Tuesday, July 2, 2013

[Race Diary] Supersport 10 miles International Run - 16.06.13


งานที่ดิฉันเล่นตัวจะวิ่ง ไม่วิ่ง จะสมัคร ไม่สมัครอยู่นาน ด้วยสาเหตุหลายอย่างนานัปการตามประสาผู้หญิงเยอะๆอย่างฉัน อย่างแรกคงเป็นความไม่สบอารมณ์กับผู้จัดงานเมื่อครั้งไปวิ่งงานวันจักรี ครั้งนั้นการจัดงานถือว่า ห่วยมากเบอร์หาย รอนาน พนักงานไม่รู้เรื่อง จนพาลให้การปล่อยตัวช้า บวกกับเบื่อเส้นทางการวิ่งในเมืองที่ต้องรองรับอารมณ์ผู้ใช้รถใช้ถนนที่พร้อมจะไม่เข้าใจความบ้าของนักวิ่งทั้งหลาย ลังเลอยู่นาน ในวิ่งในเมือง หรือวิ่งเทรล และด้วยความตั้งใจที่อย่างน้อยต้องออกเดือนละงาน เลยมาจบที่งานนี้ เพราะหลังจากจัดเทรลมาสองครั้งเมื่อต้นปี บอกได้คำเดียว มันยังไม่ใช่สไตล์

ก่อนลงสนามครั้งนี้เกิดอาการบาดเจ็บสะสมมาสักพักที่สะโพก ลามลงมาถึงกล้ามเนื้อด้านหลังต้นขา แต่ก็ยังดื้อไม่เคยพัก รักษาด้วยวิธีการนวดคลาย และจ้บเส้นเอา พร้อมด้วยมรสุมของงานที่ถาโถมในช่วง 2 สัปดาห์ก่อนวิ่ง เลยทำให้ไม่ได้ซ้อมเต็มที่ เรียกว่า ไปบรรเลงหน้างานกันสดๆจ้า

โฉมหน้า 'แก๊งค์เพื่อนสวย' เราล้วนซ่า 10 ไมล์กันจ่ะ
สนามนี้พิเศษกว่าสนามอื่นๆนิดหน่อย แต่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่สวยใช้บริการ pacer ค่ะ pacer คืออะไร แปลง่ายๆสไตล์สวยก็คือคนวิ่งนำ วิ่งคุม pace คือระดับความเร็วให้กับเรา หรือพูดแบบบ้านๆก็ คนวิ่งลากสังขารเรานั่นเอง เหตุผลที่เลือกจะมี pacer ในงานนี้ ง่ายๆ แค่อยากทำเวลาได้ตามที่ตั้งใจ 16.8 กิโล ใน 1.30 ชั่วโมง แม้จะได้เป็นสถิติที่ดูท้าทายสักเท่าไหร่ แต่ส่วนตัวก็ไม่เคยทำได้ เพราะปกติ 1.30 ชม.จะได้ระยะแค่ประมาณ 15 กิโลเมตรสำหรับการวิ่งฮาล์ฟมาราธอน งานนี้เลยถือว่า ลองดูละกัน มี pacer ดูสักครั้ง

งานนี้จัดที่สวนลุม สถานที่คุ้นเคย และเส้นทางวิ่งก็เดิมๆไม่แปลกใหม่ เรียกว่าไม่มีอะไรตื่นเต้น นอกจากสถิติที่ตั้งไว้ในใจ แต่ก็มีเรื่องให้รู้สึกว่าเตรียมตัวไม่พร้อมจนได้เมื่อเพิ่งได้รู้ในวันเสาร์ก่อนการแข่งขันว่า เลื่อนเวลาการปล่อยตัวเป็น ตี5 ซึ่งนั่นแปลว่าดิฉันต้องตื่นมาจัดการตัวเองตั้งแต่ตี3!! ไม่ใช่ไม่เคยตื่น แต่ไม่ได้ตื่นเวลานี้มาสักพัก มันไม่ชินเลยน่ะคุณ เลยทำให้ร่างกายไม่ fresh เลยจริงๆ

ขณะวิ่งผ่านแยกไฟแดง (ใหญ่) สุดท้าย ด้วยพลังเฮืกสุดท้ายที่เหลือ
และด้วยความคึกคักไม่ได้ลงสนามมานาน นางจึงมัวเม้าท์มอยจนไม่ได้เตรียมพร้อมกับการปล่อยตัว ขอติงนิดนึงว่า ทางผู้จัดงานควรจะมีการประกาศที่ฃัดเจนให้นักวิ่งทราบสักนิดว่า คุณฮะ..จะปล่อยตัวละนะฮะ หยุดเม้าท์จ่ะ(หรือมีแต่เรามัวเม้าท์เพลิน?) รู้ตัวอีกทีก็ได้ยินเสียงแตรลมเสียแล้ว จึงรีบวิ่งออกจากจุดสตาร์ทแบบง๊งงงกันเลยทีเดียว

1 กม. แรกเป็นการวิ่งวนเกือบครึ่งรอบในสวนลุมเพื่อไปออกประตูถนนวิทยุ และแล้วนางก็มีเหตุให้ต้องเสียเวลากับการแวะเข้าห้องน้ำจนได้ แต่ที่ตัดใจวิ่งเข้าห้องน้ำ เพราะรู้ตัวว่า แบกรับไว้อีก 16 กิโลนางไม่น่ารอดแน่ๆ ออกจากห้องน้ำจึงตั้งสติกับการวิ่งใหม่ ตั้งใจไว้ว่า 10 กม.แรกของอยู่ที่ pace 6 แล้ว 6.8 ที่เหลือค่อยว่ากันว่าตอนนั้นดิฉันเหลือเท่าไหร่

ชอตเน้นๆหน้านางขณะกำลังจะเข้าเส้นชัย..นางดูเครียดจัดมั๊ยคะ
แม้จะไม่ใช้ครั้งแรกที่วิ่งโดยมีคนขนาบข้าง แต่ก็ยังรู้สึกไม่คุ้นชิน คุณพี่คอยเตือนเป็นระยะๆว่าตอนนี้ pace อยู่ที่เท่าไหร่ อ้อ..งานนี้สวยไม่มีอุปกรณ์ช่วยชีวิตใดๆทั้งสิ้น ไม่ฟังแอพ ไม่ฟังเพลง ฟังคุณพี่เอาอย่างเดียว เรียกว่าฝากทั้งชีวิตไว้เลย ฮา.. แต่แล้วกลับพบว่า ตัวเองเลือกใช้วิธีในการวิ่งที่ผิดพลาดมาก เพราะการมีคุณพี่คอยบอกระยะตลอด มันทำให้เสียสมาธิมาก เป็นการวิ่งที่ใจไม่ได้อยู่กับตัวเองเลยจริงๆ จนสักกินโลที่ 7 เริ่มรู้สึกว่าตัวเองเละเทะ จึงหันไปบอกคุณพี่ว่า ไม่ต้องคอยรายงาน pace แล้ว ให้ต่างคนต่างวิ่งไป และพี่คอยนำไปตามความเร็วที่ตกลงกันไว้ละกัน

ประมาณกิโลที่ 8 หรือ 9 จำไม่ได้ชัด บีบเจลเข้าปาก แต่พลังเจลงวดนี้ไม่แผลงฤทธิ์เหมือนเดิมเท่าไหร่แฮะ เพราะรู้สึกไม่มีพลังเหมือนเดิม และเหนื่อยมาก ถึงขั้นคิดในใจว่า ไม่เอาแล้ว วันนี้ไม่ฟิตจริงๆ เหนื่อย ร้อน เหม็น แถมเสียจังหวะกับการติดไฟแดง ข้ามแยกไฟแดงแทบทุกแยก ถอดใจจริงจัง แต่ก็ยังพยายามวิ่งไปเรื่อยๆ กิโลที่ 12 เป็นช่วงที่รู้สึกว่าไม่เอาแล้วที่สุด ปีศาจมากันเต็มหัว แต่ก็ทนกัดฟังสู้อีกครั้งเมื่อวิ่งมาถึงสวนลุมด้านพระรูป และฮึบๆใจสู้ตอนกลับเข้ามาสวนลุม พร้อมสปริ๊นงามๆเข้าเส้นชัยกับเวลา 1.34 ชม. ถือว่าไม่แย่ เมื่อนับเวลาเข้าห้องน้ำ แวะรับน้ำ และติดไฟแดง


โพสต์สวย ฉีกยิ้ม ชอตเด็ดประจำทุกงานจ่ะ
การวิ่งครั้งนี้ได้บทเรียนมาเพิ่มเติม การมี pacer ไม่ถูกจริตกับคนอย่างฉัน เนื่องจากชื่นชอบการวิ่งคนเดียวอยางมีสมาธิมากกว่า งานวิ่งในเมือง ยังไงก็น่าเบื่อ ถ้าไม่ลืม ควรพกยาดมติดตัวไว้ยามทนไม่ไหวกับควันพิษจริงๆ และสิ่งสุดท้าย ถ้าร่างกายไม่พร้อม อย่าทำซ่าไปวิ่งจะดีที่สุดจ่ะ

ทั้งนี้ทั้งนั้น สืบเนื่องจากความซ่า หลังงานวิ่งครั้งนี้สวยก็หมดสภาพยาว กับอาการเส้นเอ็นหัวเข่าตึง จนเกือบจะฉีกขาด ถือได้ว่าเป็นอาการบาดเจ็บสาหัสที่สุดตั้งแต่ใช้ชีวิตการวิ่งมา อาการเป็นอย่างไร เจ็บที่หัวเข่าค่ะ และเวลานั่ง จะปวดเสียวจนชา ขาไม่รู้สึก ยกขา ขยับขาไม่ได้ นอนก็ขยับพลิกตัวไม่ได้ ถึงขั้นเสียน้ำตากลัวจะกลายเป็นสาวเป๋ถาวร การรักษาคือ ทานยาแก้อักเสบ และใช้ขาให้น้อยที่สุด เลี่ยงการลงน้ำหนักมากที่สุด จริงๆควรเข้าเฝือก แต่ก็ขอหมอไว้เพราะต้องเดินทาง และยังต้องทำงาน เลยได้รับแค่การดามงามๆ


เมื่อเกิดอาการบาดเจ็บ การกลับมาทบทวนวิเคราะห์ตัวเองจึงเกิดขึ้น ที่ผ่านมา ยอมรับว่าเป็นนักวิ่งที่ดื้อมาก แทบไม่เคยจะยอมพัก คราวนี้เรียกว่าหมดฤทธิ์ของจริง นางยอมพักยาวๆแต่โดยดี ณ วันนี้ เกือบ 3อาทิตย์ผ่านไป ยาแผงที่ 2 แล้ว และกินจัดเต็มเพื่อซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอจนสามารถตุนไว้ซ่อมได้อีก 10 ปีแล้ว รู้สึกดีขึ้น แต่ก็ยังรู้ตัวเองดีค่ะว่าไม่ปกติ ไม่สามารถนั่งนานๆได้ แต่ก็ต้องทนเพราะช่วงนี้นางต้องเดินทางงานหลวงตลอดเวลา ไม่สามารถคุกเข่าได้ และยังไม่สามารถลิงโลดได้เต็มที่แม้จะลืมตัวบ่อบ เรียกได้ว่า บาดเจ็บคราวนี้ นางหมดสภาพจริงๆ ไว้จะมาเขียนเล่าเม้าท์ไว้ดีกว่า ว่าช่วงเวลานักกีฬาพักฟื้น เค้าทำอะไรกันบ้าง เนอะ เนอะ.. อันที่จริง ถ้ารักกันจริง จะเดาเรื่องไม่ยากเลยนะคะ ว่านางทำอะไรบ้างช่วงที่ไม่ได้วิ่ง ฮา...

3 comments:

  1. เอ้า หายเร็วๆ นะ จะได้กลับมาซ่าเหมือนเดิม

    ReplyDelete
    Replies
    1. ไม่หายน้องก็ซ่า...ฮ่าาา

      เมื่อวานลองไปวิ่งดูค่ะ พอไหวอยู่ น่าจะกลับมาซ่าๆได้เหมือนเดิมในอีกไม่นานแล้ววว
      (ไม่มีสำเหนียกเลยนะ อิอิ)

      Delete