้ จัดไปเต็มๆใส่ซะลืมตัว ปรู๊ดปร๊าดเวลางาม แต่จบรอบสองเท่านั้นแหละสวมบทสู่ขวัญตอนอ้วกพุ่งกลางสวนลุมสมใจ (ขออภัยที่เลือกคำนี้ แต่มั่นใจว่ามันบรรยายให้เห็นภาพสภาพตอนนั้นได้ชัดจริงๆ) เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ฟังร่างกายตัวเองบ้าง แม้จิตจะเป็นนายกาย แต่ยามที่กายมันกรีดร้องก็ให้กายสั่งมันสั่งจิตบ้างนะจ๊ะ

วิ่งให้ดี วิ่งอย่างมีความสุขทุกวันนั้นเป็นเรื่องยาก มันก็คงมีคนทำได้ (มั๊ง) แต่สารภาพจากใจ สวยทำไม่ได้! เมื่อตอนที่เริ่มวิ่งใหม่ๆ ยังไม่สนใจเวลา ระยะ และความเร็ว รู้สึกได้เลยว่ามีความสุขกับการวิ่งมากกว่าตอนนี้มาก แล้วตอนนี้ไม่มีความสุขหรอ? มันก็มี๊(เสียงสูงจริงจัง) แต่ก็นะ ชีวิตคนเรา ไม่ว่าจะทำอะไร เมื่อมีความคาดหวัง มีเป้าหมาย มันก็มาพร้อมความกดดันเสมอ

บรรยากาศบางวันมันก็เหงาหงอยแสนเศร้าซะเหลือเกิน

บ่อยครั้งที่รู้สึกว่าร่างกาย และจิตใจไม่พร้อม แต่ก็ไปวิ่งเพราะรู้ว่ามันคือวินัยและหน้าที่ ถ้าอยากพัฒนามันก็ต้องทำ อีกอย่างถ้าออกกำลังกายมาตลอด จะกลายเป็นโรคจิตไปเลยว่า เมื่อไม่ได้ออกกำลังกายมันจะมีความรู้สึกผิดโลกแตกถล่มทลายเข้ามาถาโถมมากๆ ไออาการเสพติดการออกกำลังกายมันก็ดี แต่บางทีก็รู้สึกว่าจิตฉันไม่ปกตินะเนี่ย ดังนั้นแม้จะไม่พร้อม แต่ก็มักจะพาตัวเองไปวิ่ง ไปเป็นคนบ้างดราม่ากลางสวนลุมนั่นแล

เมื่อไปวิ่งทั้งที่งอแง ก็อย่าหวังว่าจะวิ่งได้ดี ลองสังเกตตัวเองบ่อยครั้ง วันไหนที่นางอารมณ์ดีอินเลิฟโลกสดใส โถๆ จัดมาจะกี่โลกี่รอบก็วิ่งได้อย่างเริงร่าเหมือนน้องหมาเอ็นจอยทุ่ง แต่ถ้าวันใดที่นางหงุดหงิดโดนขัดใจ ลูกค้าหน้าใสทำร้ายจิตใจทาสผู้แสนดี หรือนางไม่แฮ๊ปปี้เพราะหัวใจเหี่ยวเฉา วันนั้นจะเหนื่อยตั้งแต่ยังไปไม่ถึงสวนเลยทีเดียว พอไปวิ่งก็ฉุนเฉียวก้าวขาไม่ได้ดั่งใจ จบท้ายด้วยอาการน้อยใจ ทำไมทำไม่ได้อย่างที่ตั้งใจวะ หาเหตุผลล้านแปดยกขึ้นมาสะกดจิตตัวเองว่าที่ทำได้ไม่ดีเพราะอย่างนั้นอย่างนี้ ร้อนบ้างล่ะ นอนไม่พอบ้างล่ะ พยายามคิดว่าฉันป่วยบ้างล่ะมันไม่ปวดหัวก็พยายามนึกๆ เอ้ย กูปวดหัวป่าววะ เออใช่นี่ไงตุ๊บๆ อุ๊ยหยุดๆเดี๋ยวหน้ามืด แท้ที่จริง ทั้งหมดทั้งมวล ขี้เกียจ คือต้นเรื่องที่แท้จริง

เลิกงอแงนะจ๊ะเด็กๆ
ฉันมาฉุกคิดเรื่อง ความสุขของการวิ่ง ในวันที่กลับบ้านด้วยความหงุดหงิดหน้าตูดงอแงหลังจากไปวิ่งแล้วล้มเหลววิ่งตามตารางซ้อมไม่ได้ คืนนั้นแม่เดินเข้ามาพูดกับฉันก่อนนอนว่า จำไว้นะลูก..ถ้าอยากจะวิ่ง ก็วิ่งอย่างมีความสุข ถ้าวิ่งแล้วต้องกลับมาบ้านหงุดหงิดโวยวาย ก็อย่าทำ คำของแม่เรียกสติฉันกลับมาอีกครั้ง ก็จริง..เมื่อคิดว่าการวิ่งคือความสุข ก็ต้องมีความสุขที่จะวิ่ง แล้วก็วิ่งอย่างมีความสุข

วิ่งอย่างมีสุข สุขที่ได้วิ่ง

บ่นยืดยาวก็ยังหาประเด็นไม่ได้ นี่ฉันต้องการจะสาธยายอะไร สรุปง่ายๆดีกว่า ถ้าอยากวิ่งให้ดีต้องวิ่งวันที่กายพร้อมใจพร้อม งอแงบ้างไม่เป็นไร แต่พรุ่งนี้วันใหม่ก็เริ่มใหม่อีกทีแล้วกัน ล้มเหลวได้ แต่ไม่ใช่ล้มเลิกแบบที่เค้าว่า บายเดอะเวย์ถ้ามีคนถามสวนกลับมา ถ้าไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองพร้อมจะทำยังไง? เฮ้อ..ก็ใช้ชีวิตแบบเดิมๆที่คิดว่ามีความสุขดีแล้วแบบนั้นต่อไป..ก็เท่านั้นละกันคุณขา

1 comment: